หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 282 หนิวตั้นกับซิวหลัว
เสียงร้องเรียกหนิวตั้นของฮูหยินผู้เฒ่า เกือบเป็นเสียงที่นางตะโกนสุดชีวิต ส่วนใหญ่ของจวนเห้อเหลียนตะวันออกต่างได้ยินไปทั่ว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงที่ฟื้นขึ้นมาอย่างยากลำบากได้ยินเสียงเรียกหนิวตั้นก็แทบเป็นลมสลบไปอีกครั้ง
ป้ายหลุมศพของท่านพ่อกำลังจะกลายเป็นสีเขียวอีกครั้ง
ท่านแม่ ท่านแม่ของเขา จะเห็นคนเป็นบุตรชายหรือหลานชายก็ตามแต่นาง ทว่าอย่าเห็นเป็นท่านพ่อของเขาทั้งวันได้หรือไม่?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงวางจิ้งจอกหิมะน้อยที่นอนขดในอ้อมแขน ขึ้นนั่งรถเข็นไปยังสวนอู๋ถง
ตั้งแต่ซิวหลัวจำความได้ เขาก็ถูกคัดตัวเข้าค่ายหน่วยกล้าตายแล้ว เขาผ่านการฝึกที่โหดเหี้ยมที่สุด ทำภารกิจที่ยากที่สุด ฆ่าคนที่ฆ่ายากที่สุดและได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสที่สุดมาแล้ว ในชีวิตของเขาไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด
เขาไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ!
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าโน้มตัวเข้าหาเขาด้วยริมฝีปากสีแดงเพลิง ขนทั้งร่างของเขาพลันลุกซู่! ! !
อี๊ย้าา!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ซิวหลัวไม่สนกระทั่งเรื่องการสังหาร เขารีบถอนตัวเหวี่ยงมือวาดแขนวิ่งหนีไป!
ยามเห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งรถเข็นมาถึงเรือนอู๋ถง ซิวหลัวก็หายไปแล้ว เหลือเพียงภาพวาดที่ซิวหลัวทำตกไว้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงก้มลงหยิบภาพวาดมาคลี่เปิดดู ปฏิกิริยาแรกคืออาหวั่น แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็พบว่าเสื้อผ้าและแววตานั้นไม่ใช่นาง จากนั้นถึงนึกได้ว่านี่คือนางเจียงน้องสะใภ้ของเขา
ซิวหลัวหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เขามองเห็นไม่ชัดนัก สัมผัสได้เพียงลมหายใจหนักหน่วงที่ยังค้างอยู่ในอากาศ
“นั่นคือซิวหลัว”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเงยหน้าขึ้นและเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่ออกมาเมื่อใดก็ไม่ทราบ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผงะ “เมื่อครู่…คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจว่าเป็นหนิวตั้นคือซิวหลัวรึ? ภาพวาดนี่หล่นจากตัวของเขา?”
ซิวหลัวมักจะมาที่ชีสยาย่วน และนั่งบนธรณีประตูพร้อมกับไข่ดำทั้งสามในยามว่าง เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่อาจปล่อยปละไม่สนใจเขาได้
ซิวหลัวเป็นคนของจวนประมุขหญิง
แต่ประการแรก พวกเขาไม่อาจเอาชนะซิวหลัวได้ ประการที่สอง ซิวหลัวไม่มีความมุ่งร้ายต่อพวกเขา ดังนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงไม่กังวลกับการปรากฏตัวของซิวหลัวเป็นครั้งคราว
แต่ส่วนใหญ่ซิวหลัวมักปรากฏตัวในเวลากลางวัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขามากลางดึกและเป็นครั้งแรกที่บังเอิญพบกับฮูหยินผู้เฒ่า ไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นหนิวตั้น
เคราะห์ดีที่ยังไม่เกิดเรื่องที่สายเกินแก้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่ายศีรษะ เมื่อคิดบางอย่างขึ้นได้ก็เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “แปลกยิ่งนัก เขาไม่ได้ไปที่เรือนชีสยาย่วนเท่านั้นหรือ? เหตุใดถึงมาที่เรือนอู๋ถง? แล้วเหตุใดถึงมีภาพวาดนางเจียงอยู่กับตัวเขาด้วย?”
“เพราะเขาหมายจะสังหารคน” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เห้อเหลียนเป่ยหมิงขมวดคิ้ว “ฆ่า…น้องสะใภ้?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังความมืดมิดอันไร้ขอบเขต “ประมุขหญิงกำลังสูญเสียอำนาจ มีใครบางคนทนต่อไปไม่ไหว”
คนผู้นี้เป็นใคร ไม่จำเป็นที่เยี่ยนจิ่วเฉาต้องเอ่ย เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็สามารถเดาได้เช่นกัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็พอทราบเรื่องที่กลุ่มอาเว่ยไปขโมยของจากสำนักราชครูอยู่บ้าง พวกเขาหนีออกจากสำนักราชครูได้สำเร็จ แต่ก็ถูกจับได้ระหว่างทางโดยยอดฝีมือลึกลับของหนานกงหลี ทำให้อาเว่ยถูกจับกลับไป
ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นก็คือซิวหลัว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์ชายน้อยที่ผู้คนทั่วหล้าต่างยกย่องจะมีเบื้องหลังที่โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ เพื่อแย่งชิงอำนาจ เขาไม่ลังเลที่จะส่งซิวหลัวมาลอบสังหารป้าแท้ๆ ของเขาเอง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้จักตัวตนของน้องสะใภ้แล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “เขาเคยไปที่ต้าโจวและเผ่าปีศาจ นี่ต้องมีความเกี่ยวข้องกันเป็นแน่”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงนิ่งงัน สองสามปีก่อนหนานกงหลีไม่ได้อยู่ที่หนานจ้าว โดยแจ้งต่อภายนอกว่าเขาออกเดินทางเพื่อไปศึกษาหาวิชา ว่ากันว่าเขาได้เดินทางไปสถานที่ต่างๆ มากมาย ทุกๆ เดือนเขาจะส่งจดหมายถึงครอบครัว ทั้งองค์ประมุขและประมุขหญิง เพื่อแนะนำความรู้และประเพณีท้องถิ่นที่เขาได้พบมา
แต่ใครจะคิดว่าเขาจะหลบเลี่ยงสายตาผู้คนไปที่ต้าโจวและเผ่าปีศาจ?
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “เมื่อสามปีก่อน ข้าถูกลอบสังหารโดยคนสกุลสวี่ เมื่อกลับมาคิดถึงเรื่องนี้ในยามนี้ คาดว่าเป็นหนานกงหลีที่อยู่เบื้องหลัง”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานแน่ชัดมากนัก แค่ดูจากแรงจูงใจและความสามารถในการก่อเหตุ หนานกงหลีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนเบาะแสของหนานกงหลีในเผ่าปีศาจ อาม่าเป็นคนเปิดเผยให้พวกเขาทราบ
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน หนานกงหลีได้ส่งคนลอบเข้าจวนมาจับอาหวั่น ทว่าจับผิดคน เป็นอาม่าแทน”
“ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงสีหน้าหม่นหมอง
หากเมื่อครู่ได้ยินว่าซิวหลัวรับคำสั่งจากหนานกงหลีมาลอบสังหารน้องสะใภ้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงยังรู้สึกยากจะแบกรับเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากที่รู้ว่าเขาคิดร้ายต่ออาหวั่น เขาก็ไม่อาจมีความคิดเพ้อฝันใดต่อหนานกงหลีได้อีกต่อไป
“ซิวหลัวเป็นคนปล่อยอาม่า” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
คำพูดเดิมที่อาม่ากล่าวคือ ‘ในพริบตา ข้าถูกซิวหลัวนำไปแขวนไว้บนกิ่งไม้นอกจวน พริบตาถัดมา ข้าก็ถูกรถม้าของราชบุตรเขยชนกระเด็นไปตามพื้นหญ้าข้างทาง…’
หากกล่าวสั้นๆ ปัดเศษเป็นจำนวนเต็ม อาม่าก็ถูกซิวหลัวปล่อยตัวมาไม่ผิด
เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยินเรื่องของซิวหลัวจากข่าวลือเท่านั้น ซิวหลัวก็เป็นชื่อหนึ่งในหน่วยกล้าตาย ทว่ามีความแข็งแกร่งกว่าหน่วยกล้าตายมากนัก เขาเป็นซิวหลัวโดยบังเอิญ : หน่วยกล้าตายทองคำชั้นยอดคนหนึ่ง หมกมุ่นฝึกฝนอย่างไม่ระวังจนเสียสติ หลังจากแบกรับหนักเข้าพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า และนั่นก็คือซิวหลัวคนแรกสุด
เคยมีผู้ที่ต้องการสร้างซิวหลัว และใช้ยากระตุ้นให้หน่วยกล้าตายกลายเป็นจิตวิปลาส แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตมาได้ และซิวหลัวจะมีอารมณ์ดุเดือดคลุ้มคลั่ง ยากต่อการควบคุมยิ่งนัก…
ซิวหลัวของหนานกงหลีดูไม่เหมือนที่ข่าวลือกล่าว
อย่างน้อยเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ไม่เคยรู้สึกถึงลมหายใจชั่วร้ายจากเขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงนึกถึงฉากที่ซิวหลัวกับไข่ดำทั้งสามนั่งเรียงกันดื่มนมอยู่บนธรณีประตู ดูเชื่องเล็กน้อย
เป็นเพราะข่าวลือผิดพลาด หรือซิวหลัวของหนานกงหลีไม่ใช่ซิวหลัวธรรมดา?
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะศึกษานิสัยใจคอของซิวหลัว มันเป็นเพียงความคิดที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วของเห้อเหลียนเป่ยหมิง จากนั้นก็กลับไปที่หัวข้อเดิม “มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ ก่อนจวนประมุขหญิงจะเกิดเรื่อง เขาลงมือกับอาหวั่นยังพอเข้าใจ ทว่ายามนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคับขันยิ่งนัก หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับน้องสะใภ้ ฝ่ายแรกที่ถูกสงสัยก็คือจวนประมุขหญิง เขามิได้คำนึงถึงผลกระทบเลยหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “บอกได้แค่ว่า หากไม่ทำเช่นนี้ ผลที่ได้จะเลวร้ายกว่า”
ตี้จีองค์โตในอดีตไม่น่ากลัว ต่อให้นางปรากฏตัวต่อหน้าองค์ประมุขอย่างเปิดเผย องค์ประมุขก็ไม่ปรายตามองนางแม้แต่น้อย แต่หากประมุขหญิงกระทำความผิดที่ไม่อาจอภัยและสูญเสียคุณสมบัติที่จะสืบทอดบัลลังก์เล่า?
ทว่าหากตี้จีองค์โตสิ้นพระชนม์ ประมุขหญิงซึ่งเป็นบุตรีเพียงคนเดียวขององค์ประมุขก็จะได้รับการอภัยโทษ ไม่ว่านางจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงใด
“การลอบสังหารไม่สำเร็จ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน พวกเขาคงต้องหาทางอื่นต่อไป” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวพร้อมกับมองเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ความหมายนั้นชัดเจนว่าถึงเวลาที่พวกเขาต้องต่อสู้กลับ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกำหมัดแน่น สูดลมหายใจ “เจ้าอยู่ที่จวนนี้มานานแล้ว คงรู้ว่าสกุลเห้อเหลียนไม่ข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ในความขัดแย้ง สกุลเห้อเหลียนจะภักดีและภักดีต่อองค์ประมุขเท่านั้น ในฐานะผู้นำสกุลเห้อเหลียน ข้าไม่อาจช่วยเจ้าจัดการกับจวนประมุขหญิงได้”
“อ้อ”
“แต่” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างหนักแน่น “ในฐานะลุงใหญ่ ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเจ้าถูกใครรังแกได้”
…
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? การลอบสังหารล้มเหลว?”
ในลานอีกด้านของจวนประมุขหญิง หนานกงหลีมององค์รักษ์ที่เข้ามารายงานด้วยสีหน้าไม่น่าเชื่อ
องค์รักษ์ยกมือคำนับ “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่กระหม่อมเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ จวนเห้อเหลียน กระหม่อมเห็นกับตาว่าซิวหลัวหนีเตลิดออกมา เหมือนกับว่า…เจอเรื่องที่น่าตกใจยิ่ง กระหม่อมจึงถามซิวหลัวว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาไม่ตอบ เพียงแต่วิ่งไปราวกับหนีตาย คล้ายว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังเป็นสัตว์ร้ายอย่างนั้น”
ซิวหลัวไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน แค่จวนเห้อเหลียน เขาจะหวาดกลัวได้อย่างไร?
หรือที่จวนเห้อเหลียนยังมียอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าซิวหลัว?
‘ยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าซิวหลัว’ ยามนี้กำลังนั่งครวญครางอยู่หน้าเตียง มองตามทิศที่ซิวหลัวหนีไปและกล่าวอย่างเอน็จอนาถ “ฮือๆๆ หนิวตั้นไม่ต้องการข้า…”
ซิวหลัวทำให้หนานกงหลีพลาดโอกาสติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดหนานกงหลีก็เริ่มสนใจในความผิดปกติของซิวหลัว ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่ซิวหลัวไม่คลุ้มคลั่งบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
ก่อนหน้านั้นเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรเสียเขาก็ไม่จำเป็นต้องส่งหน่วยกล้าตายของเขาออกไปตายทุกวัน และเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเขาคลุ้มคลั่งจนจดจำตนเองไม่ได้
แต่ตอนนี้หนานกงหลีรู้สึกว่า หลังจากอารมณ์ของซิวหลัวดีขึ้น ก็ไม่ค่อย ‘จงรักภักดี’ ต่อเขาแบบเดิมอีกแล้ว
หนานกงหลีตัดสินใจคุยกับซิวหลัว
ยามที่ซิวหลัวถูกปลดปล่อยออกมา ซิวหลัวได้สาบานด้วยเลือด ว่าจะรับใช้เขาด้วยความเต็มใจ
ซิวหลัวอย่าได้คิดทรยศเขา มิฉะนั้นเขาจะทำให้ซิวหลัวเข้าใจว่า เขาสามารถช่วยซิวหลัวออกมาได้ เขาก็ผลักซิวหลัวกลับเข้าไปในกองไฟได้เช่นกัน!
ซิวหลัวที่ตื่นตระหนก หลังจากอาบน้ำเสร็จก็รีบขึ้นเตียง
กล้ามเนื้อและเส้นเลือดยังคงได้รับการซ่อมแซมและแตกสลายอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดที่รุนแรงเช่นนี้คนธรรมดาไม่อาจทนไหวแม้เพียงชั่วครู่ ทว่าเขาอดทนมานานกว่าสิบปีแล้ว
เขากอดขวดนมแนบดวงใจ
สิ่งนี้อาจทำให้เขาไม่ต้องทรมานขนาดนั้น
“ซิวหลัว เจ้าหลับหรือยัง?”
เป็นเสียงของหนานกงหลี
ซิวหลัวพลิกตัวลุกขึ้นนั่งและซ่อนขวดนมไว้ใต้ผ้านวม
หนานกงหลีได้ยินการเคลื่อนไหวจึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำพลาด เจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่หรือไม่?”
ซิวหลัวส่ายหัว
“อย่าโกหกข้า” หนานกงหลีเอื้อมมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม ควานหยิบขวดนมเล็กๆ ที่เขาซ่อนไว้อย่างมิดชิดออกมา “นี่คืออะไร?”
ซิวหลัวไม่เอ่ย
นี่คือถุงใส่น้ำสำหรับเด็กที่มีกลิ่นหอมของน้ำนมจางๆ หนานกงหลียกขึ้นมาที่ปลายจมูกแล้วดมกลิ่น พลันมองไปที่ซิวหลัวอย่างว่างเปล่า “เจ้าเป็นเพื่อนกับเด็กพวกนั้นหรือ?”
ซิวหลัวยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด
หนานกงหลีข่มขู่ “เจ้าอย่าลืมว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า ข้าให้ชีวิตเจ้าได้ ก็เอามันกลับคืนได้ หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า ข้าจะบอกชนเผ่าเจ้าว่าเจ้าอยู่กับข้าที่นี่ ให้พวกเขามาจับตัวเจ้ากลับไป!”
ซิวหลัวนึกถึงห้องใต้ดินอันมืดมิด ร่างกายของเขาถูกแมลงและงูกัด
“สกปรก” ซิวหลัวพูด
เสียงของเขาถูกทำลาย น้ำเสียงน่าเกลียดและยากจะฟังออก
แต่หนานกงหลีเข้าใจ เขาก้มลงจ้องมองสายตาของซิวหลัว “ไม่อยากกลับไป ใช่หรือไม่?”
ซิวหลัวพยักหน้า
“ต่อไปจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรือไม่?” หนานกงหลีถาม
ซิวหลัวก้มหัวลงและพยักหน้า
หนานกงหลีโค้งมุมปากด้วยความพึงพอใจ ยืนขึ้นและลูบศีรษะของเขา “เชื่อฟังน่ะถูกต้องแล้ว ของสิ่งนี้ข้าเอาไปละ”
เอ่ยจบ เขาก็บีบถุงน้ำในมือแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ยามเดินผ่านเรือนก็โยนถุงน้ำเข้าไปในเตาอั้งโล่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ซิวหลัวมองดูขวดนมเล็กๆ ที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ดวงตาแดงก่ำด้วยความโศกเศร้า