หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 285 เชื่อมโยงกันและกัน
พวกเขาย้ายเข้าไปที่จื่อเวยเก๋อ รูปแบบของจื่อเวยเก๋อชาญฉลาดยิ่งนัก ไม่เพียงแต่คงไว้ซึ่งรูปแบบเอ้อร์จิ้นย่วน แต่ยังมีหอปักเย็บขนาดเล็กสามชั้นอีกด้วย หอปักเย็บได้รับการซ่อมแซมอย่างประณีต ทว่าตามสุนทรียศาสตร์ของอวี๋หวั่น ยังไม่โอ่โถงกว้างขวางมากพอ แต่ในสายตาของเด็กชายสามคน มันกลับเป็นดั่งปราสาทขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ
เด็กน้อยทั้งสามไม่สนใจแม้แต่ชิงช้า วิ่งขึ้นไปชั้นบน ปีนราวบันไดแล้วไถลลงมาโดยไม่ต้องมีอาจารย์ชี้แนะ!
ฝูหลิงยืนเก็บไข่อยู่ชั้นล่างอย่างใจเย็น
เมื่อทุกอย่างถูกจัดการอย่างเหมาะสม ขันทีหวังก็เดินทางกลับวังหลวง
ราชบุตรเขยเข้าพักในห้องหลักที่เงียบสงบและสง่างาม
ที่นี่ไม่เสียทีที่เป็นเรือนสงบเงียบที่สร้างเพื่อองค์หญิงน้อย อิฐกระเบื้องโต๊ะเก้าอี้ แม้จะดูไม่หรูหรา ทว่ามีคุณค่าแท้จริง ฝีไม้ลายมือของราชวงศ์ ดูแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องโม้เท่านั้น
บุตรสาวบุญธรรมถูกดูแลดีถึงเพียงนี้ นางคงสะสมแต้มบุญมาแปดชั่วอายุคนกระมัง
ชุยเฒ่าอยู่ห้องข้างๆ ราชบุตรเขย เพื่อให้สามารถดูแลราชบุตรเขยได้ทันท่วงที
เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นอาศัยอยู่ในห้องตะวันออกใกล้กับหอปักเย็บ ไข่ดำทั้งสามก็อยู่กับพวกเขาด้วย
ด้านขวาของห้องตะวันออกคือฝูหลิงกับจื่อซู
ฝูหลิงไปดูแลเด็กๆ จื่อซูก็จัดข้าวของจากกระเป๋าเดินทาง
จื่อซูเคยเป็นสาวใช้ใหญ่ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ตกถึงมือนาง ทว่าเดินทางมากับเจ้านายทั้งสอง ตลอดเส้นทางล้วนต้องทำเองทุกอย่าง จนกลายเป็นผู้ชำนาญไปเสียแล้ว
แน่นอน นางสามารถสลับหน้าที่กับฝูหลิงไปดูแลเด็กๆ ได้ แต่ลองนึกถึงพลังของบุตรชายที่ดื้อรั้น ร่างเล็กของจื่อซูก็สั่นระริก รู้สึกว่าตนเองไปทำงานอย่างเชื่อฟังเห็นจะดีกว่า
“สาวน้อย! ยาพร้อมแล้ว!”
เสียงตะโกนของชุยเฒ่าดังมาจากห้องครัวเล็ก
“มาแล้ว!” อวี๋หวั่นเดินไปที่ห้องครัวเล็ก นำถ้วยยาที่เย็นได้ที่ไปยังห้องราชบุตรเขย
เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่นั่นด้วย
เขานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง เบิกตาโตจ้องมองราชบุตรเขย “ตื่นได้แล้ว”
และแล้วเขาก็ ‘ตื่น’ ขึ้นมาจริงๆ เขาตื่นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เรียกว่าอาเจียนเป็นเลือดและเป็นลมนั้น ล้วนเป็นการอำพรางเท่านั้น
แม้เขาปกปิดมันได้จากทุกคน แต่กลับไม่อาจปกปิดจากบุตรชายผู้นี้ได้
บุตรชายของเขา
บุตรชายที่ชาญฉลาดเช่นเดียวกับเขา
ราชบุตรเขยมองเยี่ยนจิ่วเฉา ดวงตาปรากฏร่องรอยของความรักใคร่เอ็นดูและความภาคภูมิที่ยากจะระงับได้
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีการแสดงออกใดๆ
เขาเป็นเช่นนี้ตลอด สวรรค์จะร่วงก็เป็นเช่นนี้ ออกไข่แดงก็เป็นเช่นนี้
ทว่าภายในใจของเขาคิดสิ่งใด ไม่อาจรู้ได้
อวี๋หวั่นเข้าไปในห้อง เห็นสองพ่อลูกจ้องหน้ากัน พลันยกมุมปากด้วยความดีใจ “เสด็จพ่อ ท่านตื่นแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกเสด็จพ่อ ราชบุตรเขยก็ตกตะลึง
เขาไม่ได้เป็นเยี่ยนอ๋องมาหลายปี ลืมคำเรียกของตนเองไปแล้ว จึงจ้องมองอวี๋หวั่นอย่างว่างเปล่าอยู่เป็นนาน
อวี๋หวั่นตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา เธอย่อตัวลงกะพริบตา “ท่านจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้หรอกหรือ?”
พ่อลูกมองหน้ากันเช่นนี้ เธอคิดว่าความทรงจำของเขากลับคืนแล้วเสียอีก
ราชบุตรเขยส่ายศีรษะ “จำได้เพียงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากพบฉงเอ๋อร์”
เยี่ยนจิ่วเฉาพุ่งเข้ามาในรถม้าของเขา ครั้งแรกที่เขาเห็นเยี่ยนจิ่วเฉา เขาวาดรูปเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ประมุขหญิงเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือภาพตอนที่เขายังเด็ก จากนั้นเขาก็พบเสี่ยวเป่าและได้พบกับเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้ง
ราชบุตรเขยนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร แต่กลับอดไปแอบดูที่ที่เขามักปรากฏตัวไม่ได้
ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกประมุขหญิงค้นพบ
เขาถูกประมุขหญิงกรอกยา
ประมุขหญิงเปลี่ยนภาพที่เขาซ่อนไว้ในช่องลับ เขาลืมเยี่ยนจิ่วเฉาไป
แต่แล้วก็ต้องขอบคุณอาม่า เขาจึงได้มาที่จวนเห้อเหลียน
คล้ายกับมีบางอย่างสะกิดความรู้สึกของเขา เมื่อเข้าไปในจวนเห้อเหลียน ก็พบเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้ง
เมื่อรู้ว่าตนเองถูกคนวางยาซื่อหุนเฉ่า เขาจึงเริ่มทดสอบประมุขหญิง
เขาพบว่านางเป็นคนวางยา จื่อจวินที่ชอบเนื้องูกลับไม่ใช่นาง เขารู้ว่าตนเองกำลังจะถูกเปิดเผย ก่อนที่นางจะลงมือ เขาใช้กลอุบายกับภาพวาดของหนานกงหลีและทิ้งรหัสไว้ให้ตนเอง
แน่นอน เขาได้รับยานั้นอีกครั้ง
แต่เมื่อเขามองเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นหลังจากหมึกถูกลบออกไป ความทรงจำทุกอย่างก็กลับมา
ทว่าสิ่งที่เขาจำได้มีเพียงเท่านี้ เรื่องที่นานกว่านั้น ภาพความทรงจำเพียงน้อยนิดก็ไม่เหลือแล้ว
ความทรงจำที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉงเอ๋อร์ ไม่จำเป็นก็ได้
แต่ฉงเอ๋อร์ในวัยเด็ก เขาต้องการจดจำมันยิ่งนัก
อวี๋หวั่นชะงัก “ช้าก่อน ข้าไม่ได้บอกท่านว่าท่านคือผู้ใด เหตุใดท่านถึงทราบว่าตนเองคือเยี่ยนอ๋อง ทั้งยังแพร่งพรายตัวตนของเยี่ยนจิ่วเฉากับตัวท่านเองอีกด้วย?”
“เจ้าบอกข้าว่าเขามีนามว่าเยี่ยนจิ่วเฉา ข้าจึงตรวจสอบชายผู้นี้” ราชบุตรเขยตำหนิตนเอง “บางครั้งหลักฐานก็เชื่อถือได้มากกว่าความทรงจำ”
เขาจำฉงเอ๋อร์กับจื่อจวินได้ แต่สุดท้ายกลับมีคนใช้ประโยชน์จากความทรงจำของเขา
แม้หลักฐานอาจถูกปลอมแปลงได้ แต่เมื่อไม่มีผู้ใดค้นพบ มันก็น่าเชื่อถือกว่ามาก
อวี๋หวั่นคิดในใจ นี่ก็เป็นคนโหดเหี้ยม บทจะลงมือ แม้แต่ตนเองก็ไม่ละเว้น
“ท่านแพร่งพรายข่าว ข้าเข้าใจได้ แต่เหตุใดท่านไม่บอกความจริงกับองค์ประมุข ท่านกังวลว่าเขาจะไม่เชื่อหรือ?”
“นั่นเป็นแง่หนึ่งเท่านั้น อีกแง่หนึ่งข้ายังมีบางอย่างที่ต้องการสืบให้กระจ่าง หากบอกก่อนเวลาอันควร ไม่ว่าตอนจบเป็นอย่างไร ข้าจะไม่อาจอยู่ที่หนานจ้าวต่อไปได้”
“ท่านหมายถึงความจริงในยามนั้นหรือ?”
“พวกเจ้ารู้สิ่งใดมาบ้างใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นมองไปที่สามี เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่อึดอัดกับการสนทนาต่อไป จึงพยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริง ก่อนที่ท่านจะจากไป…เอ่อ…ก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่นาน ฮูหยินเหยาเคยเห็นสตรีผู้หนึ่งกับเด็กอายุราวๆ สี่ขวบในเมืองเยี่ยน ยามนั้นท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย เด็กคนนั้นเรียกท่านว่าพ่อ”
ราชบุตรเขยเกือบจะเอ่ยถามขึ้นโดยทันทีว่าฮูหยินเหยาเป็นใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือข่าวที่ฮูหยินเหยานำมา
เขาลังเล “เด็กคนนั้นคือ…”
อวี๋หวั่นยื่นชามยาให้ราชบุตรเขย “หากดูจากอายุก็คล้ายคลึงกับหนานกงหลี”
หนานกงหลีอายุน้อยกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาสามปี เยี่ยนจิ่วเฉามีอายุเจ็ดแปดขวบในปีนั้น
“ทว่า” อวี๋หวั่นนึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงกล่าวด้วยความแปลกใจ “ฮูหยินเหยาเล่าว่าเด็กคนนั้นดูเหมือนเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ข้าเห็นหนานกงหลีในวันนี้ กลับรู้สึกว่าเขาเหมือนประมุขหญิงมากกว่า เขาเปลี่ยนไปหลังจากเติบโตขึ้นหรือ?”
ไม่ตัดความคิดที่ว่ายามเด็กคล้ายบิดา เติบโตมาคล้ายมารดา
ราชบุตรเขยส่ายศีรษะ “ในห้องตำรามีภาพของหลีเอ๋อร์อยู่ไม่น้อย เยาว์วัยที่สุดคือตอนสี่ขวบ เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต”
อวี๋หวั่นสงสัย “แปลกยิ่งนัก หรือว่าฮูหยินเหยามองผิดไป? หรือ…หนานกงหลีจะไม่ใช่เด็กคนนั้นกันแน่?”
ราชบุตรเขยก็ไม่รู้ เขาดื่มยาในชามด้วยสีหน้าซับซ้อน “เช่นนี้ ความจริงที่ต้องตรวจสอบก็มีเพิ่มอีกเรื่อง”
เดิมทีข้าเพียงอยากจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับประมุขหญิงในตอนนั้น ทว่ายามนี้กลับยังต้องสืบหาให้ได้ว่าหนานกงหลีเป็นบุตรของเขาหรือไม่
…
“ท่านแม่! ท่านรีบไล่แมลงพวกนั้นออกไป! แล้วเอาท่านพ่อกลับมา! ข้าไม่ต้องการให้พวกมันอยู่ในจวน! ข้าไม่ยกเรือนให้พวกเขา!”
ที่เรือนหลัก องค์หญิงน้อยเอาแต่โวยวายอยู่ในห้องของประมุขหญิง
นางเป็นบุตรบุญธรรม แม้ว่าบิดามารดาจะรักนาง แต่อย่างไรก็ไม่ใช่บุตรแท้ๆ นางไม่มั่นใจเหมือนพี่ชาย ภายนอกนางจึงมีแต่ความหยิ่งผยอง เอาแต่ใจ ทว่ายามอยู่ต่อหน้าประมุขหญิงกลับกลายเป็นเด็กดีที่เชื่อฟัง
แต่เพราะวันนี้ถูกกดดัน วาจาและการกระทำจึงไร้การประดิษฐ์เช่นนี้
ประมุขหญิงได้รับบาดเจ็บมาหลายวันแล้ว นางยังต้องสวมผ้าคลุมหน้าเพื่อพบผู้คน
นางนั่งบนเก้าอี้มององค์หญิงน้อยส่งเสียงเอะอะ รอให้นางอาละวาดจนพอใจ จึงเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ามิได้บอกเจ้าแล้วหรือ ว่าคุณชายใหญ่จวนเห้อเหลียนคือเยี่ยนจิ่วเฉา เขาเป็นบุตรของพ่อเจ้า ต้องเรียกเขาว่าพี่ชาย”
องค์หญิงน้อยกระทืบเท้า “ข้าไม่มีพี่ชายเช่นเขา ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียวเท่านั้นคือหนานกงหลี!”
ภายในใจประมุขหญิงก็โกรธเคืองไม่น้อย อยากสั่งสองไอ้สวะกับพี่สาวตัวดีนั่นสักครา หันกลับมาตัวตนของราชบุตรเขยก็ถูกเปิดเผยเสียแล้ว ยามนี้ราชบุตรเขยถูกพาออกจากเรือนจำแล้ว แต่กลับถูกย้ายไปที่เรือนของคนอื่น
คนที่สั่งการทั้งหมด ก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดของนาง
ประมุขหญิงระงับโทสะ กล่าวกับองค์หญิงน้อย “นี่เป็นความประสงค์ของท่านตา เจ้าอย่าได้โวยวายจนเกินงาม”
“ท่านตาบอกว่าให้ข้ายกเรือนที่สร้างขึ้นใหม่ให้พวกเขาหรือ? ท่านตาบอกให้ข้าถูกคนพวกนั้นรังแกหรือ? สตรีผู้นั้นมีแรงมากยิ่งนัก! แขนของข้าถูกนางบีบจนบวมไปหมดแล้ว ท่านแม่ดูสิ!” องค์หญิงน้อยม้วนแขนเสื้อเผยให้เห็นข้อมือขาวที่มีรอยนิ้วมือประทับอยู่ชัดเจน
ประมุขหญิงก็เจ็บปวดใจเช่นกัน แต่เรื่องนี้นางก็ทำสิ่งใดไม่ได้ องค์หญิงน้อยเริ่มดึงผมของพระชายาซื่อจื่อก่อน สาวใช้ปกป้องนายด้วยความภักดีจึงโยนนางออกมา
หากเป็นเมื่อก่อน ประมุขหญิงไม่ต้องสนใจเหตุผลใดๆ นางคือกฎสวรรค์ ทว่ายามนี้นางค่อยๆ สูญเสียความโปรดปราน จำต้องถอยมาตั้งหลักเพื่อรอโอกาส
องค์หญิงน้อยงอแงอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่ได้สิ่งใดก็กลับเรือนไปด้วยความโมโห
หนานกงหลีเข้ามาในห้อง “ท่านแม่”
ประมุขหญิงกล่าวอย่างเหนื่อยล้า “นั่งลงสิ”
หนานกงหลีนั่งลง
สองแม่ลูกต่างมีเรื่องในใจ ทั้งสองคนไม่ได้พูดกัน
แสงเทียนริบหรี่ภายในห้อง บรรยากาศหนักอึ้งเล็กน้อย
ทันใดนั้น หนานกงหลีก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ท่านพ่อตื่นแล้ว”
“เขาตื่นแล้วหรือ?” ประมุขหญิงแปลกใจ
นี่เป็นข้อดีของการอาศัยอยู่ในจวนหลังเดียวกัน ยามที่เกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ปิดไม่มิด
“ไม่ดีแล้ว หากพ่อของเจ้าตื่นขึ้นและได้เห็นเด็กคนนั้น เขาจะ…” ประมุขหญิงหยุดกลางคัน
หนานกงหลีเยาะเย้ย “จะถูกกระตุ้นและจำอดีตได้น่ะหรือ? ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ถึงจะเป็นลูกของท่านพ่อเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดภายในใจของท่านพ่อถึงไม่มีข้า ท่านแม่ ข้าเป็นลูกของท่านพ่อหรือไม่?”
ประมุขหญิงกำมือแน่น
…………………………………………