หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 294 พ่อลูก ภาพแฉก (2)
เจ้าของวาจานั้นคือผู้บัญชาการทหารแซ่เยว่ท่านหนึ่ง บิดาของเขาเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวตั้น ยามแรกเคยต่อต้านขุนนางที่ต้องการส่งตี้จีองค์โตออกไป บิดาของเขาก็เป็นคนที่ตกเป็นเป้า แต่ทว่า บิดาของเขาไม่มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นองค์ประมุขกับหนิวตั้น จึงถูกคนของจวนท่านตาประมุขหญิงบีบคั้น จนต้องลาออกไปก่อนเวลา
เขาไม่มีร่มเงาของบิดา เข้ามาในค่ายทหารด้วยความสามารถของตนเอง จนได้นั่งตำแหน่งแม่ทัพ
แม้ไม่อาจเทียบได้กับเห้อเหลียนเป่ยหมิง ทว่าในบรรดาแม่ทัพก็นับว่าไม่น้อยหน้า
ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ก็มีอีกหลายคนที่เห็นด้วยทันที
ในบรรดากลุ่มคนพวกนั้น มีหลายคนที่มีความไม่พอใจต่อประมุขหญิง และเคยถูกราชบุตรเขยใช้วิธีกดขี่มาก่อน เมื่อยามนี้หาตัวราชบุตรเขยไม่ได้ พวกเขาจึงเอาความโกรธแค้นไปลงกับประมุขหญิง
องค์ประมุขปวดหัว
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” เขากล่าว “สิ่งที่ควรลงโทษก็ได้ลงโทษแล้ว สิ่งที่ควรยกเลิกก็ถูกยกเลิกแล้ว ข้ามาราชสำนักในวันนี้ มีเรื่องต้องการขอความคิดเห็นจากใต้เท้าทั้งหลาย”
สิ่งที่เขาต้องการพูดถึง คือการพาตี้จีองค์โตกลับมาที่หนานจ้าว
ไหนเลยจะรู้ว่าเขายังไม่ทันเอ่ย ขันทีคนหนึ่งก็กระวีกระวาดเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น รีบคุกเข่านอกตำหนักจินหลวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “ฝ่าบาท! บ่าวมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะ สีหน้าขององค์ประมุขดูคาดไม่ถึงเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจว่าหากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนยิ่ง พวกบ่าวก็คงไม่กล้ารบกวนถึงตำหนักจินหลวน
เขาตรัสเสียงทุ้ม “รีบว่ามา”
ขันทีกล่าว “วิหารพิษไฟไหม้!”
องค์ประมุขลุกขึ้นและตรัสว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ? วิหารพิษไฟไหม้? มีผู้ใดบาดเจ็บหรือไม่?”
“ยังไม่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวด้วยความหวาดกลัว
วิหารพิษกับสำนักราชครู เรียกอีกอย่างว่าวิหารเทพขนาดใหญ่สองแห่งของหนานจ้าว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับพรจากเทพเจ้ากู่ ไม่ว่าเป็นที่ใดเกิดเรื่อง ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
องค์ประมุขส่งกองทหารรักษาพระองค์ไปที่วิหารพิษในทันที ด้านหนึ่งเพื่อช่วยดับไฟ อีกด้านหนึ่งเพื่อทราบสถานการณ์การบาดเจ็บล้มตายและความจริงของการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ ไหนเลยจะรู้ว่า กองทหารรักษาพระองค์เพิ่งเดินทาง สำนักราชครูก็ส่งข่าวมา ที่นั่นก็เกิดเพลิงไหม้เช่นกัน!
วิหารเทพใหญ่ทั้งสองเกิดไฟไหม้ นี่กำลังเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างหรือไม่?
องค์ประมุขขมวดคิ้ว “เลิกศาล! เรียกราชครูมาพบข้า!”
ราชครูรีบมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่เกิดไฟไหม้ เขาจึงไม่ทันได้จัดระเบียบเสื้อผ้าตนเอง จึงมาเข้าเฝ้าองค์ประมุขด้วยสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเช่นนี้
ในห้องทรงอักษร เขายกมือโค้งคำนับ “ฝ่าบาท”
องค์ประมุขมองไปที่แขนเสื้อที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้วตรัสถาม “ราชครูไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ราชครูส่ายหัว “กระหม่อมไม่เป็นไร”
องค์ประมุขตรัสถามว่า “เหตุใดสำนักราชครูจึงเกิดเพลิงไหม้?”
ราชครูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เท่าที่กระหม่อมทราบ คลังเก็บของเกิดเพลิงลุกไหม้เป็นที่แรก”
“ผู้ใดวางเพลิง?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่า ไฟมันลุกเองหรือ?”
“เกรงจะเป็นเช่นนั้น”
องค์ประมุขเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไร้สาระ! เพลิงจะลุกเองได้อย่างไร? มีผู้วางเพลิงเพียงแต่พวกเจ้าตรวจไม่พบหรือไม่?”
ราชครูยกมือขึ้นคำนับ “กระหม่อมตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแแล้ว เวลานั้นไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้กับคลังเก็บของ และด้านในก็ยังไม่มีหนังสือที่อาจทำให้เกิดไฟได้”
“ฝ่าบาท!” รองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ที่เดินทางไปตรวจสอบวิหารพิษกลับมาแล้ว องค์ประมุขพยักหน้าให้ขันทีหวัง ขันทีหวังจึงเปิดทางให้เขาเข้าเฝ้าประมุขที่ห้องทรงอักษร
เขายกมือคารวะ “ทูลฝ่าบาท เพลิงไหม้วิหารพิษลุกไหม้จากห้องของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง เวลานั้นเขาไปตักน้ำจากสถานที่ใกล้เคียง จึงโชคดีหนีออกมาทัน ไม่เช่นนั้นหากอยู่ในเรือน เกรงว่ารอดกลับมายากพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขตกใจ ทั่วทั้งร่างผุดเหงื่อเย็น ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งอายุมากแล้ว แต่ร่างกายก็ยังนับว่าแข็งแกร่ง เขามีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปี หากจู่ๆ มาตายในกองเพลิง ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
“ตรวจพบต้นตอหรือไม่?” องค์ประมุขตรัสถาม
“เป็นเพลิงที่เกิดขึ้นอย่างลึกลับพ่ะย่ะค่ะ” รองผู้บัญชาการกล่าว
เรือนของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมา การลอบวางเพลิงนับว่าง่ายดาย แต่หากลอบวางเพลิงแล้วสามารถป้องกันไม่ให้กองทหารรักษาพระองค์ค้นพบเบาะแสได้ เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
กองทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่พวกกินพืช
วิหารพิษที่มีหน่วยกล้าตายอยู่มากมายยิ่งไม่ใช่
องค์ประมุขทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง แม้ว่าในเรือนจะมีข้ารับใช้ไม่มากนัก ทว่ารอบด้านกลับมีหน่วยกล้าตายฝีมือดีเฝ้าอยู่ถึงสิบกว่านาย
ราชครูชะงัก แล้วก้าวไปข้างหน้า “ฝ่าบาท นี่อาจเป็นสัญญาณของภัยร้ายครั้งใหญ่”
องค์ประมุขคิ้วขมวด “ท่านราชครูหมายความว่าอย่างไร?”
ราชครูไม่เร่งรีบตอบ เพียงแต่ค้อมกายคำนับ “กระหม่อมจะทำนายให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขครุ่นคิดครู่หนึ่งและพยักหน้าตกลง
ราชครูหยิบเหรียญทองแดงที่ใช้ในการทำนายออกมา พึมพำสวดคาถาสองสามจบแล้วโยนลงบนโต๊ะ จากนั้นเหรียญทองแดงทั้งหกก็ปรากฎเป็นลวดลายที่แปลกประหลาด
องค์ประมุขไม่เข้าใจภาพแฉก จึงตรัสถาม “ภาพแฉกมีความหมายว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาท” ร่องรอยแห่งความวิตกกังวลพาดผ่านใบหน้าของราชครู “นี่คือแฉกดุร้าย ลองดูภาพแฉกสิพ่ะย่ะค่ะ ภัยพิบัติได้รุกรานเข้าสู่หนานจ้าวมานานแล้ว ต้องตำหนิที่กระหม่อมไม่ตรวจพบให้เร็วกว่านี้”
องค์ประมุขพินิจคำพูดของเขาอย่างถี่ถ้วน “ภัยพิบัติ? เจ้าหมายความว่าที่หนานจ้าวประสบกับความอยุติธรรมหลายครั้งติดต่อกันในระยะนี้ มีเหตุผลอย่างนั้นรึ?”
“เกรงจะเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาท” ราชครูกล่าวอย่างสมเพช “ของศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมย ประมุขไม่ลงรอย บิดาและบุตรแตกแยก สามีภรรยาแยกทาง ใต้หล้าโกลาหล ทั้งหมดเป็นเพราะทิศตะวันออกเฉียงใต้ซุกซ่อนหายนะไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทิศตะวันออกเฉียงใต้?” องค์ประมุขเดินไปที่ประตูและมองตามทิศทางที่ราชครูชี้ไป “นั่นมิใช่ทิศทางของจวนเห้อเหลียนหรอกหรือ? ราชครูต้องการบอกข้าว่า คุณหนูและบุตรเขยที่จวนเห้อเหลียนเพิ่งรับกลับมา รวมถึงนายท่านรองและฮูหยินรอง แล้วก็เด็กทั้งสามนั่นเป็นหายนะของเรื่องทั้งหมดนี้น่ะหรือ?”
“กระหม่อมไม่กล้ากล่าวหาลอยๆ” ราชครูกล่าว
องค์ประมุขส่ายหัว “จะเป็นไปได้เยี่ยงไร? ข้าเคยพบพวกเขาแล้ว พวกเขาล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ยิ่ง ไม่มีวันเป็นหายนะอย่างที่เจ้ากล่าว”
ราชครูกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “โปรดฝ่าบาทนำช่วงเวลาตกฟากและวันเกิดของพวกเขามา กระหม่อมจะคำนวณดวงชะตาของพวกเขาโดยละเอียด”
ขันทีหวังที่อยู่ด้านข้างใจสั่นขึ้นกะทันหัน
คุณหนูจวนตระกูลเห้อเหลียนมีหน้าตาเหมือนตี้จีองค์โต
ในวันคล้ายวันเกิดของตี้จีองค์เล็ก วังหลวงได้ส่งสาส์นเชิญสกุลเห้อเหลียน ทว่าสกุลเห้อเหลียนกลับปฏิเสธและบอกว่าพวกเขาต้องการฉลองวันเกิดของฮูหยินรอง
วันเกิดของฮูหยินรองเป็นวันเดียวกับตี้จีองค์เล็ก
เรื่องที่เคยถูกเขามองข้ามเหล่านี้พลันแล่นเข้ามาในความคิด
ทันใดนั้นเขาก็เกิดการคาดเดาที่อาจหาญยิ่ง
ภัยร้ายที่ราชครูกล่าว คงไม่ใช่ฮูหยินรองแห่งจวนเห้อเหลียนกระมัง?
และฮูหยินรองผู้นี้ ก็คงไม่ใช่ตี้จีองค์โตแห่งหนานจ้าวกระมัง?
นางมาที่หนานจ้าวเพียงไม่กี่วัน ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับหนานจ้าว
ฝ่าบาทจะทรงคิดหรือไม่ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะดาวหายนะเช่นนาง?
………………………………