หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 303 ตบหน้าดังฉาด สัตว์พิษทั้งสอง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนต่างตะลึงงัน ถ้าหากมองไม่ผิด เจ้าตัวเล็กที่เผ่นหนีไปเมื่อครู่ก็คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยอมรับตี้จีองค์เล็กเป็นเจ้านาย?
ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เผ่น’ น่ะหรือ ก็เพราะเจ้านั่นหล่นตุ้บลงมา แล้วก็ตาลีตาเหลือกหนีไปทันที ทั้งยังมีเสียงคล้ายกับวิ่งชนขาโต๊ะเข้าอย่างจัง ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพราะมันร้อนรนจนหาทางไปไม่ถูก!
ไม่มีชาวบ้านคนใดเคยเห็นราชันสัตว์พิษที่มีท่าทางกระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน…
เดี๋ยวนะ นั่นไม่ใช่ราชันสัตว์พิษธรรมดาสักหน่อย นั่นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าว
เกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวอันใดขึ้นกัน? ไฉนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จึงตกใจกลัวเช่นนี้?
โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่หนอนพิษยอมรับเจ้านายแล้ว จะไม่หนีไปจากเจ้านายง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนอนพิษที่แข็งแกร่ง ทว่าระดับราชันหมื่นสัตว์พิษ หากไม่ใช่เพราะเจ้านายตาย หรือปรมาจารย์พิษเทพซึ่งปรากฏเพียงในตำนานเป็นผู้ลงมือ มันก็จะไม่ทิ้งเจ้านายไปไหนเป็นอันขาด
ทว่าในตอนนี้ สองเหตุการณ์นี้แลดูจะขัดแย้งกัน
ตี้จีแทบล้มทั้งยืน สีหน้าของนางตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม
หากกล่าวถึงปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์พิษที่มีวิชาสูงส่งที่สุด ณ ที่นี้คือเหล่าปรมาจารย์พิษอาวุโสจากวิหารพิษกระมัง? ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงปรมาจารย์พิษอาวุโสหกจั้งเท่านั้น
อันที่จริง นี่คือหนอนพิษที่เล็กจนไม่รู้จะบรรยายว่าเล็กเท่าใด ผู้คนมองไม่เห็นสีหน้าของมัน ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความรังเกียจและสะอิดสะเอียนที่ไม่อาจปิดบังได้จากเงาที่หยุดชะงักของมัน!
ตี้จีองค์เล็ก “…”
ทุกคน “…”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ ละทิ้งตี้จีองค์เล็กต่อหน้าผู้คน
ไม่มีผู้ใดบังคับมัน แต่มันกลับทิ้งเจ้านายของตนออกไป ท่าทางที่มันทิ้งเจ้านายไป แลดูราวกับผู้ชายเฮงซวยทิ้งคนรักของตน
หลังจากที่ตื่นตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ชาวบ้านต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีไปแล้วหรือ?”
“นั่นสิ มันไม่สนใจเจ้านายตัวเองด้วยซ้ำ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันกลัวอะไรหรือ?”
“หลังจากที่ตี้จีไหว้เทพพิษแล้วก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าว่าต้องเป็นบัญชาแห่งเทพอย่างแน่นอน”
ถ้าหากกล่าวว่าเป็นผู้ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลือก ก็หมายความว่าได้รับการคุ้มครองจากเทพพิษ และถ้าหากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีไป ก็หมายความว่าตี้จีไม่เป็นที่พึงพอใจของทวยเทพ
มิเช่นนั้น เหตุใดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่หนีไปตั้งแต่ตั้งแต่แรก แต่กลับหนีไปหลังจากที่นางกราบไหว้เทพพิษ?
นี่ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายอีกหรือ?
ไม่นาน ผู้คนก็นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เคยถูกขโมยไปครั้งหนึ่ง พวกเขาช่างไร้เดียงสา คิดว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกปรมาจารย์พิษเทพในตำนานบีบบังคับให้ออกมา ทว่าดูจากเหตุการณ์ในวันนี้แล้ว เห็นทีว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คงจะหนีจากตี้จีด้วยตนเอง!
อย่างไรเสียพวกเขาล้วนเห็นกับตา จะเป็นเรื่องหลอกลวงไปได้อย่างไร?
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีจากนางไปตั้งแต่แรกแล้ว นางไม่คู่ควรกับการเป็นเจ้านายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คนเขาหนีไปครั้งหนึ่งแล้ว นางก็ยังจับมาอีก วันนี้ก็เลยหนีอีกแล้ว!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดโพล่งขึ้นมา เสียงนั้นดังพอสมควร ชาวบ้านและคนบนแท่นบูชาล้วนได้ยิน
ทุกคนมองไปยังหนานกงเยี่ยนซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ในตอนนี้ต่อให้หนานกงเยี่ยนมีหนึ่งร้อยปากก็แก้ต่างไม่ไหว!
นางอยากบอกว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทอดทิ้งนางไปสักหน่อย! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกคนขโมยไป ตอนนั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ยอมรับนางเป็นเจ้านาย จึงเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของ ขอแค่เป็นยอดฝีมือก็ขโมยไปได้แล้ว
แต่นางพูดออกไปไม่ได้
หากพูดไป ก็มิใช่เรื่องดีต่อตนเองอยู่ดี
แต่หากไม่พูด การคาดเดาของผู้คนนั้นแย่ยิ่งกว่าเสียอีก
เข้าไปก็ตาย ถอยหลังออกมาก็ตาย หนานกงเยี่ยนถูกบังคับให้ต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยนสามารถพูดออกไปได้ว่าสิ่งที่หนีนางไปวันนี้หาใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ หากแต่เป็นราชินีสัตว์พิษ นางไม่เคยถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทิ้งมาก่อน ก็เพราะนางไม่เคยเป็นเจ้านายของมันมาก่อนอย่างไรเล่า แต่หากบอกไป นั่นมิได้หมายความว่าโทษของนางก็จะเพิ่มขึ้นอีกสถานหรอกหรือ?
โกหกองค์ประมุข หลอกลวงราษฎร
แต่นั่นก็มิได้ทำให้นางถูกก่นด่าน้อยไปกว่าการ ‘ถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทอดทิ้ง’ เลยสักนิด
หนานกงเยี่ยนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไร้พลังที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หากบอกความจริงก็เท่ากับยอมรับว่าเคยทำผิด ไม่ยอมรับความผิดก็เท่ากับแบกรับเรื่องโกหก
นางมองไปยังราชครูอย่างทำอะไรไม่ถูก และหวังว่าราชครูจะยื่นมือมาช่วยเหลือนางในยามคับขันเช่นนี้
แม้ว่าราชครูคิดจะทำเช่นนั้น แต่เขาก็อยู่ในภาวะลำบากยิ่งกว่านางเสียอีก
ชาวบ้านอยู่ห่างออกไปไกล มองเห็นไม่ชัด เขาและองค์ประมุข รวมไปถึงปรมาจารย์พิษอาวุโสจ้องเจ้าตัวเล็กเขม็ง มองตามมันวิ่งหนีผ่านพวกเขาไป ทั้งตัวของมันสีขาวปลอดราวกับหิมะ หากไม่ใช่คางคกหิมะแล้วจะเป็นตัวอะไร?
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็มีสีขาว แต่ไม่ได้ขาวและไม่ได้งดงามเพียงนี้ เมื่อได้พบเห็นครั้งหนึ่งก็ทำให้รู้สึกตราตรึงอยู่ในใจ
องค์ประมุขขมวดคิ้ว ไม่มั่นใจว่าตนตาฝาดไปหรือไม่ “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
ครานั้นที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกนำมาถวาย องค์ประมุขก็ได้มีโอกาสลอบมองขวดมรกต สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แบบนี้นี่
ราชครูไม่กล้ากล่าวอะไร สีหน้าของเขายังคงดูตื่นตะลึง คล้ายกับถูกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตกใจ มีเขาเพียงผู้เดียวที่กระจ่างในเรื่องนี้ เขากำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะสรรสร้างคำโกหกว่าอย่างไร
น่าเสียดายที่ในครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินในของเขาเพียงคนเดียว
มีปรมาจารย์พิษอาวุโสมาจากวิหารพิษทั้งหมดห้าคน ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาพวกเขา เขาเป็นศิษย์หลานของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง ได้เป็นหัวหน้าปรมาจารย์พิษขั้นสูงแห่งหนานจ้าวตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งเดียวที่เขาไม่อาจเทียบกับปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งได้ก็คือวิชาของเขานั้นหยุดอยู่ที่ระดับหกจั้ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบความสามารถโดยภาพรวมแล้ว ปรมาจารย์พิษซุนเก่งกาจกว่ามาก
เขาบอกกับองค์ประมุขว่า “ดูเหมือนจะเป็นคางคกหิมะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเองก็รู้สึกหวั่นใจว่าตนอาจมองผิดไป
อย่างไรเสียตี้จีก็บอกเองว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากเขาไม่ได้มองผิด เช่นนั้นนางก็กำลังปกปิดความผิด และนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เขาหันไปมองราชครูและเพื่อนร่วมอาชีพ “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? เมื่อครู่เห็นชัดหรือไม่?”
พวกเขาจับจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นกับตี้จีอยู่ตลอด ไหนเลยจะเห็นไม่ชัด? นอกจากปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งที่กระวีกระวาดไปดูไข่มุกพิษที่แตก จนทำให้พลาดเหตุการณ์ในตอนนั้น คนอื่นๆ ล้วนแต่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาจับจ้องตาไม่กะพริบด้วยซ้ำไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเหลียงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าก็คิดว่าเหมือนจะเป็นคางคกหิมะ”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสโจวและปรมาจารย์พิษอาวุโสจูเก๋อก็พยักหน้ารัวๆ
พวกเขาล้วนแต่เคยเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เคยเห็นภาพวาดและรูปสลักของราชินีสัตว์พิษ คนทั่วไปอาจมองพลาดไปได้ แต่พวกเขาไม่มีทางมองพลาด
“น่าแปลก เป็นคางคกหิมะไปได้อย่างไร? ไม่ได้บอกหรือว่า…เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์?” ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งพึมพำ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เมื่อครู่ไม่ได้เห็นราชินีสัตว์พิษ แต่เมื่อทุกคนพูดเช่นนั้น ย่อมไม่มีทางผิดพลาด
หนานกงเยี่ยนร้อนรนเหลือเกิน ราชครู ท่านพูดอะไรสักหน่อยสิ!
ราชครูหลับตาลง เขาก็อยากพูดอยู่หรอก แต่เมื่อมีสายตาหลายคู่มองอยูู่ ต่อให้เขาเอ่ยปากโต้แย้งไปก็ไม่สามารถโน้มน้าวผู้ใดได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็จะเป็นการเปิดโปงความสัมพันธ์ของเขากับตี้จีด้วย
ผู้ที่เอ่ยปากกลับเป็นเห้อเหลียนเป่ยหมิงผู้ซึ่งอยู่ด้านล่างแท่นบูชา เขาอยู่ใกล้กว่าชาวบ้านมาก แม้ว่าจะมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนแท่นบูชาไม่ชัดเจน แต่ก็ได้ยินสิ่งที่กลุ่มคนบนแท่นบูชาพูดได้อย่างชัดเจน
เขานั่งอยู่บนรถเข็น เสียงดังกังวาน ฟังดูราวกับกำลังดูละครสนุกๆ เรื่องหนึ่งอยู่ “ตี้จีได้โปรดอธิบายว่าเหตุใดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านจึงกลายเป็นคางคกหิมะไปได้? ตี้จีเป็นเจ้านายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อย่าบอกกระหม่อมนะว่าตี้จีมองผิดไป”
แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยนย่อมไม่อาจพูดได้ว่าตนมองผิดไป
จะมีใครมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตนผิดได้เล่า? แต่ถ้าหากไม่ได้มองผิด เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? จะให้ยอมรับว่าตนหลอกลวงองค์ประมุขอีกครั้งหนึ่งหรือ?
หนานกงเยี่ยนกระวนกระวายจนเหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผาก
เสียงของเห้อเหลียนเป่ยหมิงมิใช่เบาๆ ชาวบ้านซึ่งยืนอยู่แถวหน้าล้วนได้ยิน
แม่ทัพใหญ่หมายความว่าอย่างไร? เจ้าตัวเล็กๆ เมื่อครู่ไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นคางคกหิมะหรอกหรือ?
ที่แท้ตี้จีใช้คางคกหิมะมาหลอกว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์?
มิน่าเล่าเทพพิษจึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้คางคกหิมะหนีไปจากนาง นางเป็นเพียงคนโกหก!
การกระทำเช่นนี้บนแท่นบูชาทวยเทพ นางไม่เพียงหลอกลวงราษฎร ปิดบังประมุข แต่ยังดูหมิ่นเทพพิษอีกด้วย!
“ลงมา!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมา ชาวบ้านระเบิดโทสะเสียแล้ว
“ใช่แล้ว! ลงมา!”
“เจ้าคนโกหก! ลงมาเดี๋ยวนี้!”
โผละ!
ไข่เน่าใบหนึ่งพุ่งไปโดนใบหน้าของหนานกงเยี่ยน
กลิ่นเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนลอยไปแตะจมูกของนาง นางรู้สึกคลื่นเหียนในท้อง คล้ายกับจะอาเจียนออกมา
“ข้าไม่ใช่คนโกหก!” นางกดความรู้สึกขยะแขยง “นั่นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์! พวกเจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของพวกเขา!”
ราชินีสัตว์พิษหนีไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ขอเพียงนางยืนกรานไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครทำอะไรนางได้!
ชาวบ้านคนหนึ่งถามว่า “ปรมาจารย์พิษอาวุโสจะพูดเหลวไหลได้อย่างไรกัน”
หนานกงเยี่ยนเกิดความคิดขึ้นมา “พวกเขา…พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับสกุลเห้อเหลียน! คุณชายน้อยสกุลเห้อเหลียนพวกนั้นเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งของวิหารพิษ!”
ทันทีที่พูดออกไป ทุกคนก็พลันเงียบลง
นางพูดอะไร? ปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยเหล่านั้นคือคุณชายน้อยแห่งสกุลเห้อเหลียน?
บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสต่างตกตะลึง!
พวกเขาอยากรู้ประวัติของปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยเหล่านั้นมาตลอด น่าเสียดายที่พวกเขาปิดปากไม่
ยอมบอก บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสคิดอยากประจบประแจงก็ไม่อาจทำได้ ที่แท้ก็เป็นคนสกุลเห้อเหลียนหรอกหรือ?
หนานกงเยี่ยนตัดสินใจลงมือตีเหล็กตอนที่ยังร้อน “พวกเขาสมคบคิดกัน! วิหารพิษพึ่งพาสกุลเห้อเหลียน! เพราะฉะนั้นจึงออกหน้ารับแทนพวกเขา! อีกอย่าง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพวกเขาทำอย่างไรจึงขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในมือข้าไปได้! มีเพียงวิหารพิษเท่านั้นที่ทำเรื่องอย่างนี้ได้มิใช่รึ?”
เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี คนจากวิหารพิษก็ยืนอึ้งไปตามๆ กัน
พวกเขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ไฉนกลายเป็นพวกเขาที่ขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปได้เล่า?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนสีหน้าขึงขัง “พวกข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น!”
หนานกงเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ทุกคนก็เห็นว่าพวกเจ้าเป็นคนเตรียมไข่มุกพิษ หลังจากที่ข้าแตะไข่มุกพิษของพวกเจ้าจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น เมื่อครู่ไข่มุกพิษระเบิด ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก จึงหนีออกไปในทันใด เจ้ายังมีหน้ามาบอกอีกหรือว่าพวกเจ้าไม่ได้วางแผนทำร้ายข้า?”
หนานกงเยี่ยนคิดว่า สกุลเห้อเหลียนมีปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยถือกำเนิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ววิหารพิษก็ต้องเลือกข้างสกุลเห้อเหลียน เช่นนี้มิสู้นางใช้โอกาสนี้เก็บกวาดให้เรียบร้อยดีกว่าหรือ หนึ่งก็เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม สองก็เพื่อลบล้างความผิดให้ตนเอง
ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด!
มีคำกล่าวที่ว่าใช้จิตใจของคนต่ำช้ามาคิดแทนวิญญูชน แม้ว่าวิหารพิษจะอยากได้ปรมาจารย์พิษตัวน้อยทั้งสามเป็นพรรคพวก แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดจะประจบสอพลอสกุลเห้อเหลียน อย่างมากก็คิดแค่พาคนเข้ามาในสำนัก ไม่ได้คิดไปสอดมือในสงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นอันขาด
แต่หนานกงเยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง สาดโคลนใส่วิหารพิษและสกุลเห้อเหลียนทันใด นั่นทำให้วิหารพิษมีศัตรูร่วมกับสกุลเห้อเหลียน
ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกันจริง เช่นนั้นก็ต้องจัดการหนานกงเยี่ยนให้อยู่หมัด
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้แลดูมิได้มีผลดีต่อวิหารพิษและสกุลเห้อเหลียนเลย
“ตอนนั้นวิหารพิษของพวกเจ้าเป็นคนขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?” หนานกงเยี่ยนยังคงสาดโคลนต่อไป
ระหว่างคำหลอกลวงของตี้จีกับแผนการใส่ร้ายนางของสกุลเห้อเหลียนและวิหารพิษ ชาวบ้านยอมรับอย่างหลังได้ง่ายกว่า ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น แต่เป็นเพราะตี้จีองค์เล็กเกิดมาเป็นดาวนำโชคของแผ่นดิน ทว่าฮูหยินสกุลเห้อเหลียนนั้นเป็นกาลกิณี ไม่ว่าจะมองอย่างไร ตี้จีองค์เล็กก็ได้รับความรู้สึกที่ดีและความเห็นอกเห็นใจจากอาณาประชาราษฎร์มากกว่า
เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ ในที่สุดหนานกงเยี่ยนก็หลุดพ้นจากความมืดมน นางมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มืด มิดแล้ว
นางภาคภูมิใจในตนเองเหลือเกิน
หลังจากวันนี้ แม้ว่าจะหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาไม่ได้ ก็มิอาจกล่าวโทษนางได้อีกต่อไป นางสามารถพูดได้เต็มปากว่าวิหารพิษฆ่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตายเพียงเพื่อแก้แค้นนาง
ไหนเลยจะรู้ว่า ระหว่างที่นางกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องกับความปราดเปรื่องของตนอยู่นั้น ร่างอรชรร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากฝูงชน
“โอ๊ย!”
อวี๋หวั่นสะดุดขาใครสักคนหนึ่ง จึงทรงตัวไม่อยู่แล้วพุ่งออกมา
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะล้มหน้าคะมำ เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เข้ามารับหลานสาวเอาไว้
อวี๋หวั่นล้มไม่เป็นท่าอยู่บนรถเข็นของเขา
อ๊า! คนพวกนี้เป็นอะไรกัน เบียดจนเธอจะแบนเป็นแผ่นแป้งอยู่แล้ว!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงลูบศีรษะหลานสาวด้วยความเอ็นดู
ทันใดนั้นเอง ไข่มุกพิษบนแท่นบูชาก็สว่างขึ้นมา!
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งมีสีหน้าประหลาดใจ “เดี๋ยวก่อน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หนีไปแล้วหรือ? เหตุใดไข่มุกพิษถึงสว่างมากถึงเพียงนี้?”
ผู้คนต่างฉงนใจ นั่นสิ หากสิ่งที่ตี้จีพูดเป็นเรื่องจริง สิ่งที่หนีไปคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่แล้ว ไข่มุกพิษก็ไม่ควรส่องแสง ไฉนจึงส่องแสงสว่างกว่าครั้งก่อนอีกเล่า?
เกิดอะไรขึ้น?
สายตาของทุกคนมาหยุดที่อวี๋หวั่น
เหมือนว่าตั้งแต่ที่นางปรากฏตัว ไข่มุกพิษก็สว่างขึ้นมา
ราชครูสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย
เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็มีแสงสีขาวสว่างวาบที่หน้าอกของอวี๋หวั่น
แสงนั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเพียงเงา ผู้คนยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็พุ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของแท่นบูชา!
แย่แล้วๆๆๆ!
สิ้นหวังเหลือเกิน!
ราชินีสัตว์พิษสาวเท้าเล็กๆ ของมันสุดชีวิต เร่งความเร็วสูงสุด ก็ยังถูกเจ้าหนอนตัวน้อยของอวี๋หวั่นพุ่งเข้ามาหาอย่างง่ายดาย!
เจ้าตัวน้อยเหวี่ยงราชินีสัตว์พิษขึ้นไปบนแท่นบูชา!
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า!
มันอ้าปากซึ่งดูน่าสยดสยอง…
“ห้ามกินมันนะ!” อวี๋หวั่นตะโกน
เจ้าตัวน้อยชะงัก
ราชินีสัตว์พิษซึ่งถูกทุ่มไปอีกฝั่งก็วิ่งหัวหกก้นขวิดเข้าไปหาอ้อมอกของอวี๋หวั่น
มันกัดผ้า ตัวสั่นเทิ้ม
หงึกๆๆ
ช่วยด้วย~
…………………………………….