หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 309 อำนาจแห่งเทพสงคราม
องค์ประมุขตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ปัญหาภายในยังไม่ทันสะสาง กองทัพต้าโจวก็เข้ามาประชิดเสียแล้ว อีกทั้งผู้บัญชาการทัพก็ยังเป็นเซียวเจิ้นถิงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ
บุรุษผู้เป็นดังขุนเขา…
เซียวเจิ้นถิงชื่อเสียงโด่งดัง องค์ประมุขเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาไม่น้อย หนานจ้าวมีเห้อเหลียนเป่ยหมิง ต้าโจวก็มีเซียวเจิ้นถิง คำกล่าวนี้ไม่ว่าราชสำนักหรือในหมู่ชาวบ้านล้วนแต่รู้กันทั่ว องค์ประมุขยังคงไม่ปักใจเชื่อ ผู้ใดจะมาต่อกรกับเทพสงครามแห่งหนานจ้าวได้?
จวบจนกระทั่งสายลับนำข่าวเกี่ยวกับเซียวเจิ้นถิงมากราบทูล องค์ประมุขจึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือเทพสงครามที่สวรรค์ส่งมา ซึ่งแตกต่างกับตระกูลแม่ทัพอย่างสกุลเห้อเหลียน สกุลเซียวแม้ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็เพิ่งจะมายิ่งใหญ่ในยุคของเซียวเจิ้นถิง
เซียวเจิ้นถิงมิได้มีบิดาที่ดีพร้อมอย่างหนิวตั้น และไม่ได้มีพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้งานเขาโดยปราศจากความเคลือบแคลงใจ เส้นทางการเติบโตของเขานั้นยากเย็นกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงมาก แต่เขาใช้ความสามารถที่แท้จริงค่อยๆ ก้าวขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้าโจว
ด้วยเหตุนี้เองฮ่องเต้แห่งต้าโจวจึงเกรงกลัวเขา หาวิธีให้เขาวางมือจากอำนาจในกองทัพ ส่วนฮ่องเต้แห่งต้าโจวใช้วิธีอะไรนั้น ผู้คนไม่น้อยย่อมรู้ดี เซียวเจิ้นถิงหลงรักพระชายาผู้เป็นหม้ายของเยี่ยนอ๋อง หากไม่ใช่นางก็จะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใด ฮ่องเต้จึงใช้อำนาจทางการทหารมาบีบบังคับเขา ตามหลักแล้ว เมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงจุดนี้ เซียวเจิ้นถิงก็ควรล้มเลิกความตั้งใจที่จะแต่งงานกับพระชายาของเยี่ยนอ๋อง เพราะอย่างไรเสียใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก ด้วยตำแหน่งของเขา ปรารถนาสตรีคนใดก็ย่อมต้องได้มาครอบครอง
ทว่าเซียวเจิ้นถิงกลับยอมทิ้งอำนาจในกองทัพ
บางทีเขาอาจรักพระชายามาก หรือบางทีเขาอาจใช้โอกาสนี้ในการแลกชีวิตของเหล่าพี่น้องนับแสนคนกลับคืนมา
ความจริงเป็นอย่างไร นอกจากเจ้าตัวแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครรู้
กระนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ตั้งแต่ที่เซียวเจิ้นถิงส่งมอบอำนาจทางการทหารไปแล้ว เขาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีกเลย มีเพียงครั้งเดียวก็คือเมื่อเซียวเหยี่ยนหลานชายของเขาเกิดเรื่อง แต่ในตอนนั้นฮ่องเต้ก็มิได้ให้อำนาจในกองทัพแก่เขาเท่าไรนัก เขาจำต้องพึ่งพากองทัพในเมืองโยวโจวซึ่งมีอยู่น้อยนิด ตีกองทัพของซยงหนูซึ่งมีทหารนับแสนนายจนล่าถอยไป
ในตอนนั้น อวี๋เซ่าชิงและเซียวเหยี่ยนสร้างความดีความชอบในการเปิดเผยรายชื่อสายลับ แต่ผู้ที่ทำให้กองทัพซยงหนูขวัญหนีดีฝ่อตัวจริงก็คือเทพสงครามโลหิตเหล็กผู้นี้นี่เอง
ที่ใดมีเขา ที่นั่นก็คือสุสานของฝ่ายศัตรู
หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้สูญสิ้นวรยุทธ์ องค์ประมุขย่อมไม่มีวันกลัวเซียวเจิ้นถิง เซียงเจิ้นถิงเก่งกาจเพียงใด เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เก่งกาจไม่แพ้กัน และบางที การมีพ่อซึ่งเป็นแม่ทัพผู้ปราดเปรื่องอย่างหนิวตั้น มีประสบการณ์ที่สั่งสมมารุ่นสู่รุ่น กลยุทธ์การศึกของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่าเขาไม่อาจส่งเห้อเหลียนเป่ยหมิงลงไปในสนามรบได้ ขอเพียงเป็นคนส่งทหารไป นั่นก็เป็นขวัญกำลังใจที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่เหล่าทหารของหนานจ้าวแล้ว
เพียงแต่ว่า…
เมื่อคิดถึงกลยุทธ์การศึกที่ไร้รูปแบบตายตัวของเซียวเจิ้นถิงแล้ว องค์ประมุขก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าเขาจะส่งคนแทรกซึมเข้ามาในกองทัพเพื่อลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ฮ่องเต้แห่งต้าโจวให้ความสำคัญกับเยี่ยนอ๋องถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ให้ความสำคัญถึงขนาดที่ยอมมอบอำนาจทางการทหารให้แก่เซียวเจิ้นถิงอีกครั้งหนึ่ง
องค์ประมุขอยู่ในภาวะคับขันเสียแล้ว!
ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะเกิดจุดหักเหเช่นนี้ แม้ว่าตัวตนของราชบุตรเขยจะถูกเปิดเผย แต่คนส่วนมากก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อหนานจ้าว ปัญหาส่วนตัวของคนสองคน ไฉนจึงกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศไปได้?
จากข่าวกรองของแนวหน้า ดูเหมือนว่าฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะกล่าวโทษตี้จีแห่งหนานจ้าวว่ากักขังหน่วงเหนี่ยวเยี่ยนอ๋อง
เรื่องนี้น่าขบคิด
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการแต่งงานของเยี่ยนอ๋องและตี้จีองค์เล็กจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง?
“ข้าได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องและพระชายามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เยี่ยนอ๋องเองก็ไม่ได้ดูเหมือนผู้ที่จะหนีไปมีภรรยาใหม่”
“เยี่ยนอ๋องเป็นผู้ที่มีความเที่ยงธรรม เป็นวิญญูชนที่ซื่อสัตย์ จะทิ้งภรรยาไปได้อย่างไร?”
“นั่นสิ ทั้งยังโกหกว่าตนตายไปแล้ว นั่นไม่ได้มีโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงหรือ? หากทำความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง ฮ่องเต้แห่งต้าโจวควรจะลงโทษประหารเขาเสีย แต่โทษประหารมิใช่เรื่องง่าย ส่งสาส์นมาฉบับหนึ่งให้องค์ประมุขแห่งหนานจ้าวก็ได้แล้วนี่”
แน่นอนว่าย่อมมีคนคิดว่าฮ่องเต้แห่งต้าโจวฉวยโอกาสนี้ขยายอำนาจ เขาเพียงแค่อยากโจมตีหนานจ้าวก็เท่านั้น เพียงแต่ปราศจากข้ออ้างที่เหมาะสม บัดนี้จึงทำตามอำเภอใจเช่นนี้
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องที่ตี้จีองค์เล็กลักพาตัวเยี่ยนอ๋อง ให้เขาดื่มยามานานหลายปี และทำให้เขา
หลงลืมตัวตนของตนเองไป
ตี้จีองค์เล็กยึดสามีของพระชายาเอาไว้ ทำให้ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน บัดนี้นางได้รับผลกรรม
ผลกรรมมาเยือนแผ่นดินหนานจ้าวแล้ว
“ดาวนำโชคอะไรกัน ข้าว่านี่มันกาลกิณีชัดๆ!”
“นั่นน่ะสิ ตอนนั้นราชครูคนก่อนทำนายผิดหรือเปล่านะ?”
เรื่องคำทำนายในปีนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่ความข้างเดียวอีกต่อไป ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยกล่าวถึงตี้จีองค์โต ว่าเด็กคนนั้นดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนอับโชค
นางสมรสกับแม่ทัพสกุลเห้อเหลียน ให้กำเนิดลูกสาวหนึ่งคน และลูกชายอีกหนึ่งคน ลูกสาวมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวในครอบครอง ลูกเขยเป็นถึงซื่อจื่อ หลานชายเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสที่อายุน้อยที่สุด
ต้องสะสมบุญบารมีกี่ภพกี่ชาติจึงจะโชคดีได้เท่านาง
ในทางกลับกัน ไม่มีใครอยากจะมองตี้จีองค์เล็กอีกต่อไป
องค์ประมุขรู้สึกเหนื่อยล้ากับเรื่องชายแดนของหนานจ้าวเหลือเกิน หลายวันมานี้ไม่ได้คิดจะเข้าไปเหยียบวังหลัง แต่ถึงเขาจะไม่ไป ก็ไม่ได้หมายความว่าข่าวคราวจะมาไม่ถึง
เรื่องที่เป็นประเด็นร้อนในหมู่ชาวบ้านได้มาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว
คนในวังหลวงคุ้นเคยกับการพายเรือตามน้ำ เมื่อชื่อเสียงของตี้จีองค์โตดีขึ้น อวิ๋นเฟยก็ได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามไปด้วย
ในตอนนั้นอวิ๋นเฟยสร้างมลทินให้กับองค์ประมุข จึงต้องเผชิญกับความเดียดฉันท์จากทั้งองค์ประมุขและฮองเฮา ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของอวิ๋นเฟยจึงตีตัวออกห่างจากนาง หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตในวังหลวงด้วยความขมขื่น ไร้ที่พึ่งจากญาติมิตร
บัดนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ส้มโอชั้นดีเข้ามาในวังหลวง ก็ถูกส่งไปยังตำหนักของนางทันที
ฮองเฮาจำต้องกินของที่นางเลือกแล้ว
นี่ย่อมไม่ใช่รับสั่งขององค์ประมุข แต่องค์ประมุขไม่ได้เสด็จมาหาฮองเฮาหลายวันนั้นล้วนแต่อยู่ในสายตาของคนในวัง นั่นไม่ได้หมายความว่าทางองค์ประมุขไม่สนใจฮองเฮาแล้วหรอกหรือ?
“ข้างนอกว่าอย่างไรกันบ้าง?” ในตำหนัก ฮองเฮาถามขันทีด้วยสีหน้าเย็นชา
ขันทีตัวสั่น ทำใจดีสู้เสือตอบไปว่า “ทูลฮองเฮา ข้างนอกว่ากันว่า…ว่าในปีนั้นราชครูคนก่อนทำนายผิด ตี้จีองค์โตเป็น…เป็นดาวนำโชค ตี้จีองค์เล็กของพวกเราเป็น…กาลกิณี…”
“สามหาว!” ฮองเฮายกกำปั้นขึ้นทุบโต๊ะ
น้อยครั้งนักที่นางจะโมโหร้ายเช่นนี้ คนในวังต่างตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
ตั้งแต่ที่ฮองเฮาเข้ามาในวัง ก็ประนีประนอม ไม่เคยสร้างปัญหา หากจะมีปัญหาใด ก็คงจะเป็นเรื่องของอวิ๋นเฟย แต่เรื่องของอวิ๋นเฟยและองค์ประมุขนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ อวิ๋นเฟยปีนขึ้นแท่นบรรทมไปแล้วอย่างไร? แม้แต่ลูกในไส้ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้เลยนี่ องค์ประมุขเกลียดนางเพียงใดไม่ต้องเอ่ยถึง ด้วยความรู้สึกผิด พระองค์จึงปฏิบัติต่อฮองเฮาดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก
วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น ฮองเฮามิไม่คาดฝันแม้แต่น้อยว่าจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น
ฮองเฮาตั้งสติ พยายามระงับไฟโทสะในอก “แล้วอย่างไรอีก?”
ขันทีซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ายกมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วตอบว่า “เจ้าพวกชาวบ้านโง่งมพวกนั้นยังบอกอีกว่าสงครามในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะตี้จีองค์เล็ก จึงขอให้องค์ประมุขตัดสินโทษประหารแก่ตี้จีองค์เล็กพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจ!” ฮองเฮาลุกขึ้นยืน
ขันทีและนางกำนัลหมอบลงกับพื้นในทันใด ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
“ฮองเฮาเพคะ องค์ชายขอเข้าเฝ้า” นางกำนัลคนหนึ่งกราบทูลจากด้านนอก
ฮองเฮาได้ยินว่าหนานกงหลีมา จึงระงับโทสะ นั่งลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ให้เขาเข้ามา พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เพคะ”
เหล่าข้าราชสำนักถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่
หนานกงหลีสาวเท้าเข้าไป มองไปยังฮองเฮาซึ่งพยายามกดไฟโทสะแต่ก็แลดูคล้ายกับกำลังจะสติแตก เขาก้าวเข้าไปจับมือของฮองเฮา “ท่านยาย!”
ฮองเฮาตบหลังมือของเขาเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนว่า “เจ้านั่งลงเถิด”
หนานกงหลีนั่งลงบนเก้าอี้ที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย
ฮองเฮาลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู “หลายวันมานี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
หนานกงหลีส่ายหน้า “หลีเอ๋อร์ไม่เป็นไร แต่ท่านยาย หลีเอ๋อร์ได้ยินมาว่าสถานการณ์ของท่านไม่ดีนัก”
“มีอะไรไม่ดี?” ฮองเฮาถาม
“อวิ๋นเฟยสร้างปัญหาให้กับท่านอีกแล้วหรือ?” หนานกงหลีก็มีคนเป็นหูเป็นตาในวังหลวง ย่อมต้องได้ยินเรื่องของอวิ๋นเฟยมาไม่น้อย สตรีผู้นั้นมักจะอยู่ไม่สุข บัดนี้ได้วาสนาจากลูกสาว ก็โอหังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “นางยังไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”
อวิ๋นเฟยไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง แต่ความสามารถในการขวางหูขวางตานั้นนางฝึกฝนจนชำนาญ ในทุกๆ วัน อวิ๋นเฟยจะมาถวายพระพรฮองเฮาที่ตำหนัก ฮองเฮาไม่ให้นางเข้าเฝ้า แต่นางก็ยังมาเดินผ่านประตูตำหนัก สรุปแล้วนางมาสร้างความรำคาญก็เท่านั้น
ฮองเฮาเป็นผู้ใหญ่ ย่อมไม่ต้องการให้เด็กมาเป็นกังวล
หนานกงหลีมองออกแต่ไม่ได้พูดออกไป เขาทอดสายตาไปยังฮองเฮา “ท่านยาย วันนี้ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน”
“เรื่องอันใด?” ฮองเฮาถาม
หนานกงหลีตอบว่า “เรื่องที่กองทัพต้าโจวยกทัพเข้ามาประชิดท่านคงได้ยินมาแล้ว”
ฮองเฮาตอบอย่างจนปัญญาว่า “เซียวเจิ้นถิงนำทัพด้วยตนเอง ทำให้กองทัพต้าโจวมีขวัญกำลังใจแรงกล้า ศึกครั้งนี้ หากไม่วางแผนให้ดี ท่านตาของเจ้าได้เจองานหนักอย่างแน่นอน”
หนานกงหลียิ้ม “ข้ามีวิธีทำให้กองทัพต้าโจวล่าถอยไป”
ฮองเฮาส่ายหน้า “เจ้ามีวิธีอะไร? จะส่งราชบุตรเขยคืนหรือ? ทำเช่นนั้นไม่ได้ ในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าราชบุตรเขยอยู่ที่ไหน และถึงตามกลับมาได้ เขาก็เป็นพ่อของเจ้า จะส่งเขาให้พวกนั้นไม่ได้!”
หนานกงหลีตอบว่า “ฮ่องเต้ต้าโจวไม่ได้คิดทำร้ายท่านพ่อ ท่านวางใจเถิด และข้าเองก็ไม่คิดจะส่งท่านพ่อให้พวกเขาเช่นกัน”
ฮองเฮาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
หนานกงหลีนัยน์ตาเย็นเยียบ “สังหารเซียวเจิ้นถิงเสีย!”
ที่เอ่ยถึงการสังหารเซียวเจิ้นถิงเช่นนี้ได้ เขาย่อมไตร่ตรองมาดีแล้ว เมื่อเซียวเจิ้นถิงตาย กองทัพต้าโจวก็จะไร้ซึ่งขวัญกำลังใจ การโจมตีย่อมง่ายขึ้น เมื่อเหตุการณ์นี้คลี่คลาย ข่าวลือที่ว่าตี้จีองค์เล็กเป็นกาลกิณีก็จะมลายหายไป
ลูกสาวของตี้จีองค์โตมีความดีความชอบเพราะนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมา เขาชนะศึกจะไม่นับว่าเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่เชียวหรือ?
แน่นอนว่า เขาก็มีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน
เซียวเจิ้นถิงเป็นพ่อเลี้ยงของเยี่ยนจิ่วเฉา แม้จะเป็นพ่อเลี้ยง แต่เขาปฏิบัติต่อเยี่ยนจิ่วเฉาดีกว่าที่เยี่ยนอ๋องปฏิบัติต่อลูกในไส้อย่างหนานกงหลีเสียอีก เมื่อกำจัดเซียวเจิ้นถิงไป ก็นับว่าเป็นการตัดแขนของเยี่ยนจิ่วเฉาไปข้างหนึ่ง
เรื่องใดที่มีผลร้ายต่อเยี่ยนจิ่วเฉา หนานกงหลีจะทุ่มเททำโดยไม่ลังเล
ฮองเฮากลับไม่ได้คิดมากถึงขั้นนั้น นางคิดเพียงว่าในตอนนี้ลูกสาวของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก หากหลีเอ๋อร์สามารถสร้างความดีความชอบทางการทหารได้ สิ่งที่ลูกสาวของนางกำลังเผชิญอยู่ย่อมต้องดีขึ้นเป็นแน่
เมื่อคิดถึงท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างได้ใจของอวิ๋นเฟย ฮองเฮาก็บอกกับตนเองว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขัดขวางไม่ให้ตี้จีองค์โตขึ้นครองตำแหน่ง!
ฮองเฮาจับมือของหนานกงหลีเอาไว้ พร้อมกับกล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงกองทัพที่มีทหารนับแสนนาย ลำพังเซียวเจิ้นถิงคนเดียวก็มีวรยุทธ์สูงส่งแล้ว ใต้หล้าหาผู้ใดต่อกรด้วยยากนัก เจ้าจะสังหารเขา มีวิธีหรือไม่?”
ใต้หล้าหาผู้ใดต่อกรด้วยยาก แต่อย่าลืมว่าเขามีซิวหลัว
ซิวหลัวเดิมทีก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขัดต่อหลักการแห่งธรรมชาติอยู่แล้ว
หากจะให้ซิวหลัวสังหารทหารนับแสนนายก็ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่หากให้เขาสังหารเซียวเจิ้นถิงเพียงคนเดียวย่อมมิใช่เรื่องใหญ่
หนานกงหลีส่งสายตาเป็นเชิงปลอบประโลมให้แก่ฮองเฮา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านยายอย่าได้กังวลไป หากข้าไม่มีแผนการที่เฉียบขาด ข้าคงไม่มาขอร้องท่านเช่นนี้ ท่านเพียงช่วยข้าโน้มน้าวให้ท่านตาส่งข้าไปแนวหน้า ข้ามั่นใจว่าจะนำหัวของเซียวเจิ้นถิงกลับมาได้!”
อีกด้านหนึ่ง สกุลเห้อเหลียนก็ได้ข่าวเรื่องกองทัพที่ชายแดนเช่นกัน แต่ที่ต่างกันออกไปก็คือพวกเขาไม่ได้ฟังผู้อื่นพูด แต่เขาได้รับจดหมายซึ่งเขียนด้วยลายมือของเซียวเจิ้นถิง ส่งผ่านม้าเร็วมาถึงเยี่ยนจิ่วเฉาโดยตรง
เมื่ออวี๋หวั่นอ่านจดหมายจบ นัยน์ตาเป็นประกาย “ท่านพ่อมาแล้ว!”
เนื้อหาในจดหมายนั้นไม่ยักคล้ายกับเรื่องที่ผู้คนพูดกัน
ฮ่องเต้ต้าโจวเดือดดาลอย่างมาก จึงรับสั่งให้เซียวเจิ้นถิงนำทัพมายังหนานจ้าว
เซียวเจิ้นถิงยินดีจะนำทัพมา แต่ไม่ใช่เพื่อเอาใจฮ่องเต้
แต่เขาเดินทางมายังหนานจ้าวเพียงเพื่อเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น
ได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เขามีภรรยามีลูกแล้ว
และยังได้ยินอีกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นเดินทางมายังหนานจ้าว และกำลังเผชิญศึกอยู่ที่นี่
“เดี๋ยวนะ” อวี๋หวั่นอ่านจดหมายไปถึงประโยคสุดท้าย เธอกะพริบตาปริบๆ “ท่านพ่อบอกว่าเขาจะมาหาพวกเราที่เมืองหลวง!”
………….
ฮองเฮาออกโรงเอง ในที่สุดก็สามารถโน้มน้าวองค์ประมุขให้ส่งหนานกงหลีไปยังแนวหน้า อีกทั้งแต่งตั้งให้หนานกงหลีมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ย
หนานกงหลีรับภารกิจ พร้อมกับสาบานว่าหากไม่ได้ศีรษะของเซียวเจิ้นถิง เขาก็จะไม่กลับเมืองหลวง!
เขามีความมั่นใจกับกับภารกิจในครั้งนี้อย่างเต็มเปี่ยม ซิวหลัวเองก็ตบอกเบาๆ บอกเป็นนัยว่าการสังหารเซียวเจิ้นถิงมิใช่ปัญหา!
หนานกงหลีเดินทางไปยังชายแดนพร้อมกับซิวหลัวด้วยความองอาจ ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขากลับคว้าน้ำเหลว
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้อยู่ในค่ายทหาร!!!
หนานกงหลีมองไปยังม้วนคำสั่งในมือของตน แทบจะเป็นบ้าเสียตรงนั้น!
อ๊าาาากกกกก!
เขาอยู่ที่ไหน!!!
……………………………….