หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 319 ผู้ช่วยชีวิต
เรื่องของตี้จียังมาไม่ถึงถนนซื่อสุ่ย
กลางดึก เด็กทั้งสามตื่นเต้นจนนอนไม่หลับสักที ประตูใหญ่ของทั้งสองจวนเปิดทิ้งไว้ พวกเขาวิ่งไปวิ่งมาจนเหงื่อท่วมตัว เพิ่งอาบน้ำไปเห็นจะไม่มีประโยชน์แล้ว
อวี๋หวั่นจึงให้จื่อซูและฝูหลิงไปต้มน้ำร้อน
“มาสิมาเลยมาจับข้าเลย!”
เป็นเสียงกระหืดกระหอบของเสี่ยวเป่า
อวี๋หวั่นเหลือบดูนาฬิกาทรายบนกำแพง ปกติแล้ววันอื่นๆ เด็กทั้งสามจะต้องหลับไปแล้ว แต่วันนี้กลับไม่ง่วง ดูแล้วมีความสุขกันเหลือเกิน
หรืออาจเป็นเพราะดื่มนมแพะ?
ไม่สิ นมแพะก็ดื่มอยู่ทุกวัน ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา
คงจะเป็นเพราะเจอซิวหลัว
ใครจะไปคิดว่ายอดฝีมือซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้พวกเขากลัวแทบแย่ จะกลายมาเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ที่ยังพูดจาอ้อแอ้เช่นนี้ได้
อวี๋หวั่นยิ้มพลางส่ายหน้า
ในตอนนั้นเอง เด็กคนหนึ่งก็วิ่งผ่านหน้าอวี๋หวั่น เธอจึงเอื้อมมือออกไปคว้าเขาอย่างรวดเร็ว
เป็นเอ้อร์เป่า
เอ้อร์เป่าผู้โชคร้ายถูกท่านแม่จับกลับห้องไปแล้ว
“แง้!” เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นว่าเอ้อร์เป่าถูกจับไปแล้ว จึงสับเท้าวิ่งหนี แต่กลับไม่ทันระวัง วิ่งไปชนท่อนขาใหญ่ราวช้างสารจนมึนงง เห็นดาววิ่งวนอยู่เหนือศีรษะ
เสี่ยวเป่า…KNOCKED OUT!
เสี่ยวเป่าก็ถูกจับกลับห้องไปเช่นกัน
เมื่อน้องชายทั้งสองถูกจับไปแล้ว ต้าเป่าก็ยอมแพ้ เดินเตาะแตะเข้าไปในถังอาบน้ำอย่างว่าง่าย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ในที่สุดทั้งสามก็เริ่มง่วงนอน แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังกอดขวดนมเอาไว้ แล้วมองออกไปด้านนอก
อวี๋หวั่นรู้ว่าพวกเขากำลังรอใครอยู่ เธออดยิ้มออกมาไม่ได้ “นอนเถอะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก”
ทั้งสามยังคงต่อสู้กับความง่วงอยู่อีกครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว และผล็อยหลับไป
อวี๋หวั่นเดินกลับห้องของตน เยี่ยนจิ่วเฉาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินออกมาพร้อมกับผมยาวเปียกชุ่ม
อวี๋หวั่นคว้าผ้ามา เรียกให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ แล้วไปยืนด้านหลัง ค่อยๆ เช็ดผมให้เขา
ราตรีเงียบสงัด ปราศจากเสียงลม
ไม่มีใครพูดอะไร แต่กลับไม่รู้สึกถึงความกระอักกระอ่วน หัวใจของพวกเขาสามารถสื่อถึงกันได้แม้จะไร้ซึ่งคำพูด ในสมองของอวี๋หวั่นมีคำกล่าวที่ว่า ‘คืนวันเงียบสงัดนั้นแลดี’ ปรากฏขึ้นมา
ชีวิตเช่นนี้ไม่มีอะไรไม่ดี และแน่นอนว่าหากถอนพิษได้ย่อมดีกว่านี้
เธอเป็นผู้หญิงที่รู้จักประมาณตน แต่สำหรับบางเรื่องก็อดละโมบไม่ได้ ตัวอย่างเช่นผู้ชายคนนี้ เธอหวังว่าจะได้ครอบครองเขาไปชั่วชีวิต ไม่ใช่เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
“เคลิบเคลิ้มอะไรอีกแล้ว!” คุณชายเยี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อวี๋หวั่นอมยิ้ม เธอค้อมกายลงไปมองปรางแก้มของเขา “ใครใช้ให้ท่านเป็นคนงามอันดับหนึ่งกันละ คนงามอันดับหนึ่งของหนานจ้าว ข้าเคลิบเคลิ้มแล้วทำไม? ข้าทำไม่ได้หรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง “โอ้ จะว่าไปก็ถูกของเจ้า”
อวี๋หวั่นหมดคำจะพูด “…”
ท่านไม่คิดจะถ่อมตนสักหน่อยหรือ?
อวี๋หวั่นเช็ดผมให้เขาต่อ เช็ดไปเช็ดมาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างออก จึงถามเขาว่า “ซิวหลัวไม่ได้มานานแล้ว อยู่ๆ ก็เจอเขา เขาเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนานเชียว เด็กๆ ตื่นเต้นจนไม่ยอมนอน อาบน้ำไปสองรอบแล้ว”
“หึ” คุณชายเยี่ยนแค่นเสียงในลำคอ
อวี๋หวั่นพูดต่อว่า “เดี๋ยวก่อนนะ หนานกงหลีอยู่ที่ชายแดน เขาไม่ได้พาซิวหลัวไปด้วยหรอกหรือ?”
หนานกงหลีนำทัพไปยังชายแดนไม่ได้ป่าวประกาศออกไป แต่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นแม่ทัพแห่งหนานจ้าว เรื่องราวในกองทัพล้วนไม่อาจปิดบังเขาได้ หนานกงหลีต้องการสังหารเซียวเจิ้นถิง เขาย่อมต้องพาซิวหลัวไปด้วย
ตอนนี้ซิวหลัวกลับอยู่ในเมืองหลวง
ซิวหลัวไม่มีทางออกห่างจากหนานกงหลี และนั่นก็หมายความว่าหนานกงหลีกลับเมืองหลวงมาแล้ว?
อวี๋หวั่นชะงักไป แล้วถามว่า “ตำแหน่งของท่านพ่อถูกเปิดเผยแล้วหรือ? วันนี้ซิวหลัวถึงได้ตามมาฆ่า?!”
“ฆ่าเขาหรือว่าฆ่าซั่งกวนเยี่ยน ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด” เขาถามซิวหลัวได้ แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น
เมื่อเทียบกับคำตอบของเขาแล้ว สิ่งที่ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจกลับเป็นการที่เขายอมรับคำว่า ‘ท่านพ่อ’ เสียมากกว่า ในใจของเขายอมรับเซียวเจิ้นถิงแล้ว เพียงแต่เซียวเจิ้นถิงได้ครอบครองซั่งกวนเยี่ยนแล้ว เขาจึงไม่อาจปล่อยให้เยี่ยนอ๋องสูญเสียลูกไปอีก
สายตาของอวี๋หวั่นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน สามีที่เจ้าอารมณ์และแสนจะหลงตัวเองของเธอ กลับใจดีต่อคนในครอบครัวเสมอ
หลังจากรำพึงรำพัน เธอก็เริ่มขบคิดคำพูดของสามี
ซิวหลัวอาจมาตามสังหารซั่งกวนเยี่ยน ข้อสรุปนี้ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกหวั่นใจ หนานกงหลีฆ่าเธอก็นับว่าสมเหตุสมผลกว่าสักหน่อย อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เป็นทั้งผู้มีพระคุณและผู้ที่เคืองแค้นต่อกัน เธอมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเหล่านี้ แต่ซั่งกวนเยี่ยนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาลากผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาบ้าไปแล้วจริงๆ!
ถ้าหากเขาหมายจะฆ่าซั่งกวนเยี่ยนจริง เช่นนั้นก็คาดเดาแรงจูงใจของเขาได้ไม่ยาก เขากำลังนำความแค้นทั้งหมดของหนานกงเยี่ยนมาลงที่เยี่ยนอ๋อง แต่เขาคงคิดว่าสิ่งที่เยี่ยนอ๋องทำทั้งหมดก็เพื่อซั่งกวนเยี่ยน เพราะฉะนั้นจึงต้องการสังหารซั่งกวนเยี่ยนเพื่อระบายความแค้น
อันที่จริงต้องกล่าวว่าเขาทำไปเพื่อระบายความริษยาในใจของตน มากกว่าทำไปเพื่อล้างแค้นให้หนานกงเยี่ยน
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “น่ากลัวว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของท่านอ๋อง เขามีเรื่องค้างคาในใจมาตลอดว่าทำไมหลายปีมานี้ คนที่ท่านพ่อพร่ำเพ้อถึงจึงมีแต่ท่าน”
ไม่ว่าจะถูกกรอกซื่อหุนเฉ่าไปกี่ครั้ง เยี่ยนอ๋องก็ยังจำชื่อของเยี่ยนจิ่วเฉาได้ แต่กลับจำชื่อของหนานกงหลีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
เขาสู้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นซั่งกวนเยี่ยนผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องนี้ด้วย และไม่อาจตอบโต้ได้ อันที่จริงนี่นับว่าเป็นคุณลักษณะของผู้ที่อ่อนแอและไร้ความสามารถ
“แต่ว่า…” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ซิวหลัวไม่ได้ทำอะไรซั่งกวนเยี่ยน กลับไปหนานกงหลีคงจะโมโหมากสินะ”
“คุณชายขอรับ!”
เสียงของอิ่งสือซันดังขึ้นด้านหน้าประตู
“เข้ามา” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อิ่งสือซันผลักประตูเข้าไป แสงเทียนสาดส่องไปยังใบหน้าขาวซีดของเขา
อวี๋หวั่นสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเขาปราศจากสีเลือด จึงถามว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
“ข้าไม่เป็นไร” อิ่งสือซันมีสีหน้าจริงจัง “ข้าเพียงแต่ถูกพลังที่หลงเหลืออยู่ของซิวหลัวโจมตี อีกประเดี๋ยวก็หายขอรับ”
“เจ้าสู้กับซิวหลัว?” อวี๋หวั่นถาม
อิ่งสือซันส่ายหน้า “เปล่าขอรับ แต่นั่นก็ทำให้ข้าน้อยประหลาดใจอยู่เหมือนกัน”
เดิมทีเยี่ยนจิ่วเฉาเดาได้แต่แรกแล้วว่าซิวหลัวมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงให้อิ่งสือซันสะกดรอยตามไป
วรยุทธ์ของอิ่งสือซันไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกปิดตัวตนต่อซิวหลัว แต่ซิวหลัวมิได้มีเจตนาร้ายต่ออิ่งสือซัน และคร้านจะสนใจเขา เพียงแต่การเคลื่อนไหวของซิวหลัวนั้นรวดเร็วเกินไป พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว
อิ่งสือซันจึงตัดสินใจตรงไปยังจวนตี้จีให้รู้แล้วรู้รอด
เขาคิดว่าหากไปดูที่จวนตี้จีอาจโชคดีได้ข้อมูลมาบ้าง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่รุนแรง เป็นกลิ่นอายของซิวหลัว แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ของซิวหลัว
กลิ่นอายหลายหลากชนิดระคนกันไป เขาอยู่ด้านนอกจวนยังได้รับแรงกระแทก
เขาหลบออกมาอย่างว่องไว หากช้าไปอีกก้าวเดียว เห็นทีร่างคงจะป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัยว่า “น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ? ซิวหลัวทำอะไร”
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้ แต่สัมผัสได้ว่า…ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน”
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือซิวหลัวเข้าไปในจวนประมุขหญิงแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงว่าหนานกงหลีซ่อนเขาไว้ในจวน
ปัง!
ลายลมพัดมาอย่างรุนแรง ซัดให้หน้าต่างปิดลง
“อยู่ๆ ลมก็แรงขึ้นมา” อวี๋หวั่นวางผ้าลง แล้วปิดหน้าต่างลง “ซิวหลัวคงไม่ได้เป็นอะไรหรอกใช่ไหม? เขาขัดคำสั่งของหนานกงหลี หนานกงหลีคงไม่ได้ลงโทษเขา?”
ซิวหลัวแข็งแกร่งมาก ใต้หล้านี้ยากที่จะหาผู้ใดมาต่อกร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหนานกงหลีควบคุมเขาไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเธอที่มีราชันสัตว์พิษในครอบครอง มันก็ไม่ได้ทำร้ายเธอเช่นกัน
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะนิ้วชี้บนโต๊ะเบาๆ คล้ายกับกำลังใช้ความคิด “หากเขาเป็นซิวหลัวเพียงคนเดียว หนานกงหลีคงไม่ทำอะไร แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นซิวหลัวเพียงคนเดียว เช่นนั้นหน่วยกล้าตายที่ไม่ฟังคำสั่ง ย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บไว้”
………………..
“ไปหาแม่เจ้าไป! พี่น้องทั้งหลาย! จัดการเขาเลย!”
“เก่งนักไม่ใช่รึ! ไม่ได้เก่งมากหรอกรึ! ลุกขึ้นมาสิ! มาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้!”
“ซิวหลัวน่ะหรือ? ข้าอยากจะอ้วก!”
ในคุกของจวนตี้จี เหล่าหน่วยกล้าตายและองครักษ์กำลังระบายโทสะที่อัดอั้นมานานกับซิวหลัวซึ่งบัดนี้ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน
ซิวหลัวคลุ้มคลั่งทุกวัน และบางครั้งก็พลั้งมือสังหารเพื่อนของพวกเขา พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวซิวหลัวตลอดเวลา ในตอนนี้ได้เวลาแก้แค้นเจ้าคนที่เพียงขยับนิ้วก็ฆ่าพวกเขาได้ สภาพของซิวหลัวแลดูไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวหนึ่งที่นอนรอให้พวกเขารุมรังแก
เสียงหมัดซึ่งกระหน่ำต่อยราวกับหิมะโปรยปราย ตามมาด้วยเสียงกระดูกของซิวหลัวหักดัง ‘กร็อบๆ’
ตัวเขาก็เหมือนกับหุ่นไม้ที่ไร้เชือก ร่างอ่อนยวบยาบ ไม่มีส่วนใดที่ปราศจากกระดูกหัก
กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สาแก่ใจ คิดหาวิธีทรมานเขา และมีคนหยิบกระโถนปัสสาวะมา
องครักษ์คนหนึ่งพูดถากถางว่า “เจ้าจะเอากระโถนมาทำไม ข้ามีของสดๆ ให้เลย!”
ผู้คนหัวเราะครืน!
“พอได้แล้ว!” คนชุดดำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดุดัน “เละเทะสิ้นดี”
ต่อให้ซิวหลัวถูกทุบตีจนตายเขาก็ไม่สน แต่ใช้วิธีเช่นนี้มาทำร้ายซิวหลัวรังแต่จะทำให้องค์ชายเสื่อมเสีย
ฝูงชนต่างพยายามเก็บงำสีหน้าแห่งความสำราญใจ และยืนนิ่งอยู่กับที่
องครักษ์ที่เมื่อครู่บอกว่าไม่ต้องใช้กระโถน แอบรัดเข็มขัดของตนกลับเข้าที่
คนชุดดำเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตานั้นทำให้หัวใจของเขาแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม จากนั้นคนชุดดำก็มองไปยังซิวหลัวซึ่งถูกอัดจนปางตายบนพื้น
สิ่งที่น่ากล่าวถึงก็คือ พลังภายในของเขาถูกดูดซับไปเสียสิ้น วรยุทธ์สูญสลาย เขาไม่ใช่ซิวหลัวอีกต่อไป อย่างมากเขาก็เป็นได้แค่เศษซากของหน่วยกล้าตาย
ในค่ายหน่วยกล้าตาย ทุกๆ ปีจะมีหน่วยกล้าตายที่ไม่อาจทนต่อการฝึกได้ สถานที่ซึ่งรอคอยพวกเขาอยู่ก็คือป่าช้า!
คนชุดดำตวัดสายตากลับมา แล้วออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “โยนออกไป ข้าบอกให้โยนทิ้งไปเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อย่าให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำอะไรโดยพลการอีก ถ้าใครทำให้องค์ชายต้องขายหน้าอีก ข้าจะส่งให้ไปรับใช้ใต้เท้าซิวหลัวทั้งสาม”
พวกเขาตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันใด!
พวกเขาลืมไปได้อย่างไรว่าต่อให้ซิวหลัวคนนี้ตายไปแล้ว ก็ยังมีซิวหลัวอีกสามคน พวกเขาแข็งแกร่ง บ้าคลั่ง และภักดีต่อเจ้านายมากกว่าซิวหลัวคนนี้
ซิวหลัวคนนี้ยังมีบ้างที่เห็นใจ ไม่ฆ่าคน แต่สามคนนั้นอาจจะไม่…
พวกเขาหนีออกมาจากรังสุนัขป่า แล้วยังไปปะรังถ้ำเสืออีกหรือ…
พวกเขาต่างไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นสนุกอีกต่อไป อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดคิดอยากไปรับใช้ใต้เท้าสามคนนั้น พวกเขาจึงไปหารถม้าโกโรโกโสคันหนึ่งมา แล้วโยนซิวหลัวใส่เข้าไป
กลางดึกลมพัดแรง ไม่เท่าไรฝนก็ตกลงมา
เขาเคยนั่งรถม้าที่หรูหราที่สุด กินอาหารชั้นเลิศที่สุด บัดนี้กลับตกอับสภาพน่าเวทนา
“มารดามันเถอะ! เลือดมากมายขนาดนี้!”
องครักษ์ที่บังคับรถม้าเห็นรอยเลือดไหลไปตามถนน ฟ้าใกล้สางแล้ว ผู้คนกำลังจะออกมา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทางการต้องแห่มาก่อนที่จะถึงป่าช้าเป็นแน่
“โยนเอาไว้ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปป่าช้าแล้ว! ยังไงเขาก็ใกล้ตายแล้ว!” องครักษ์คนหนึ่งกระซิบบอก
“ไม่ได้ ถ้าองค์ชายรู้เข้าต้องสับพวกเราเละแน่! ถอดเสื้อผ้าออกมา!” องครักษ์ซึ่งบังคับรถม้าบอก
องครักษ์คนนั้นจึงถอดเสื้อผ้าออกมาอย่างจำใจ “เอ้านี่”
องครักษ์ที่บังคับรถม้าก็ถอดเสื้อผ้าของตนเองเช่นกัน จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าสองชุดเดินเข้าไปในรถม้า ห่อร่างของซิวหลัว เนื้อผ้าดูดซับเลือดของซิวหลัวและไม่หยดลงไปอีก
ฟ้าสว่างแล้ว
ฝนก็หยุดตกแล้ว
ทั้งสองเดินทางต่อ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมายังป่าช้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
สภาพของป่าช้าหลังฝนตกนั้นไม่น่ามอง กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน สัตว์ต่างๆ มากัดกินซากศพ
ทั้งสองปิดจมูกด้วยความรังเกียจ พวกเขาโยนร่างสภาพร่อแร่ของซิวหลัวลงไปในกองศพซึ่งกำลังเน่าได้ที่
งูและหนูซึ่งอยู่ในซากศพต่างตกใจกลัวและหนีออกมา
องครักษ์อยากอาเจียน เขาลากเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
ซิวหลัวนอนคว่ำหน้าหาซากศพ
มีแมลงยั้วเยี้ยไปมาอยู๋ในเนื้อเน่า
สกปรก
ซิวหลัวไม่อยากตายในที่สกปรกเช่นนี้
เขาใช้แรงเฮือกสุดท้าย ลากร่างซึ่งกระดูกแหลกเหลวของตนออกจากกองซากศพ ค่อยๆ คลานออกจากป่าช้าทีละนิดๆ
เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อน เจ็บปวดเสียจนแทบสลายสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะ
เขาอยากมองเห็นฟ้าครามเป็นครั้งสุดท้าย
เขารู้ว่าตนเองคงไม่รอดแล้ว
ที่นี่คงไม่มีคนผ่านไปมา และบางทีภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม เขาก็จะไม่ต้องรู้สึกทรมานอีกต่อไป
เขานอนราบลงกับพื้น ลูบขวดนมที่เขารัก หลับตาลงยอมจำนนต่อโชคชะตา
ทว่าขณะที่เขากำลังจะโกยเอาอากาศเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก็มีเสียงดังเสียดโสตประสาทร้องเรียก…
“หนิววววววววว ตั้นนนนนนนนน”
เสียงนี้!!!
ซิวหลัวกลัวจนตัวสั่น วิญญาณพุ่งกลับเข้าร่างในทันใด!
…………………….