หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 324 ทำให้เจ้ากระอักเลือด
วัดฉางถิงตั้งอยู่บนเขาอันกันดารแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของหนานจ้าว เนื่องจากคนหนานจ้าวบูชาเทพพิษ วัดพุทธจึงไม่มีผู้คนมาสักการะบูชามากนัก และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้วัดแห่งนี้เงียบสงัด
วัดแห่งนี้ไม่อาจเปิดต่อไปได้ จึงถูกทางการซื้อมาเพื่อใช้เป็นสถานที่ลับสำหรับเจรจาเรื่องต่างๆ ที่นี่ผู้คนสัญจรไปมาน้อย กอปรกับข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศ ตั้งรับได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก หากเกิดเรื่องขึ้นที่เชิงเขา องครักษ์และหน่วยกล้าตายสามารถสังเกตเห็นได้ทันที
การลักพาตัวอวิ๋นเฟยในครั้งนี้ไม่ได้เตรียมการมาก่อน เป็นเพราะอวี๋หวั่นที่ทำให้เขามีแรงจูงใจ ในเมื่ออวี๋หวั่นเป็นห่วงเป็นใยมารดาของตนถึงเพียงนี้ คำพูดหยามเหยียดเพียงประโยคเดียวก็ทนไม่ได้ แล้วอวิ๋นเฟยเล่า? อวิ๋นเฟยก็เป็นญาติของอวี๋หวั่น เป็นถึงกับญาติที่น่าสงสารคนหนึ่ง จะไม่ออกโรงมาช่วยอวิ๋นเฟยเชียวหรือ?
เมื่อคิดเช่นนั้น หนานกงหลีตัดสินใจจับตัวอวิ๋นเฟยมาทันที
การลักพาตัวคนเป็นๆ คนหนึ่งออกจากวังหลวงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่เขามีป้ายแขวนเอวของฮองเฮา ไม่มีผู้ใดกล้าตรวจสอบรถม้าของฮองเฮา และนั่นจึงทำให้เขาออกมาจากวังหลวงได้อย่างง่ายดาย
เขาไม่สนเรื่องราวใหญ่โตที่เกิดขึ้นในวังหลวง และยิ่งไม่สนใจชื่อเสียงของอวิ๋นเฟย องค์ประมุขจะปิดเรื่องนี้ไว้ หรือว่าจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดของเขา
ในสมองของเขาตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือจะทำอย่างไรกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นคือหมากตัวสำคัญ เธอไม่เพียงสามารถหยุดยั้งตี้จีองค์โตได้ แต่ยังทำให้ควบคุมเยี่ยนจิ่วเฉาและเซียวเจิ้นถิงได้อีกด้วย แน่นอกว่าสกุลเห้อเหลียนก็มิใช่ข้อยกเว้น กล่าวอย่างไม่เกินจริง ถ้าหากอวี๋หวั่นอยู่ในกำมือของเขา ครึ่งหนึ่งของหนานจ้าวและต้าโจวนั้นก็จะอยู่ใต้อาณัติของเขาแล้ว
ดรุณีน้อยซึ่งมีใจให้เขาในตอนนั้น กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เขาไม่น่าปล่อยให้นางได้ยินบทสนทนาของตนและสวี่ส้าวโดยไม่ระวังเลย ทำให้เขาถูกเปิดเผย นางเองก็โกรธและหนีไป
ที่โชคดีก็คือ หลังจากที่นางหนีไป ก็ถูกเหยียนหรูอวี้จับกลับมาอีก
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วนางก็จะกลับมาเป็นลูกไก่ในกำมือของเขาอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ใช่ หลังจากนี้ก็เช่นกัน
หนานกงหลีจับแหวนหยกบนนิ้วมือข้างซ้าย นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาบ
เขายืนอยู่บนเขา มองลงไปยังเชิงเขา มองไปครู่หนึ่ง คิดว่าอีกนานกว่าคนจะมา จึงกลับเข้าไปในห้องทำสมาธิ
ไหนเลยจะรู้ว่า ในห้องทำสมาธิไม่เงียบสงัดเยี่ยงก่อนหน้านี้อีกแล้ว
นั่นเป็นเพราะอวิ๋นเฟย
อวิ๋นเฟยถูกตีจนสลบในวังหลวง หลังจากตื่นมาก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงเย็นเฉียบในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย นางไม่เคยเข้าวัดมาก่อนในชีวิต ย่อมมองไม่ออกว่านี่คือห้องทำสมาธิ ความคิดแรกของนางคือ นางถูกองค์ประมุขระยำหมานั่นส่งมายังตำหนักเย็น
ขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้นเอง เณรน้อยรูปหนึ่งก็ถือกล่องอาหารเข้ามา
“ตื่นแล้วหรือโยม? นี่คืออาหารมังสวิรัติของเย็นนี้ โยมค่อยๆ กินเถิด” เณรน้อยบอกอย่างรู้มารยาท เขายกกล่องอาหารวางแล้วจึงเดินออกไป
โยม? อาหารมังสวิรัติ? พระ?
อวิ๋นเฟยเปิดประตูออกไปดู ในที่สุดก็รู้ว่าตนถูกจับมาไว้ในวัด
ชั่วช้า!
อวิ๋นเฟยสบถ ทันใดนั้นเองนางก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา
นางไม่เคยออกจากวังมาทั้งชีวิต อายุปูนนี้เพิ่งจะได้ออกจากวังเป็นครั้งแรก!
“เรียกคนมาเอาอาหารมังสวิรัตินี่ออกไปหน่อย!”
นางถูกบังคับให้กินอาหารมังสวิรัติในวังก็พอแล้ว ออกมายังจะให้นางเป็นแม่ชีอีกหรือ ฝันไปเถอะ!
“องค์ชายขอรับ!” องครักษ์เอ่ยขึ้นทันทีที่มาถึงหน้าห้องทำสมาธิของหนานกงหลี
หนานกงหลีกำลังนั่งสมาธิ เมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรน ก็ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
องครักษ์ตอบด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “กุ้ยเฟยไม่กินอาหารมังสวิรัติขอรับ”
“แล้วนางจะกินอะไร?” หนานกงหลีขมวดคิ้ว
องครักษ์กัดฟันตอบว่า “…เนื้อขอรับ นางจะกินเนื้อ”
หนานกงหลีมุมปากกระตุก ในสถานที่สะอาดปราศจากมลทินอย่างวัด หญิงชราผู้นี้กลับร้องจะกินเนื้อหรือ?
องครักษ์พูดต่อ “กุ้ยเฟยบอกว่า หากไม่ให้นางกินเนื้อ นางจะยอมอดตาย เป็น…เป็นผีมาหลอกองค์ชายขอรับ”
ดูๆๆๆ ดูนางพูดเข้า เป็นถึงกุ้ยเฟย พูดออกมาแต่ละอย่างล้วนอัปมงคล เป็นคุณสมบัติที่สนมขององค์ประมุขพึงมีหรือ? เหมือนแม่ค้าปากตลาดเสียมากกว่า?
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งได้ นัยน์ตาของหนานกงหลีก็กระตุกวูบหนึ่ง “ข้าก่อน นางรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”
องครักษ์รีบเอ่ยปากว่า “ข้าไม่ได้บอกนะขอรับ!”
อวิ๋นเฟยผู้นั้นเดาออกเอง อันที่จริงก็เดาได้ไม่ยาก วันนี้เขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา อวิ๋นเฟยย่อมต้องได้ยินข่าวมาบ้าง จากนั้นอวิ๋นเฟยก็ถูกจับตัวไป ใช้นิ้วโป้งเท้าคิดยังรู้เลยว่าไม่มีผู้ใดจะลักพาตัวนางออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้
องค์ประมุขมิได้นึกสงสัยเขา เพราะวังหลวงกว้างขวางมาก องค์ประมุขไม่คิดว่าอวิ๋นเฟยออกไปข้างนอก เขาคิดว่าอวิ๋นเฟยเพียงแต่หลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในวังหลวงเพื่อประชดเขาก็เท่านั้น
เรื่องพรรค์นี้มิใช่ว่าอวิ๋นเฟยไม่เคยทำ นางทำมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อไรที่หนานกงหลีแน่ใจแล้วว่าอวิ๋นเฟยไม่มีค่าสำหรับอวี๋หวั่น เขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว
แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นวัด ไม่มีเนื้อให้กินหรอก
“เจ้าไปล่าสัตว์ด้านหลังเขามาสักหน่อยไป” หนานกงหลีออกคำสั่ง
“ขอรับ” องครักษ์เดินออกไปด้วยความไม่สบายใจ สองมือที่เขาใช้สังหารคน กลับต้องใช้ไปล่าสัตว์ป่า
องครักษ์ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็ล่ากระต่ายป่าตัวอวบอ้วนมาตัวหนึ่ง เนื่องจากเป็นห้องครัวของวัด จึงไม่อาจประกอบอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ พวกเขาทำได้เพียงไปชำแหละและล้างกระต่ายป่าตัวนี้ในลำธารด้านหลังเขา และก่อกองไฟ ย่างกระต่ายเสียจนหอมฉุย จากนั้นจึงนำไปส่งให้อวิ๋นเฟย
หนานกงหลีคิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะสบายแก้วหูขึ้น แต่ผ่านไปไม่เท่าไร องครักษ์ก็เดินมาด้วยสีหน้าลำบากใจอีก
“อะไรอีก?” หนานกงหลีถาม
องครักษ์ตอบว่า “อวิ๋นเฟยบอกว่า มีแต่เนื้อ ไม่มีสุราขอรับ”
หนานกงหลีตื่นตะลึง “นางจะดื่มสุราอีกรึ?!”
องครักษ์ได้แต่ก้มหน้า
หนานกงหลีพยายามระงับโทสะ โบกมือพร้อมกับกล่าวว่า “เอาเถอะ บนรถม้าของข้ามีสุราฮวาเตียวชั้นดีไหหนึ่ง เจ้าไปเอามาให้นางดื่ม”
“ขอรับ” องครักษ์รับคำสั่ง
อวิ๋นเฟยถกแขนเสื้อขึ้น ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบเก้าอี้ เริ่มดื่มสุรากินเนื้อย่างอย่างสำราญใจอยู่ในห้องทำสมาธิ
แต่หากคิดว่าเท่านี้จะทำให้นางพึงพอใจได้ เห็นทีจะไร้เดียงสาเกินไปสักหน่อย
หนานกงหลีมองไปยังองครักษ์ซึ่งเข้ามาในห้องเป็นครั้งที่สาม “พูดมา!”
องครักษ์ไม่กล้าพูด
เขาจะร้องไห้อยู่แล้วเนี่ย
ทำไมคนที่มาเข้าเวรวันนี้จะต้องเป็นเขาด้วยนะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เขายอมตายดีกว่าต้องมาเฝ้าคนเจ้าปัญหาอย่างนี้!
องครักษ์ตัวสั่น “กุ้ยเฟยยอกว่า…บอกว่า…”
หนานกงหลีสายตาเย็นเยียบ “บอกว่าอะไร? อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้!”
องครักษ์หลับตาลง แล้วตัดสินใจพูดออกไป “กุ้ยเฟยบอกว่า ท้องอิ่มกายอุ่นราคะเกิด ให้องค์ชายหาบุรุษไปให้นางสักคนขอรับ”
หนานกงหลีแทบจะล้มทั้งยืน!
สตรีไร้ยางอายอย่างนางบอกว่าต้องการอะไรนะ? บุรุษ?
นางลืมสถานะของตนเองไปแล้วหรือ?
ถึงนางจะไม่ใช่ฮองเฮา แต่นางก็ยังเป็นสนมขององค์ประมุข!
ยิ่งไปกว่านั้น ตามหลักแล้วเขาเป็นถึงหลานชายในนามของนาง นางกล้ากล่าวเรื่องพรรค์นี้กับลูกหลานได้อย่างไร?
หนานกงหลีโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม เขากดมือลงบนหน้าอกแล้วบอกว่า “เจ้าไปบอกนางว่าไม่มี!”
องครักษ์เดินจากไป
ไม่ทันไร องครักษ์ก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
หนานกงหลีแทบอยากจะยกเก้าอี้ขึ้นมาฟาดองครักษ์ให้รู้แล้วรู้รอด
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องอดทนอดกลั้นเยี่ยงผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อะไรอีก?”
องครักษ์กล้ำกลืนฝืนใจพูดออกไปว่า “กุ้ยเฟยบอกว่า หากไม่มีบุรุษ ขอเป็นสตรีก็ได้ขอรับ”
หนานกงหลี “…”
หนานกงหลี “!!!”
หนานกงหลีโมโหอวิ๋นเฟยสุดขีด เขาไม่เคยสนทนากับอวิ๋นเฟย เพียงแต่เคยได้ยินกิตติศัพท์ในทางลบของนาง นางสร้างเรื่องเป็นนิจ สร้างเรื่องจนฮองเฮาแทบทนไม่ไหว เขายังคิดเสียอีกว่าคนในวังจงใจสร้างข่าวลือขึ้นมาเพื่อประจบประแจงฮองเฮา
ในตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าข้อมูลที่เล่ากันปากต่อปากนั้นนับว่าปรานีอวิ๋นเฟยแล้ว
หากเขาเป็นองค์ประมุข เขาก็ไม่ชอบสตรีผู้นี้ ทำตัวน่าโมโหเหลือเกิน!!!
หากเปลี่ยนเป็นสนมคนอื่น เขาคงจะยัดเยียดโทษฐาน ‘คบชู้’ ให้นาง เพื่อข่มขู่นางและลูกหลานของนาง แต่วิธีการนี้เห็นทีจะใช้กับอวิ๋นเฟยไม่ได้ผล
นั่นเป็นเพราะ…
อวิ๋นเฟยคบชู้อยู่ทุกวี่วัน!
นางถูกญาติมิตรทอดทิ้ง ลูกก็ถูกคนนำไปทิ้ง สามีก็ไม่รักนาง นางไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป หากนางถูกจับได้ว่าคบชู้ อย่างมากก็แค่ตาย นางไม่ได้กลัวตายด้วยซ้ำไป
ก่อนตายได้แก้แค้นองค์ประมุขสักหน่อย วิญญาณของนางในปรโลกคงจะหัวเราะร่า
หนานกงหลีกำหมัดดัง ‘กร็อบ’ พร้อมกับพูดว่า “เจ้าไปบอกนางว่าอย่ามากความ! หากข้าทำตามความต้องการของนาง! ส่งบุรุษไปให้นางคนหนึ่ง! ข้าก็ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าข่าวว่ากุ้ยเฟยคบชู้นั้นจะแพร่สะพัดออกไป จนทำให้ตี้จีองค์โตเสื่อมเสียหรือไม่!”
องครักษ์นำคำขู่ของหนานกงหลีไปแจ้งแก่อวิ๋นเฟย ไม่นาน เขาก็วิ่งกุมศีรษะกลับมาด้วยความตื่นตระหนก “กุ้ยเฟยบอกว่า หากท่านกล้าป่าวประกาศออกไปว่านางคบชู้ นางก็จะบอกองค์ประมุขว่าท่านก็เป็นหนึ่งในชายชู้ของนางขอรับ!”
หนานกงหลีแทบกระอักเลือดออกมากะละมังใหญ่ “…!!”
………………………………………