หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 331.2 ไข่ดำหยามฮองเฮา (2)
หากไม่มีความสัมพันธ์กับตี้จีองค์โตถึงขั้นนี้ นางเองก็อยากหาทางมัดใจปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยพวกนี้ให้มาเข้ากับหนานกงเยี่ยนและหนานกงหลี
ขันทีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้น่าเอ็นดูเพียงใด ก็มิใช่เด็กที่ฝ่าบาทจะเก็บใส่พระทัย ในพระทัยของฝ่าบาทมีเพียงท่าน ทายาทของท่านก็คือคนที่เขารักมากที่สุด”
ฮองเฮาทอดถอนใจ “น่าเสียดายที่หลีเอ๋อร์ยังไม่แต่งงาน ไร้บุตร”
ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินหลีเอ๋อร์บอกว่าเขากำลังจะมีบุตร แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เขากลับบอกว่าไม่มีเด็กแล้ว
ฝ่าบาทอายุมากแล้ว ไม่ได้มีจิตใจเยือกเย็นดังเช่นปีก่อนๆ เด็กๆ สามารถสัมผัสส่วนที่อ่อนโยนของจิตใจเขาได้มากที่สุด หากหลีเอ๋อร์มีบุตรด้วยก็คงดียิ่งนัก
คำพูดนี้ขันทีหมดหนทางโต้ตอบ คนหนานจ้าวออกเรือนช้ากว่าจงหยวน เชื้อพระวงศ์ยิ่งช้ากว่า ตี้จีทั้งสองถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เหล่าพระราชนัดดาไม่ได้รีบเร่งเช่นนี้
อีกอย่าง ต่อให้เร่งยามนี้ก็ไม่ทันแล้ว อุ้มท้องเกือบสิบเดือน รอให้คลอดบุตร ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของหนานจ้าวจะไปถึงไหนแล้ว
ขันทีเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ แค่เด็กที่ยังไม่หย่านมสองสามคนเท่านั้น ไม่อาจก่อคลื่นลมใหญ่ใดได้”
ฮองเฮาพยักหน้า องค์ประมุขกับนางครองรักกันมาครึ่งชีวิต ไม่เชื่อว่าไม่อาจเอาชนะเด็กสองสามคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา
ฮองเฮาเข้าสู่บรรทม
รุ่งขึ้นฟ้าสาง องค์ประมุขเสด็จออกว่าราชการเช้า ฮองเฮาสั่งให้คนเตรียมอาหารที่ฝ่าบาทโปรดปรานโต๊ะใหญ่ รอให้เขาเสร็จจากราชการมาร่วมทานอาหารเช้า แต่หารู้ไม่รอจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่เห็นเงาคน
“ไปถามว่าเกิดอันใดขึ้น” ฮองเฮาสั่งกับขันที
ขันทีเดินจากไป
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ขันทีก็เดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มแหย “ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“อันใดกัน?” สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไป “ไยจึงไปที่นั่นอีก?”
ขันทีฝืนใจกล่าวต่อ “ในช่วงราชการเช้า ไม่ทราบว่าขุนนางคนใดถวายอินทรีขาวไห่ตงชิงตัวหนึ่ง ฝ่าบาททรงเห็นว่านกตัวนั้นงดงามยิ่ง จึงนำไปให้เด็กๆ ที่ตำหนักจูเชวี่ยด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคนไปที่นั่นแล้ว ก็ย่อมต้องอยู่เสวยอาหารเช้าที่นั่น
ฮองเฮาบีบนิ้ว ตรัสสั่งขันทีด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ห้องครัวเล็กทำอาหารที่ฝ่าบาทโปรดปรานมากี่อย่าง ให้นำไปส่งถวายฝ่าบาทที่ตำหนักจูเชวี่ย แล้วก็ทำขนมที่เด็กๆ ชอบ นำไปส่งให้ถึงมือฝ่าบาทกับอวิ๋นเฟย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีไปตามรับสั่ง
ในเวลานี้ ฝ่าบาทกำลังเสวยอาหารเช้าพร้อมกับอวิ๋นเฟยและเด็กๆ เขามอบลูกอินทรีไห่ตงชิงที่งดงามมาให้ ไข่ดำเล็กชื่นชอบกันอย่างมาก และเพื่อแสดงความซาบซึ้ง เด็กๆ จึงขอให้เขาอยู่ทานอาหารเช้าที่นี่ด้วย
ที่แท้อวิ๋นเฟยเห็นแก่หน้าเขาเพียงใด ต่อหน้าเด็กๆ จึงประพฤติตัวดุจภรรยาที่เคารพเทิดทูนสามีเช่นนี้
ดังนั้นองค์ประมุขจึงได้เห็นอวิ๋นเฟยผู้อ่อนโยนมีคุณธรรมอีกครั้ง
เขากล่าวในใจ ฝ่าเท้าเมื่อคืนนางไม่ตั้งใจเป็นแน่ นางหลับไปแล้ว ไม่รู้ตัวว่าทำสิ่งใดลงไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝ่าบาทก็ได้ตัดสินใจยกโทษให้อวิ๋นเฟย
ด้วยความดีความชอบของไข่ดำ อวิ๋นเฟยจึงไม่ต้องกินมังสวิรัติอีกครั้ง อาหารเช้าเป็นซาลาเปาเนื้อแพะ แป้งแผ่นอบเนื้อเป็ดหอมใหญ่ โจ๊กลำไยพุทราแดง และขนมชาววังรสเลิศอีกมากมาย
องค์ประมุขพบว่าตนเองอยากอาหารมากขึ้นกว่าในอดีต เรื่องนี้ แม้แต่ขันทีหวังก็ดูออก
ขันทีหวังสุขใจแทนองค์ประมุข ฮองเฮายึดถือกฎเกณฑ์เคร่งครัด แต่ถึงยามกินกลับจืดชืดไร้ชีวิตชีวา เป็นอวิ๋นเฟยที่สดใส ให้ความรู้สึกราวกับเป็นครอบครัวคนธรรมดา โจ๊กทุกคำข้าวทุกคำให้รสชาติที่แตกต่าง
“ฝ่าบาท ฮองเฮาส่งเครื่องเสวยมาพ่ะย่ะค่ะ” นางข้าหลวงผู้รับผิดชอบแห่งตำหนักจูเชวี่ยรายงาน
องค์ประมุขพยักหน้า “ฮองเฮาช่างใส่ใจ นำขึ้นมาเถิด”
“เพคะ” นางข้าหลวงผู้รับผิดชอบนำอาหารที่ฮองเฮาส่งมา จัดวางบนโต๊ะทีละจาน สำรับของตำหนักจงกงย่อมวิจิตรกว่าตำหนักจูเชวี่ยอยู่แล้ว
อวิ๋นเฟยไม่ได้โง่ถึงขนาดยอมทรมานท้องของตัวเอง ฮองเฮากล้าส่งมา นางก็กล้ากิน กินอย่างเอร็ดอร่อย!
หากคิดจะใช้ลูกไม้นี้โต้ตอบนาง เช่นนั้นก็คาดการณ์ผิดแล้ว
อวิ๋นเฟยกินจนอิ่มแปล้
ท้องไข่ดำทั้งสามก็กลมดิ๊ก
องค์ประมุขพึงพอใจอย่างยิ่ง กล่าวกับอวิ๋นเฟย “เมื่อคืนนี้ดึกเกินไป ไม่ค่อยสะดวกนัก วันนี้เจ้าพาเด็กๆ ไปคารวะฮองเฮาที่วังหลวงสักหน่อย ให้นางได้พบพวกเขาด้วย”
ไข่ดำทั้งสามมองอวิ๋นเฟยอย่างออดอ้อน
อวิ๋นเฟยลูบหัวเล็กๆ ของพวกเขา “อยากไปหรือไม่?”
ไข่ดำทั้งสามครุ่นคิด
องค์ประมุขตรัสอย่างอ่อนโยน “ฮองเฮาเป็นคนดีมาก อีกเดี๋ยวเมื่อนางพบพวกเจ้า จะต้องชอบพวกเจ้ามากแน่ๆ”
ไข่ดำทั้งสามพยักหน้า
หลังมื้อเช้า องค์ประมุขเสด็จไปจัดการหน้าที่ราชการที่ห้องทรงอักษร อวิ๋นเฟยก็พาไข่ดำทั้งสามไปที่ตำหนักจงกง
ฮองเฮาทราบข่าวว่าอวิ๋นเฟยกับเด็กๆ จะมา จึงแต่งองค์ทรงเครื่องวางท่าสูงส่งสง่างามนั่งบนบัลลังก์หงส์
ไม่นาน อวิ๋นเฟยก็พาเด็กๆ มาคารวะด้านหน้านาง
แม้จะอายุมากเหมือนกัน หมั่นปรนนิบัติดูแลร่างกายเหมือนกัน แต่อวิ๋นเฟยกลับดูอ่อนเยาว์กว่าฮองเฮา
ฮองเฮาไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้มาก่อน เพราะต่อให้อวิ๋นเฟยจะงดงามเพียงใด องค์ประมุขก็ไม่เคยปรายตามองนางตรงๆ แต่วันนี้ไม่รู้อย่างไร ฮองเฮากลับเริ่มสนใจแล้ว
อวิ๋นเฟยดูราวกับสตรีในวัยสี่สิบต้นๆ หรืออาจจะน้อยกว่าสี่สิบเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งรอยเส้นที่หางตาก็ยังเผยกลิ่นอายสง่างาม
อวิ๋นเฟยคาวระอย่างที่นับว่าสุภาพ “ถวายพระพรฮองเฮา”
เหล่าเด็กน้อยไม่ได้คารวะ เพียงแต่เบิกตาสีดำกลมโตคู่หนึ่งมองฮองเฮาไม่วางตา
ฮองเฮาคลี่ยิ้มเปี่ยมเมตตา กวักมือเรียกพวกเขา “มานี่มา ให้ข้ามองหน่อย”
ทั้งสามเดินเตาะแตะเข้าไปหา
ไม่มีความประหม่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ดูดื้อดึงเกเร แม้แต่ฮองเฮาก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
ทั้งสามเดินขึ้นบันได อ้อมโต๊ะไม้จินสื่อหนานมายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ฮองเฮา
ฮองเฮากวักมือ ขันทีก็นำตะกร้าใบใหญ่ที่ภายในบรรจุของเล่นทุกชนิดขึ้นมา
ฮองเฮาแย้มสรวลตรัส “พวกเจ้าชอบสิ่งใดก็หยิบไป ข้ามอบให้พวกเจ้า”
ไข่ดำทั้งสามมองกลับไปที่อวิ๋นเฟย
อวิ๋นเฟยพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งสามก็ยื่นมือน้อยๆ ออกไปอย่างสุภาพ
เสี่ยวเป่าหยิบธนูไม้ เอ้อร์เป่าหยิบของเล่นป๋องแป๋ง
ต้าเป่าไม่ต้องการสิ่งของในตะกร้า เขาเอียงศีรษะ หมุนตัวกลับ คว่ำตัวบนโต๊ะเล็กของฮองเฮา จากนั้นก็เขย่งเท้า มือข้างหนึ่งคว้าสิ่งของสีทองแวววาวนั้น
สีหน้าของทุกคนล้วนถอดสี น่ะ…นั่นมันตราประทับของฮองเฮา! ! !
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
ด้านนอกห้องทรงอักษร ขันทีวังหลวงเดินมาด้วยความรีบร้อน
ขันทีหวังที่เฝ้าหน้าประตูรีบขวางเขาไว้ “อะไรกัน อะไรกัน? ห้องทรงอักษรใช่ที่ที่เจ้าจะทำโหวกเหวกโวยวายได้หรือ? ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงยุ่งอยู่?”
ขันทีก็รู้ว่าตนเองกระทำการบุ่มบ่าม แต่เขาควบคุมไม่ได้แล้ว!
“เกิด เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เขากระซิบข้างหูขันทีหวังสองสามคำ
ขันทีหวังเบิกตาโพลง “เป็นเรื่องจริงหรือ?”
ขันทีตบขากล่าว “ก็จริงน่ะสิ! ขันทีหวัง ท่านรีบให้ฝ่าบาทไปดูเถิด!”
ขันทีหวังเข้าไปในห้องทรงอักษร กราบทูลแก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่รอช้าวางราชกิจในมือ มุ่งหน้าไปตำหนักจงกง
เรื่องราวต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ต้าเป่าคว้าตราประทับของฮองเฮา ฮองเฮาบอกว่าจะมอบของเล่นแก่พวกเขา แต่ไม่ได้บอกว่ามอบตราประทับ ฮองเฮาต้องการตราประทับคืน แต่ต้าเป่ากอดไว้ไม่ยอมให้
อวิ๋นเฟยก็เกลี้ยกล่อมให้ต้าเป่าวางตราประทับลง ต้าเป่าไม่วาง
นางข้าหลวงคนหนึ่งที่ไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงค่อยๆ ยื่นมือไปคว้ามันเงียบๆ แต่ผลกลับทำให้ต้าเป่าบาดเจ็บ ต้าเป่าต้องการป้องกันตนเองจึงดึงผมของนางไว้
ฮองเฮาคิดว่าตนเองเป็นมารดาแผ่นดิน เด็กๆ ก็คงจะชอบนางและเชื่อฟังนาง นางจึงลงไปแยกตัวต้าเป่า แต่ผลกลับถูกต้าเป่าดึงเกศาไว้เช่นกัน
เมื่อองค์ประมุขมาถึงตำหนักจงกง เกศาของฮองเฮาก็ถูกต้าเป่าดึงจนหลุดร่วงไปหลายเส้นแล้ว
มีนางข้าหลวงพยายามแยกทั้งสองออกจากกัน แต่ต้าเป่าจับไว้แน่นเกินไป เมื่อพวกเขาออกแรงดึง ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายฮองเฮาให้เจ็บกว่าเดิม
พระขนงขององค์ประมุขกระตุก! รีบย่างสามขุมเข้าไปปลอบโยนต้าเป่าอย่างแผ่วเบา “เด็กดี เจ้าปล่อยมือก่อน ข้าจะไม่ให้พวกเขาแย่งของเจ้าไป”
ต้าเป่าไม่ขยับ
องค์ประมุขตรัสอีกครั้ง “ข้าเป็นประมุขแห่งแคว้น ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าปล่อยฮองเฮาก่อน”
ต้าเป่ายอมปล่อยมือ
ฮองเฮาก็หัวโกร๋นแล้ว
ฮองเฮาเจ็บปวดแทบหลั่งน้ำตา ทั้งน้อยใจทั้งเจ็บใจ ทั้งโมโหทั้งรำคาญ แต่นางเป็นถึงฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่อาจโวยวายเสียกิริยา!
องค์ประมุขรีบสั่งให้นางข้าหลวงพยุงฮองเฮาลงไปพักผ่อน และตามหมอหลวงมา
ต้าเป่ายังคงถือตราประทับฮองเฮาของเขา
องค์ประมุขตรัสว่า “สิ่งนี้เล่นไม่สนุกหรอก ที่ห้องหนังสือของข้ามีของสะสมมากมาย เจ้าไปเลือกอันที่สนุกกว่านี้ดีหรือไม่?”
ต้าเป่าครุ่นคิด ไม่พยักหน้าแต่ก็ไม่ขัดขืน
องค์ประมุขพาต้าเป่าไปยังห้องทรงอักษร ห้องทรงอักษรมีของแปลกๆ มากมาย ทั้งมีดผากริชดาบ กระดูกและหยกแกะสลัก มีทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นของดีที่รวบรวมมาจากชาวบ้าน
แต่ไม่ว่าอันไหน ต้าเป่าก็ไม่ชอบ
ในยามที่องค์ประมุขปวดหัวสุดจะทานทน ในที่สุดต้าเป่าก็ทิ้งตราประทับในอ้อมแขนไป
เมื่อได้ยินเสียงตราประทับตกกระทบพื้น องค์ประมุขก็ดีอกดีใจ ถอนใจด้วยความโล่งอก แต่ไหนเลยจะรู้ว่าวินาทีถัดมาก็ยิ้มไม่ออกเสียแล้ว
ต้าเป่ากอดตราหยกสืบบัลลังก์ไว้ในอ้อมแขน…
…………………………………………