หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 338 พี่จิ่วออกโรง พยานในตอนนั้น
หลักฐาน?
อวิ๋นเฟยจะเอาหลักฐานมาจากที่ใด?
หากอวิ๋นเฟยมีหลักฐาน มีหรือจะไม่นำไปจัดการดอกปทุมขาวนั่นเสียแต่แรก
แต่คิดดูอีกที จากความไว้ใจขององค์ประมุขที่มีต่อฮองเฮาจันทร์ขาวสว่าง หากนางนำหลักฐานไปแสดง ก็มีแต่จะคิดว่ามันถูกสร้างขึ้นเท่านั้น
“เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาละเพคะ? หรือว่าในที่สุดฝ่าบาทก็เริ่มสงสัยในตัวฮองเฮาของพระองค์? ช่างเป็นเรื่องที่หายากยิ่งนัก” อวิ๋นเฟยประชดประชัน
แน่นอน นางทราบเรื่องที่ฮองเฮาถูกกู่ทำให้สารภาพผิดออกมาโดยไม่ต้องบังคับ แต่แล้วอย่างไร? ความรู้สึกขององค์ประมุขที่มีต่อฮองเฮา เพียงฮองเฮาเอ่ยแก้ต่างไม่กี่คำก็รอดตัวแล้ว อวิ๋นเฟยไม่มีทางเชื่อว่าองค์ประมุขจะนึกสงสัยในตัวฮองเฮา เพราะฮองเฮาเสียกริยาเพียงครั้งเดียว
ช่วยไม่ได้ องค์ประมุขในความคิดของอวิ๋นเฟยไม่เหลือซึ่งสมองอีกแล้ว
“หากเจ้าไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็คิดเสียว่าวันนี้ข้าไม่ได้มา” องค์ประมุขตรัสอย่างเฉยเมย กลับหลังหัน เดินจากไป
มาตรวจสอบหลักฐานจริงๆ สินะ…
อวิ๋นเฟยกลอกตา หยุดไกวชิงช้า ลุกขึ้นหันหลังเอ่ยรั้งองค์ประมุขไว้ “ข้ามีหลักฐาน เพียงแต่หากข้าพูดไป ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเชื่อ”
องค์ประมุขชะงักเท้า หันมองนางด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ข้าได้ยิน” อวิ๋นเฟยเอ่ย “ข้าได้ยินฮองเฮาตรัสกับราชครูว่า ‘ยามนั้นท่านอาจารย์พยายามสุดความสามารถ ฮองเฮาอย่าได้ทรงทำให้ชายชราเช่นเขาต้องผิดหวัง’”
“นี่น่ะหรือ?” องค์ประมุขมุ่นพระขนง
อวิ๋นเฟยเอ่ย “ใช่ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าฮองเฮาร่วมมือกับราชครูไม่ใช่หรือเพคะ? หม่อมฉันไปถึงช้าเกินไป ได้ยินที่อุทยานอวี้ฮัวเพียงครึ่งเดียว แต่มีคนได้ยินมากกว่าหม่อมฉัน อาจจะถามอะไรได้”
องค์ประมุขมองนางอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
อวิ๋นเฟยทอดถอนใจ “เอ่อ คงต้องเริ่มเล่าจากเมื่อสองสามปีก่อน มีขุนนางผู้หนึ่งเดินเที่ยวชมไปจนถึงอุทยานอวี้ฮัวเก่าโดยไม่ตั้งใจ”
ในวังหลวงมีอุทยานอวี้ฮัวอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งถูกคนบูรณะขึ้นยามที่องค์ประมุขขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้น มีนางข้าหลวงสองคนตกลงไปตายที่นั่น ฮองเฮาไม่โปรดปรานเคราะห์ร้าย สั่งให้คนไปหาพื้นที่ว่าง สร้างอุทยานแห่งใหม่ขึ้นมา
ส่วนแห่งเก่าเพราะทำให้เกิดคนตาย จึงมีคนน้อยนักที่จะเดินไปถึงตรงนั้น ไม่นานสถานที่นั้นก็ค่อยๆ ร้างไป
อวิ๋นเฟยเป็นคนไม่กลัวตาย นางไม่เชื่อในสิ่งนี้ ทั้งยังรู้สึกว่าที่นั่นสะอาดและสุขสงบ จึงไปเดินเล่นที่นั่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจเป็นครั้งคราว
เย็นวันนั้นนางไปเดินเล่นที่สวนเก่าตามปกติ เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงที่ลับๆ ล่อๆ ของฮองเฮา นางรีบหาต้นไม้ใหญ่หลบซ่อนตัว แอบมองไปทางนั้น และได้เห็นฮองเฮายืนอยู่กับราชครู
ท่าทีของพวกเขาทั้งสองดูสนิทคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขานัดพบกันเป็นการส่วนตัว
อวิ๋นเฟยไปถึงช้าเกินไป บทสนทนาอันแผ่วเบาของทั้งสองจบลงแล้ว อวิ๋นเฟยเห็นเพียงฮองเฮาขมวดคิ้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นราชครูก็กล่าวประโยคที่เมื่อครู่อวิ๋นเฟยเอ่ยให้องค์ประมุขฟัง
ยามนั้นนางสับสนมึนงง เผลอเหยียบเศษใบไม้แห้งโดยไม่ระวัง ทันใดนั้นราชครูก็รู้สึกตัวแล้วตะโกนว่า “ใครน่ะ! ออกมา!”
อวิ๋นเฟยคิดว่าตนเองต้องตายแน่ ไหนเลยจะรู้ว่า ด้านหลังภูเขาปลอมอีกฝั่งนึง จู่ๆ ก็มีเงาคนเผยตัวออกมาแล้วหายตัวไปในอุทยานอวี้ฮัว
ราชครูบอกให้ฮองเฮากลับตำหนักไปก่อน ส่วนตนจะไปตามบุคคลลึกลับที่แอบฟังอยู่ที่มุมกำแพง
อวิ๋นเฟยทอดถอนใจ “คนผู้นั้นอาจไม่ทราบว่าหม่อมฉันก็อยู่ตรงนี้ คิดว่าราชครูพบตัวเขา จึงรีบหนีไป หากไม่ใช่เพราะเขาล่อราชครูออกไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกรงว่าหม่อมฉันคงถูกราชครูปิดปากไปแล้ว”
องค์ประมุขขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เพียงแต่พัวพันกับราชครูคนเก่า กระทั่งราชครูคนใหม่ก็ยังไม่อาจโชคดีรอดพ้น เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนอลหม่านขององค์ประมุข อวิ๋นเฟยก็หัวเราะเยาะ “ฝ่าบาทจะไม่เชื่อคำพูดของหม่อมฉันก็ได้”
อย่างไรเสียหลายปีแล้ว ท่านก็ไม่เคยเชื่อ
องค์ประมุขกดหว่างคิ้วที่ปวดหนึบ ไม่ได้บอกว่าตนเองเชื่อหรือไม่เชื่อ “คนผู้นั้นมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร เจ้ามองเห็นหรือไม่?”
อวิ๋นเฟยส่ายศีรษะ “เขาออกมาครู่เดียวก็หายตัวไปแล้ว แต่หม่อมฉันรู้สึกว่า เขาน่าจะเป็นบุรุษ”
สิ่งนี้ไม่มีหลักฐาน เพียงแต่เป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นหลังจากอยู่ในวังหลังมานานหลายปี นอกจากองค์ประมุข ในวันธรรมดานางไม่พบเห็นบุรุษ มีเพียงนางข้าหลวงกับขันทีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อจู่ๆ มีบางอย่างที่แตกต่างไป นางจึงรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องราวสืบมาถึงตรงนี้ก็เข้าสู่ทางตันอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าคำพูดของอวิ๋นเฟยไม่เพียงพอที่จะเชื่อถือ แต่นางเพียงปากเดียว ไม่อาจสู้ฮองเฮากับองค์ประมุขสองปาก หากพวกเขาสองฝ่ายปฏิเสธและต่อต้านอวิ๋นเฟย นั่นก็เกินจะจินตนาการแล้ว
องค์ประมุขไม่ปรารถนาที่จะคาดเดาในสิ่งที่อันตรายเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาก็ดี หรือราชครูก็ดี ล้วนเป็นคนที่เขาเคยไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง
สายตาขององค์ประมุขตกกระทบใบหน้าของอวิ๋นเฟยอีกครั้ง
ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่นาน ราวกับผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต ท่าทีของเขาที่มีต่ออวิ๋นเฟยก็เปลี่ยนไปอย่างยากจะจินตนาการ หากเมื่อก่อนนางพูดเช่นนี้ เขาคงไม่เชื่อคำพูดนางสักคำ ทว่าบัดนี้…
องค์ประมุขสูดหายใจและตรัสช้าๆ “เวลานี้ไม่เช้าแล้ว กุ้ยเฟยรีบพักผ่อนเถิด”
กุ้ยเฟย?
นี่เขาคืนตำแหน่งให้นางแล้วหรือ?
องค์ประมุขเพียงแค่พูดไปอย่างนั้น ทว่าคำพูดองค์ประมุขดุจหยกดุจทองคำ ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ
อวิ๋นเฟยเบิกตากลมโตมองเขา
ดวงตาเช่นนี้ ราวกับออกมาจากพวกไข่ดำน้อย
องค์ประมุขไม่อาจทานทนต่อสายตาเช่นนี้ได้เล็กน้อย พลันกระแอมและตรัสอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินว่าพวกเขาชอบกินส้มจากสวนผลไม้ หากกุ้ยเฟยไม่มีธุระใดก็ไปเก็บมาสักหน่อย ข้าจะให้คนนำไปส่งให้พวกเขา”
ไปที่สวนผลไม้ได้แล้ว กระทั่งกักบริเวณก็ถูกยกเลิกแล้ว?
อวิ๋นเฟยมีอายุจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เริ่มสงสัยในชีวิตคน
“ฝ่าบาท”
“อันใดหรือ?”
อวิ๋นเฟยถูมือเล็ก “ท่านเสวยยาผิดไปหรือไม่?”
องค์ประมุข “….?!”
…..
ฮองเฮาลอบส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวขององค์ประมุขตลอด จึงทราบว่าองค์ประมุขเสด็จไปที่ตำหนักจูเชวี่ยของอวิ๋นเฟยกลางดึก เขาไปทำอะไรที่ตำหนักจูเชวี่ย? ไม่ต้องบอกว่าอวิ๋นเฟยพักผ่อนแล้ว ต่อให้ยังไม่พักผ่อนก็ตาม หรือเขาต้องการกลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่ากับนาง?
ฮองเฮาเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก
“ฮองเฮา” ขันทีเอ่ยเรียก
ฮองเฮายกมือขึ้น เป็นเชิงบอกให้เขาหยุดพูด
ขันทีทำได้เพียงแต่เงียบไป
ฮองเฮาเดินต่อไปอีกสองสามก้าว และเอ่ยว่า “เจ้าว่าเหตุใดคืนนี้ฝ่าบาทจึงเสด็จไปที่นั่น เขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
“อาจเป็นไปได้ว่าต้องการชดเชยให้อวิ๋นเฟย” ขันทีคาดเดา
“ข้าหมดอำนาจ อวิ๋นเฟยก็เรืองอำนาจ” ฮองเฮาแสยะยิ้ม “ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้”
ขันทีครุ่นคิด “ไม่ใช่อวิ๋นเฟยเคยพูดให้ร้ายท่านกับราชครูคนเก่าต่อหน้าฝาบาทหรือ? บ่าวขอบังอาจคาดเดาว่าฝ่าบาทเดินทางไปเพื่อสืบหาความจริงของเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไป ฮองเฮาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง นางยืนอยู่กลางโถงใหญ่ หันมองไปทางทิศของลานกว้างอย่างเย็นชา “เรื่องผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็หาไม่พบเบาะแสใด!”
วันเวลาผ่านไปนานหลายปี ไปตรวจสอบเรื่องราวในคราวนั้นอีกครั้งก็ไม่มีทางพบเบาะแสใด แต่หากมีคนนำเบาะแสสืบพบไปมอบถึงมือองค์ประมุข นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“คุณชาย ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนี้?” ณ ถนนซื่อสุ่ย อิ่งสือซันมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ออกคำสั่งกับตนอย่างไม่เข้าใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยเสียงสบายๆ “อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางคุยกับเรา ไม่สู้ให้องค์ประมุขไปถามด้วยตนเองดีกว่าหรือ ให้เขาได้ยินข่าวเป็นคนแรก น่าเชื่อถือกว่าพวกเราเป็นคนเล่าเอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว” อิ่งสือซันพยักหน้า เหาะพุ่งไปยังวังหลวง
ในยามบ่าย องค์ประมุขเพิ่งเสด็จมาถึงห้องทรงอักษรก็ได้ยินการรายงานจากขันทีหวัง “กุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขตรัส “ให้เข้ามา”
อวิ๋นเฟยกระวีกระวาดเข้ามาในห้องทรงอักษรราวกับมีเรื่องเร่งด่วน “ฝ่าบาท ฝ่าบาท! หม่อมฉันนึกออกแล้ว!”
“นึกอันใดออกรึ?” องค์ประมุขมองนางที่เหงื่อท่วมกาย หยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่งส่งให้นาง
นางหยิบมาเช็ด เช็ดเสร็จก็รู้สึกตัวว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนกับเรื่องที่ควรเกิดขึ้นระหว่างนางกับองค์ประมุข นางชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าช่วงเวลานี้นางมีเรื่องสำคัญ ไม่นานก็นำเรื่องน่ากระอักกระอ่วนนี้ออกไปจากความคิดอย่างรวดเร็ว
นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้านึกออกแล้ว ข้ามองเห็นรอยสักหนึ่งบนตัวของคนผู้นั้น!”
องค์ประมุขลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าหมายถึง…คนที่ปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าที่อุทยานอวี้ฮัวเก่าในคืนนั้น!”
อวิ๋นเฟยพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม “ใช่แล้ว! ด้านหลังคอของเขามีรอยสักสีฟ้า! ขนาดใหญ่ประมาณนี้!”
ขณะที่นางกล่าว ก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งแสดงขนาด ประมาณเหรียญทองแดง
หากอาศัยเพียงรอยสักเดียวใช้จับตัวฆาตกรที่บุกรุกวังหลวงก็ยังเป็นเรื่องที่พอใช้ได้ ทว่าองค์ประมุขดันรู้จักยอดฝีมือที่มีรอยสักสีฟ้าที่หลังคอจริงๆ
พระหัตถ์ที่วางบนโต๊ะขององค์ประมุขกระชับแน่น เขามองอวิ๋นเฟยแล้วเอ่ยว่า “สูงประมาณเท่าใด?”
“นี่…” นางทำท่าทางพยายามนึกย้อนถึงอดีต ผ่านไปนานถึงเพียงนั้นนางก็จำไม่ได้แล้ว แต่หลานเขยให้อิ่งสือซันนำข่าวมาบอกนาง นางรู้ดีว่าควรพูดอย่างไร “ก็…ก็รูปร่างประมาณฝ่าบาทในวัยหนุ่ม”
พระหัตถ์ขององค์ประมุขยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิม “เจ้ายังนึกอะไรออกอีก?”
“ไม่มีแล้ว” อวิ๋นเฟยส่ายหน้า
สีหน้าของฝ่าบาทเริ่มเปลี่ยนแปลงไม่อาจคาดเดา
อวิ๋นเฟยทำราวกับมองไม่เห็น ยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “แต่ ต่อให้หม่อมฉันนึกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ก็คงไม่มีประโยชน์กระมัง เขาถูกราชครูพบแล้ว ราชครูจะไม่จัดการกับเขาได้อย่างไร? ไม่แน่ว่า เขาอาจจะถูกราชครูปิดปากไปแล้วก็เป็นได้”
เป็นเรื่องง่ายดายที่ราชครูจะปิดปากคนคนหนึ่ง แต่หากอีกฝ่ายมีสถานะสูงส่ง ราชครูก็ต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมา
“เป็นเขาหรือ?” ความหนาวเย็นก่อตัวขึ้นในจิตใจขององค์ประมุข
หากเป็นเขาจริง เช่นนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องก็คงมากแล้ว
สิ่งที่ควรพูดอวิ๋นเฟยได้พูดไปหมดแล้ว การแสดงแนบเนียนไร้ที่ติ ต่อไปก็รอดูว่าองค์ประมุขจะมีความกล้าพอที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ[1]หรือไม่?
“หม่อมฉันทูลลา” อวิ๋นเฟยถอยออกไป
ทันใดนั้นจิตใจขององค์ประมุขก็ราวกับมีหินก้อนใหญ่เพิ่มเข้ามา เขากุมหน้าผาก เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หวังเต๋อเฉวียน!”
ขันทีหวังรีบสาวเท้าเข้ามา “ฝ่าบาท ท่านมีสิ่งใดรับสั่ง?”
องค์ประมุขตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เห้อเหลียนเซิงอยู่ที่ใด?”
นานแล้วที่ไม่ได้ยินชื่อนี้ ขันทีหวังผงะไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าเห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรของเห้อเหลียนเป่ยหมิงกับนางถาน เคยเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียน หลังจากทำความผิดจึงถูกขับออกจากสกุลเห้อเหลียน
บัดนี้สกุลเห้อเหลียนไม่มีคุณชายใหญ่ มีเพียงคุณหนูใหญ่เท่านั้น
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่า เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นหลานคนโตมาโดยตลอด
“เห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจากจวนแล้ว ที่อยู่ในยามนี้ไม่แน่ชัด เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทจึงเอ่ยถึงเขาพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีหวังถามอย่างงงงวย
องค์ประมุขรู้สึกว่าหินก้อนใหญ่ในใจยิ่งหนักขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถประคองหน้าผากได้ด้วยมือเดียว “เจ้าจำได้หรือไม่ว่า เหตุใดเห้อเหลียนเซิงถึงถูกขับออกจากจวน?”
ขันทีหวังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ว่ากันว่า…เขาฆ่าสามัญชนคนหนึ่ง แล้วยังโต้เถียงกับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าจึงขับไล่หลานชายอกตัญญูผู้นี้ออกจากจวนเห้อเหลียนด้วยความโกรธ”
ตระกูลเห้อเหลียนมีประเพณีของครอบครัวที่เคร่งครัด ไม่น่าแปลกใจที่จะเกิดเรื่องผดุงความยุติธรรมทำลายญาติมิตรขึ้น องค์ประมุขเคยเชื่อในเรื่องนี้สนิทใจ แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะได้ยินข่าวลือบางอย่างก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
ขันทีหวังเหลือบมององค์ประมุข “ฝ่าบาท สีพระพักตร์ของท่านไม่ดีนัก ทรงเหนื่อยเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ให้บ่าวพยุงท่านกลับไปพักที่ตำหนักครู่หนึ่งดีหรือไม่?”
องค์ประมุขตรัส “เจ้าก็เคยได้ยินข่าวลือเหล่านั้นใช่หรือไม่?”
องค์ประมุขขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าปีนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในจวนเห้อเหลียน”
ขันทีหวังทอดถอนใจ “เฮ้อ จะไม่ใช่ได้หรือ? เริ่มแรกแม่ทัพใหญ่หมกมุ่นทำการศึก จนสูญเสียวรยุทธิ์กลายเป็นคนพิการ จากนั้นเห้อเหลียนเซิงก็ฆ่าคนและถูกไล่ออกจากจวน นางถานถูกลงโทษให้บวชชี ครอบครัวที่อยู่ดีๆ บอกว่าจะแตกก็แตกเสียอย่างนั้น! ทั้งหมดนี้ไปทำบาปทำกรรมอะไรมา?”
องค์ประมุขขมคอ ตรัสอย่างเหม่อลอย “กลัวก็แต่ไม่ใช่พวกเขาที่ทำบาปทำกรรม แต่มีคนในพวกเขาที่ตกอยู่ในบาปกรรมของคนอื่น”
ขันทีหวังถึงกับผงะ “เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสเช่นนี้?”
องค์ประมุขไม่ตอบ เพียงแต่ตรัสว่า “พาตัวเห้อเหลียนเป่ยหมิงมา”
“…พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังรับคำสั่ง
“ช้าก่อน” องค์ประมุขหยุดชะงัก นึกขึ้นได้ว่านิสัยของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่อาจใช้กลอุบายกับลูกเมีย “ไม่จำเป็นต้องให้เขารู้ พาตัวนางถานมา!”
…………………………………………
[1] ทุบหม้อข้าวจมเรือ เป็นสำนวนจีนที่หมายถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาด เมื่อคิดแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด