หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 340 เปิดเผยความจริง
“ฮูหยิน โปรดหยุดก่อน บ่าวต้องทูลฝ่าบาทก่อน” เพราะไม่มีอุปสรรคขวางกั้น ขันทีหวังจึงพาคนไปยังห้องทรงอักษรอย่างราบรื่น
นางถานไม่มีความตั้งใจจะแก้ไขคำเรียกของขันทีหวัง นางพยักหน้าอย่างสุภาพ
ขันทีหวังก้าวเข้าไปข้างใน “ฝ่าบาท ฮูหยินเห้อเหลียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม” องค์ประมุขส่งเสียงตอบรับอย่างเคร่งขรึม เป็นเชิงบอกให้ขันทีหวังนำคนเข้ามา
“ฮูหยิน เชิญเถิด” ขันทีหวังกล่าวกับนางถาน
นางถานเข้าไปในห้องทรงอักษรอย่างสงบนิ่ง หยุดอยู่หน้าโต๊ะขององค์ประมุข คารวะด้วยสายตามองตรง “แม่ชีหลิงฮุ่ย ถวายบังคมฝ่าบาท”
ก่อนที่นางถานจะปรากฏตัว องค์ประมุขเคยมีความคิดในแง่ดี อวิ๋นเฟยอาจได้ยินผิดหรืออาจเป็นเขาเข้าใจฮองเฮาผิด ฮองเฮากับเขารักใคร่ดูแลกันมานานหลายปี จะทำเรื่องทรยศเขาได้อย่างไร?
แต่ทันทีที่ได้เห็นนางถาน ลางสังหรณ์ขององค์ประมุขก็ไม่ดีนัก
“นางถาน เจ้ารู้หรือไม่ที่เราเรียกเจ้ามามีเรื่องอันใด?” องค์ประมุขไม่เรียกนางว่าหลิงฮุ่ย ในมุมมองขององค์ประมุข นางถานเป็นภรรยาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง แม้โกนผมบวชชีก็ไม่สำคัญ ในใจของเห้อเหลียนเป่ยหมิงยังมีนาง เช่นนั้นนางก็ยังเป็นนางถานแห่งจวนเห้อเหลียน
นางถานหลุบสายตา “แม่ชีไม่ทราบ”
องค์ประมุขถามต่อ “ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้?”
นางถานไม่โต้ตอบ
องค์ประมุขทอดถอนใจ “เอาละ ข้าไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว ที่เรียกเจ้ามาวันนี้ ข้าอยากจะถามเจ้าสักสองสามเรื่อง แต่เจ้าต้องบอกกับข้ามาตามตรงอย่าได้ปิดบัง”
นางถานชะงักไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบว่า “ฝ่าบาทโปรดตรัส”
องค์ประมุขกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สองสามปีก่อนจวนเห้อเหลียนเกิดเรื่องใหญ่ เริ่มจากแม่ทัพของข้าหมกหมุ่นเสียสติ สิ้นวรยุทธ์ ต่อมาเห้อเหลียนเซิงก็คร่าชีวิตคน ถูกขับออกจากตระกูล ข้าขอถามเจ้า เรื่องราวเหล่านี้ยังมีความลับใดอีกหรือไม่?”
นางถานบีบนิ้ว
องค์ประมุขจ้องมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “ไม่เช่นนั้นข้าเปลี่ยนประโยคถามเจ้าใหม่ เรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่? เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับราชครูใช่หรือไม่?”
หน้าผากของนางถานเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราย
องค์ประมุขมองเห็นการขัดขืนต่อสู้ของนาง จึงพูดโน้มน้าว “เจ้าไม่ต้องกลัว หากฟ้าถล่มลงมามีข้าเป็นนายเจ้า แผ่นดินนี้ก็เป็นแผ่นดินของข้า ใต้หล้านี้ก็เป็นใต้หล้าของข้า ข้าย่อมปกป้องเจ้าได้ เหตุผลที่ข้าถามเจ้าก็เพราะคนที่เคยคุกคามเจ้า ทำให้ข้าระแวงสงสัย นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้าที่จะกำจัดพวกเขา เจ้าลองคิดดูดีๆ หากไม่มีหลักฐาน ข้าก็ไม่สามารถจัดการคนพวกนั้นได้ เจ้ากับบุตรชายของเจ้า จะไม่มีวันสงบสุขไปชั่วชีวิต!”
ความกังวลของฮองเฮานั้นถูกต้อง นางถานไม่กล้าหักหลังนางกับสำนักราชครู เพราะจวนเห้อเหลียนไม่อาจต่อสู้ได้ แต่เพราะองค์ประมุขกำลังบอกกับนางอย่างชัดเจน ฮองเฮาที่เคยเป็นที่โปรดปรานในอดีต ได้สูญสิ้นความโปรดปรานแล้ว ขอเพียงไร้ความรักและเมตตาจากองค์ประมุข ฮองเฮาหรือจะนับเป็นสิ่งใด?
แต่เพียงชั่วพริบตา นางถานก็ก้าวเท้าออกจากเงามืด นางงอเข่าทั้งสองข้างและทรุดลงกับพื้น “ใช่ ข้าเป็นคนทำ ข้าเป็นคนวางยาท่านแม่ทัพใหญ่ ทำให้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์”
แม้เดาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินนางถานยอมรับจากปากของตนเองจริงๆ ก็ยังทำให้องค์ประมุขถึงกับตกใจ “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?”
คิ้วของนางถานกดต่ำ กล่าวอย่างขมขื่น “หากข้าพูดไปฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่?”
ฝ่าบาทก้มมองนางจากที่สูง “จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของข้า หากเจ้าไม่พูด กระทั่งโอกาสที่ข้าจะเชื่อเจ้าก็ไม่มี”
นางถานถูกโน้มน้าว พยักหน้าแล้วพูดอย่างโศกเศร้า “เพราะว่า หากข้าไม่ทำให้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ พวกเขาก็จะเอาชีวิตของเขาไป!”
“นี่เจ้าก็เชื่อหรือ?” องค์ประมุขขมวดคิ้วไม่พอใจ เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นแม่ทัพแห่งหนานจ้าว วรยุทธ์เกรียงไกรหาใดเปรียบ จะถูกลอบทำร้ายได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?
“ถูกวางไปแล้ว” นางถานกล่าว
องค์ประมุขผงะ
นางถานกล่าวเย้ยหยันตนเอง “องค์ประมุขยังทรงจำได้หรือไม่ ก่อนจะเกิดเรื่องกับเขาไม่นาน ท่านเรียกตัวเขาไปเจรจาหารือเรื่องปัญหาทางการทหารที่ห้องทรงอักษร ครั้งนั้น ในน้ำชาของเขา ก็ถูกคนวางยาแล้ว”
ที่แท้ก็มีเรื่องเช่นนี้ ยามนั้นทางด้านตะวันออกมีกลุ่มโจร องค์ประมุขตัดสินใจส่งเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปปราบ จึงเรียกเขามาพบที่ห้องทรงอักษรเพื่อหารือถึงวันเดินทาง เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องกับเขา องค์ประมุขจึงยังจำวันที่เรียกพบเขาครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี
องค์ประมุขขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “ใน…ในน้ำชาของข้า จะมียาพิษอยู่ได้อย่างไร?”
นางถานพูดประชดประชัน “ฮองเฮาได้เสด็จมาหรือไม่?”
องค์ประมุขเกิดความคิดราวกับถูกทุบหัว
ฮองเฮา…เคยเสด็จมา!
นางยกขนมถาดหนึ่งเข้ามา เป็นของที่พ่อครัวตำหนักเขาเป็นคนทำ
นาง นางวางยาเขาตอนนั้นเองหรือ?
นางถานกล่าว “ยาพิษนั้นไร้สีไร้กลิ่น แต่จะทำให้เจ็บปวดหลังจากนั้นเล็กน้อย ท่านแม่ทัพใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม จึงไม่ได้เก็บไปใส่ใจ พวกเขามาหาข้าแล้วบอกกับข้าว่า ทางเดียวที่จะถอนยาพิษได้ คือยาพิษที่จะทำให้คนเสียสติวิปลาส ความเป็นความตายของท่านแม่ทัพใหญ่ อยู่ที่ข้าเป็นคนเลือก ข้าไม่ได้เลือก ข้าไม่สามารถมองดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้….”
องค์ประมุขมองนางอย่างงงงวย “ทว่าเหตุใดถึงเป็นเห้อเหลียนเป่ยหมิง? มิใช่ควรเป็นเห้อเหลียนเซิงหรือ?”
ยอดฝีมือที่มีรอยสักด้านหลังคอเป็นเห้อเหลียนเซิง
เขาเฝ้าดูเห้อเหลียนเซิงเติบโต จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าที่คอของเขามีรอยสัก? หากพูดแล้วเรื่องนี้ยังทำให้เขาประหลาดใจ เห้อเหลียนเซิงเข้าวังมาเป็นเพื่อนร่วมเรียนขององค์หญิงน้อย องค์หญิงน้อยดื้อรั้น ตกลงมาจากต้นไม้ เพื่อช่วยเหลือนาง หลังคอของเห้อเหลียนเซิงจึงได้รับบาดเจ็บและทิ้งแผลเป็นไว้ภายหลัง เห้อเหลียนเซิงไม่อยากมีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ จึงเปลี่ยนให้มันกลายเป็นรอยสัก
นางถานชะงักกับคำถามขององค์ประมุข เมื่อกลับมารู้สึกตัวจึงพูดว่า “ฝ่าบาทคงทราบเรื่องที่เห้อเหลียนเซิงแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้ว”
นางถานไม่ได้ถามว่าองค์ประมุขทราบได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางควรจะถาม อีกอย่างนางก็สนใจเพียงผลลัพธ์เท่านั้น
นางถานกล่าวต่อ “หลังจากเซิงเอ๋อร์ถูกพบ ราชครูก็จำเขาได้จึงส่งคนตามฆ่าเขา แต่เขาหนีมาได้ เขาได้รับบาดเจ็บ กลับมาที่จวนจึงถูกข้าพบ ข้าเค้นถามเขา เขาจึงบอกเรื่องที่ได้ยินมาจากวังหลวงกับข้า เขาเพียงแค่เข้าวังเพื่อนำของขวัญกลับไปให้องค์หญิงน้อยเท่านั้น แต่กลับเข้าไปเกี่ยวข้องกับหายนะโดยไม่คาดคิด
ข้าซ่อนตัวเซิงเอ๋อร์ไว้ พวกเขารู้ว่าข้าซ่อนตัวเขาไว้ จึงกดดันให้ข้าส่งตัวเซิงเอ๋อร์ไป หากไม่ยอมส่ง พวกเขาก็จะลงมือกับท่านแม่ทัพใหญ่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ข่มขู่ข้า ‘นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายของเจ้า หากเจ้ายังไม่ยอมส่งคนมา ฮองเฮาจะรับสั่งให้นำตัวเขาไปเข้าพบ’”
จริงสิ หากฮองเฮามีรับสั่งให้นำตัวไปเข้าเฝ้า เขาปฏิเสธรับสั่งไม่ไปได้หรือ?
องค์ประมุขให้ความสำคัญกับจวนเห้อเหลียน และเห้อเหลียนเซิงก็เคยเป็นเพื่อนร่วมเรียนขององค์ชายกับองค์หญิง ฮองเฮาเรียกตัวเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าก็เป็นเพียงเรื่องปกติเท่านั้น แล้วจะมีผู้ใดไปสงสัยว่าฮองเฮาต้องการฆ่าเขาละ?
เมื่อฟังถึงตรงนี้ องค์ประมุขก็รู้สึกว่าปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ
หน้าอกคับแน่น หายใจยากลำบาก
ผ่านไปนาน เขาถึงตามหาเสียงของตัวเองกลับมาได้ “เจ้ากังวลว่าฮองเฮาจะมีรับสั่งให้นำตัวเขาไปเข้าเฝ้าจริงๆ จึงหาหนทางขับเขาออกจากตระกูลหรือ?”
นางถานพยักหน้า “มิผิด นอกจากให้เขาออกไป ข้าก็คิดหาหนทางที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว”
“เช่นนั้นเรื่องสังหารคนกับบุตรนอกสมรสเป็นเรื่องอันใดกัน?” องค์ประมุขตรัส
นางถานกล่าว “เริ่มแรกข้าใช้เงินติดสินบนจัดฉากให้เซิงเอ๋อร์ฆ่าคนตาย เพื่อเป็นข้ออ้างให้เซิงเอ๋อร์ถูกขับออกจากจวนเห้อเหลียน ฝ่าบาทก็ทราบ สกุลเห้อเหลียนมีประเพณีของครอบครัวที่เคร่งครัด การละเมิดกฎของครอบครัวเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านแม่ทัพใหญ่จะต้องผดุงความยุติธรรมจัดการญาติมิตร ทว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางถานก็รู้สึกเจ็บปวดในลำคอ “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นด้วย นางบอกว่า นางจะไปก้มหัวขอขมาครอบครัวเขา ขอร้องให้ครอบครัวเขายกโทษให้หลานชายของนาง…”
เมื่อนึกถึงแม่สามีที่แก่ชรา เต็มใจยินยอมคุกเข่าปกป้องหลานชายของตน นางถานก็ทนต่อไปไม่ไหว ซ่อนใบหน้าหลั่งน้ำตา
“ดังนั้นเจ้าจึงวางแผนจัดฉากมีชู้กับคนอื่น?”
นางทำเช่นนั้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อนาง ฮูหยินผู้เฒ่าดึงนางออกไปด้านข้างเงียบๆ แล้วถามนางว่าถูกคนรังแกใช่หรือไม่ ทั้งยังบอกว่าคนอัปลักษณ์ผู้นั้นมีส่วนใดที่ดูดีได้ครึ่งหนึ่งของบุตรชายนาง ให้เป็นชู้ก็ยังไม่เหมือน
ฮูหยินผู้เฒ่าบ้าก็บ้าเล็กน้อย แต่ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถหลอกนางได้
ทางเลือกสุดท้าย นางถานจำต้องบอกความจริงกับฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด
นางบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าเซิงเอ๋อร์ถูกคุกคาม จากคนที่ไม่อาจถูกคุกคาม เพื่อความปลอดภัยของฮูหยินผู้เฒ่า นางไม่อาจบอกได้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่เห้อเหลียนเซิงไม่อาจอยู่ในจวนต่อไปได้ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะถูกสังหาร
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงขับเห้อเหลียนเซิงออกไป
คนที่รักหลานชายถึงเพียงนั้น ต้องใช้ความมุ่งมั่น มาแบกรับความเจ็บปวดเพียงใดถึงจะสามารถขับเห้อเหลียนเซิงออกจากจวนได้? ทั้งยังต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นนางก็เสียสติจนลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป และไม่เคยถูกเปิดเผยอีก
ในใจของนาง มีมุมที่ความบ้าคลั่งไม่อาจเข้าไปได้ กักเก็บความลับของหลานชายไว้
เมื่อแสดงก็ต้องแสดงจนจบ เห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจากจวนแล้ว มารดาที่มีชู้และให้กำเนิดบุตรนอกสมรสอย่างนางย่อมไม่อาจอยู่ในจวนเห้อเหลียนต่อไปได้
นางจึงถูกเชิญไปที่สำนักชี
ความน่าเกลียดของครอบครัวไม่อาจบอกให้ภายนอกรับรู้ เรื่องราวภายในของ ‘บุตรนอกสมรส’ นี้ มีเพียงเจ้านายแห่งจวนตะวันออกและตะวันตกที่รับรู้ กับบุคคลภายนอกยังเป็นเรื่องเห้อเหลียนเซิงฆ่าคนตายจึงถูกขับออกจากจวน
นางถานปาดน้ำตา “หลังจากข้าเข้าไปสำนักชี พวกเขาก็ควบคุมตัวข้า พวกเขาเชื่อว่าขอเพียงมีข้าอยู่ในกำมือ เซิงเอ๋อร์ก็ต้องกลับมาสักวัน”
องค์ประมุขทราบแล้วว่าเรื่องราวในตอนนั้น แท้จริงแล้วภายในเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ไม่ใช่เขาไม่เคยสงสัยว่าจวนเห้อเหลียนมีปัญหาขัดแย้งกับใคร มีเรื่องทนทุกข์อันใดหรือไม่ แต่เขาเห็นว่าด้วยอำนาจอิทธิพลของจวนเห้อเหลียน จะยังมีผู้ใดในหนานจ้าวที่กล้าคิดทำลายพวกเขา? และไม่มีทางเป็นฮองเฮา
เขาไม่เคยสงสัยฮองเฮามาก่อน
ไม่รู้เลยว่ากลับเป็นฮองเฮาจริงๆ
ความหนาวเย็นเกาะกุมหัวใจขององค์ประมุข กระทั่งขนอ่อนก็ลุกชัน
ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ คนที่นอนเคียงหมอนแท้จริงเป็นนางงูพิษเช่นไรกันแน่? นางซ่อนความลับกับตนไว้มากมายเพียงใด? ฮองเฮาที่เขาเห็นอยู่ทุกวัน แท้จริงแล้วเป็นนาง หรือเป็นเพียงเปลือกนอกที่นางเสแสร้งแสดงออกมาเท่านั้น?
องค์ประมุขรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ราวกับมีสว่านที่หมุนไม่หยุด เจาะสมองของเขาแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดศีรษะที่เจ็บปวด มืออีกข้าง กดลงบนโต๊ะพยุงร่างให้ลุกขึ้น และตรัสอย่างเหนื่อยหอบ “เห้อเหลียนเซิง…เห้อเหลียนเซิงได้… ได้ยินความลับอันใดกันแน่?”
เมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ นางถานก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังอีก
นางถานเงยหน้าขึ้นมององค์ประมุขอย่างเคร่งขรึม กล่าวคำเว้นคำ “ราชครูคนเก่าเป็นชู้กับฮองเฮาตี้จีองค์เล็ก…ก็อาจเป็นเลือดเนื้อของราชครูคนเก่าเพคะ”
ตู้ม
สมองขององค์ประมุขระเบิด
…..
“ฮองเฮา! ฮองเฮา!”
ในสวนที่ใกล้กับห้องทรงอักษร ขันทีกับนางข้าหลวงสองสามคนออกตามหาฮองเฮาอย่างร้อนใจ หลังจากฮองเฮาลงจากเกี้ยว ก็เดินมาทางนี้คนเดียวเพื่อขัดขวางนางถานไว้ ไม่คิดว่านางถานได้เข้าไปในห้องทรงอักษรแล้ว และไม่เห็นฮองเฮากลับมา
พวกเขางุนงง ออกตามหา ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาฮองเฮา
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ฮองเฮาเสด็จไปที่ใดกัน?” นางข้าหลวงเล็กคนหนึ่งถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน หรือว่าเสด็จไปที่ห้องทรงอักษรแล้ว?” นางข้าหลวงเล็กอีกคนกล่าว
“ไม่มี เมื่อครู่ข้าไปถามมาแล้ว มีเพียงขันทีหวังกับแม่ชีอีกคนหนึ่งที่เข้าไปในห้องทรงอักษร” นางข้าหลวงเล็กอีกคนหนึ่งกล่าว
“ไม่ต้องเอะอะแล้ว! รีบออกตามหา!” ขันทีเอ็ดนางข้าหลวงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทันใดนั้นนางข้าหลวงคนหนึ่งก็ตะโกนเรียก “เจอแล้ว เจอแล้ว! ฮองเฮาอยู่ตรงนี้!” ขันทีรีบเดินเข้าไปพยุงฮองเฮาที่สลบไม่ได้สติอยู่บนพื้นหญ้าขึ้นมา แน่นอนฮองเฮาไม่ได้สลบลงตรงนี้ ทว่าอวิ๋นเฟยลากนางมาทิ้งไว้ที่นี่ อวิ๋นเฟยกระทำการอย่างระมัดระวังยิ่ง ไม่มีผู้ใดเห็นว่านางทำ
เหล่านางข้าหลวงยังคงคิดว่าฮองเฮาสลบไปด้วยตนเอง ไม่ได้ติดตามเรื่องราวอะไร รีบพาฮองเฮาขึ้นเกี้ยวกลับตำหนักจงกง
ขันทีเชิญหมอหลวงมาตรวจก็ตรวจไม่พบสาเหตุ ฮองเฮาภายในร้อนรุ่มเป็นเรื่องจริง โทสะกระทบจิตใจจนเป็นลมก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หมอหลวงจึงระงับไฟคลายความร้อน
ตำหนักจงกงวุ่นวายโกลาหลอยู่ครู่หนึ่ง
ระหว่างนั้น ขันทีไปที่ห้องทรงอักษร หมายจะกราบทูลองค์ประมุขว่าฮองเฮาหมดสติไป แต่กระทั่งหน้าขององค์ประมุขก็ไม่ได้พบ
องค์ประมุขมาถึงตำหนักจงกงอีกหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
บัดนี้ ฮองเฮาได้ฟื้นขึ้นมาครู่หนึ่งแล้ว กำลังนั่งดื่มยาที่หมอหลวงสั่งอยู่ที่หัวเตียง เมื่อได้ยินข้าหลวงรายงานว่าองค์ประมุขเสด็จมา ฮองเฮารีบวางชามยา และกำลังยกผ้านวมขึ้น หมายจะไปต้อนรับ ทว่ายังไม่ทันที่สองเท้าจะเหยียบพื้น ก็สัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตรุนแรง
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ พบกับสายตาเย็นชาประดุจมีดแหลมคม จิตใจของนางกระตุกวูบ!
…………………………