หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 348 พี่น้องพบหน้า เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์มาแล้ว
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 348 พี่น้องพบหน้า เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์มาแล้ว
ตี้จีองค์โตตั้งแต่เกิดก็ถูกสาปแช่ง นางถูกส่งออกจากหนานจ้าวไปนานหลายปี เมื่อไม่นานนี้นางพาครอบครัวกลับมาที่เมืองหลวง แต่นางดูไม่เหมือนในข่าวลือนัก อสูรเดียวดายที่พูดกัน กลับมีครบทั้งบุตรหญิงชายและหลานเต็มเรือน
แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
ผู้คนรออย่างใจจดใจจ่อ ตี้จีองค์โต เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็ร้อนใจเช่นกัน
นางพลิกตัวไปพลิกตัวมา นอนไม่หลับทั้งคืน อีกทั้งยังตื่นแต่เช้าตรู่ ใบหน้าเล็กๆ ก็เกิดรอยคล้ำใต้ตาอันน่าสงสาร
ทำให้อวี๋เซ่าชิงเจ็บปวดใจยิ่งนัก
อาซูของเขาเกิดมาในหมู่สามัญชน ไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ช่วงนี้เขามักจะรู้สึกว่าอาซูลุกนั่งไม่ติด พลิกตัวไปมา นางคงหวาดกลัวมากเป็นแน่
อวี๋เซ่าชิงมองภรรยาที่หวาดกลัวจนร่างกายคล้ายกับสั่นระริก แต่กลับยังข่มใจแต่งตัวอยู่หน้ากระจก “อาซู ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องไปดีกว่ากระมัง? ให้อาหวั่นไปแทนเจ้า”
“จะได้อย่างไร?!” เจียงน้อยตบโต๊ะ
อวี๋เซ่าชิงผงะตกใจ
นางเจียงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่มุมปาก มืออีกข้างกุมหน้าอก แล้วกล่าวด้วยท่าทางสตรีผู้บอบบางน่าทะนุถนอม “แค่กๆๆ สาส์นก็รับมาแล้ว อย่างไรก็ต้องไป ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาเบี้ยวจะทำอย่างไร?”
“ทำให้เจ้าลำบากแล้ว” อวี๋เซ่าชิงเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และปลอบโยนนางเบาๆ “อาซูไม่ต้องกลัว เจ้าแค่ไปเผยหน้า ไม่ต้องสู้กับพวกเขา”
นางเจียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อื้อ!”
นางชะงักครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “หากพวกเขาโจมตีข้าจะทำอย่างไร?”
อวี๋เซ่าชิงกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ดวงตาของนางเจียงกลิ้งกลอกไปมา “อ้อ”
“ข้าจะไปดูว่าอาหวั่นกับจิ่วเฉาเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว” อวี๋เซ่าชิงไปที่ห้องสองสามีภรรยา ทั้งสองตื่นแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉากำลังสวมรองเท้าให้เสี่ยวเป่า ส่วนอวี๋หวั่นไปที่เรือนชีสยาย่วน
เพราะต้องประลองศาสตร์กู่และเวทมนตร์คาถา กลุ่มของอาเว่ยย่อมต้องมาต่อแถวเรียงเป็นลำดับ แต่สิ่งที่น่าเอ่ยถึงคือ บัดนี้อวี๋หวั่นก็ยังคงไม่รู้สถานะของอาเว่ย แต่ศาสตร์กู่ของอาเว่ยยอดเยี่ยมเป็นที่ประจักษ์ อาม่า….อาม่าค่อนข้างมีความสามารถทุกด้าน ว่ากันว่าเขายังมีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับคาถาอาคม
เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งบู๊บุ๋นต่างก็มาดูการสู้รบ
ทางด้านป่าไผ่ หนานกงเยี่ยนและฮองเฮาก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่แท่นพิธี
หลังจากหนานกงหลีรับรู้เรื่องความจริงเกี่ยวกับตัวเองก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ในขณะที่ฮองเอาคิดว่าเขาจะยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวต่อไป ในที่สุดเขาก็โผล่หน้าออกมา
“หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เจ้าซูบเซียวหมดแล้ว” ฮองเฮาเดินเข้าไปลูบแก้มเขา
หนานกงเยี่ยนเลือบมองเขาอย่างเฉยเมย “อย่าใช้สายตาราวกับว่าผู้ใดเป็นหนี้บุญคุณเจ้า รีบไปเก็บของ เตรียมตัวออกเดินทาง”
รถม้าด้านนอกเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง หนานกงหลีเลือกม้าเหงื่อโลหิตชั้นดีตัวหนึ่ง ในจังหวะที่หนานกงหลีพลิกตัวขึ้นม้า ไป๋เชียนหลีก็เดินเข้ามา
ไป๋เชียนหลีจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย “หลีเอ๋อร์เจ้า…ระวังด้วย”
“ไม่ต้องยุ่ง!” หนานกงหลีไม่แม้แต่จะมองเขาตรงๆ ดึงบังเหียน มุ่งหน้าออกจากป่า
เยี่ยนอ๋องจูงมือต้าเป่าเดินออกมา
ต้าเป่าเงยหน้ากะพริบตามองเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องลูบหัวน้อยๆ ของต้าเป่าอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
ต้าเป่าพยักหน้า
เยี่ยนอ๋องพาต้าเป่าขึ้นรถม้า
หนานกงเยี่ยนอำลาฮองเฮา
ฮองเฮาไม่อาจวางใจ จึงถามนางว่า “เยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ให้แม่ไปกับเจ้าจริงๆ หรือ?”
หนานกงเยี่ยนกล่าว “ไม่ต้อง ท่านแม่รอฟังข่าวจากข้า ไม่นานจะมีคนพาท่านแม่ย้ายไปที่ที่ปลอดภัย”
ฮองเฮากล่าวอย่างกังวล “ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ?”
หนานกงเยี่ยนกล่าว “พวกเราไปแล้ว ที่นี่จะไม่ปลอดภัย”
ไร้การคุ้มกันจากซิวหลัว ป่าแห่งนี้ก็จะสูญเสียอุปสรรคสิ่งกีดขวางที่มีกำลังที่สุดไป
ยามนี้ฮองเฮาต้องฝากความหวังไว้ที่หนานกงเยี่ยน หนานกงเยี่ยนว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ฮองเฮาใช้สายตามองส่งหนานกงเยี่ยนขึ้นรถม้าคันที่เยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ กระทั่งรถม้าเคลื่อนลับสายตา นางจึงทอดถอนใจกลับเข้าห้อง
รถม้าแกว่งไกวมุ่งหน้าสู่แท่นพิธี เยี่ยนอ๋องกับหนานกงเยี่ยนนั่งคนละฝั่ง ต้าเป่านอนขดตัวกลมอยู่ในอ้อมแขนเยี่ยนอ๋อง ชะเง้อมองนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว
“อยากดูหรือ?” เยี่ยนอ๋องเปิดม่าน
ต้าเป่าเบิกตากว้าง มองทิวทัศน์ข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หนานกงเยี่ยนนึกถึงเด็กคนนี้ยามเดินทางมากับนาง นั่งนิ่งสุขุมราวกับหิน ยามนี้อยู่ข้างกายเยี่ยนอ๋องค่อยดูเหมือนเด็กอายุสามขวบ
ไม่รู้ว่าต้าเป่าเห็นอะไร เขาหัวเราะคิกๆ ออกมา
เยี่ยนอ๋องก็ยิ้มเช่นกัน
นั่นคือรอยยิ้มที่หนานกงเยี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่แสร้งทำให้นางใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มก้มหน้านั้น ทำให้ฤดูหนาวอันโหดร้ายสลายหายไปสิ้น
หากบุตรของเขาได้เกิดมาอย่างปลอดภัย เขาก็คงรักใคร่แบบนี้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?
หนานกงเยี่ยนลูบหน้าท้องราบเรียบของตนเอง ความเจ็บปวดทำให้หัวใจของนางบุบสลายป่นปี้ นางเบือนหน้าหนีด้วยความเคียดแค้น ไม่มองเยี่ยนอ๋องกับเด็กคนนี้อีก!
“ต้าเป่าหิวหรือไม่?” เยี่ยนอ๋องเปิดกล่องข้าว หยิบขนมเกาลัดให้ต้าเป่า
ต้าเป่ากลับไม่ได้กินเอง ทว่ายื่นให้หนานกงเยี่ยน
หนานกงเยี่ยนผงะ จากนั้นก็เมินหน้าหนีอย่างเฉยเมย “ข้าไม่กิน”
ต้าเป่ายังคงยื่นให้นางอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ
ในที่สุดหนานกงเยี่ยนก็รับขนมไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แล้วต้าเป่าก็หยิบอีกชิ้นให้เยี่ยนอ๋อง จากนั้นเขาจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย
หนานกงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าชิ้นของนางกับเยี่ยนอ๋องเป็นชิ้นใหญ่ แต่ของเขาเองกลับเป็นชิ้นเล็ก
แม้ไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่รู้ความที่สุดที่นางเคยพบมา
น่าเสียดายที่เป็นเลือดเนื้อของศัตรู
ดวงตาของนางพลันเย็นชา
รถม้าไม่ได้พาเยี่ยนอ๋องและต้าเป่าไปที่แท่นบูชา มาได้ครึ่งทางหนานกงเยี่ยนก็เปลี่ยนรถม้า ให้หน่วยกล้าตายและองครักษ์พาเยี่ยนอ๋องและต้าเป่าไปยังที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
ยามที่หนานกงเยี่ยนมาถึงแท่นพิธี รอบแท่นพิธีก็เต็มไปด้วยชาวเมืองที่มารอดูกันอย่างเนืองแน่น
ยารักษาอาการองค์ประมุขไม่ได้ผล จึงไม่อาจเปล่งวาจา สามมหาเสนาบดีสูงสุด สำนักราชครูและวิหารพิษจึงเป็นประธานในการประลอง อวี้สื่อต้าฟูกับปรมาจารย์พิษอาวุโสจากวิหารพิษสองสามคน และราชครูที่รีบออกจากพิธีภาวนาเมื่อคืนนั่งอยู่สองฝั่งของแท่นบูชา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและแม่ทัพสามท่านนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นบูชา
“ตี้จีองค์เล็กเสด็จ——”
“องค์ชายหลีเสด็จ——”
ตามหลังเสียงประกาศของขันที หนานกงเยี่ยนและหนานกงหลีก็เดินออกมาจากด้านหลังฝูงชนช้าๆ ไม่พบหลายวัน ทั้งสองต่างดูซูบเซียวลงไป ความแห้งเหี่ยวบนใบหน้าถูกปกคลุมด้วยแป้งประทินโฉม สวมอาภรณ์หรูหราสง่างาม ชาติกำเนิดสูงส่ง สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังตั้งแต่เล็ก
ประชาชนต่างคุกเข่าข้างหนึ่งคารวะ
ภายใต้การก้มคารวะของทุกคน สองแม่ลูกเดินขึ้นไปยังแท่นพิธี
“ตี้จีองค์เล็กก็มาถึงแล้ว เหตุใดตี้จีองค์โตยังไม่มาอีก?”
“จริงด้วย นี่ก็ชั่วยามนี้แล้ว คงมิใช่ว่านางไม่กล้ามาปรากฏตัวกระมัง?”
“ถูกเลี้ยงดูในหมู่สามัญชน ยังไม่เคยขึ้นเวทีเป็นที่จับจ้อง เดาว่านางคงกลัว”
“ตี้จีองค์โตกับองค์หญิงหวั่นล้วนเติบโตมาในหมู่สามัญชน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะอับอายผู้คน?”
มีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขึ้นในฝูงชน เห้อเหลียนเป่ยหมิงขมวดคิ้วกำลังจะแผดเสียงตะโกนให้พวกเขาหยุด ก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของขันทีหวังประกาศดังมาแต่ไกล
“ตี้จีองค์โตเสด็จ——”
“องค์หญิงหวั่นเสด็จ——”
ทุกคนต่างหันไปมองตามๆ กัน!
บนรถม้าคันหนึ่งที่ไม่นับว่าโดดเด่นนัก มีสตรีอ่อนวัยผู้หนึ่งก้าวเท้าลงจากรถม้าอย่างไม่รีบร้อน นางสวมกระโปรงสีเหลืองขนห่าน เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร ดูสงบสง่างาม จะว่าสูงส่งก็สูงส่ง แต่กลับไม่มีกลิ่นอายหยิ่งผยองเช่นผู้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย
“เป็นองค์หญิงหวั่น!”
มีประชาชนที่จำเธอได้
อวี๋หวั่นไม่ได้สวมเสื้อผ้าเชื้อพระวงศ์ ทว่ากลิ่นอายสูงศักดิ์กลับแผ่ออกมาในทุกท่วงท่ากิริยาของเธอ
เธอยื่นข้อมือขาวเกลี้ยงเกลาออกมาประคองสตรีอีกคนในรถม้า
สตรีผู้นั้นสวมเสื้อสีขาว คลุมด้วยเสื้อผ้าโปร่งสีทองโปร่งแสง แสงยามเช้าพาดบนเรือนร่างของนาง วินาทีนั้น ทุกคนต่างตกตะลึง ราวกับมองเห็นพญาหงส์สยายปีก
แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นป้องปากไอเบาๆ สองครา
ทุกคนได้สติกลับคืนในฉับพลัน ที่ได้ยินว่าร่างกายของตี้จีผู้นี้ไม่สู้ดีนัก ดูจะเป็นเรื่องจริง
ทุกคนได้ยินเสียงไอที่ชวนให้ใจสลาย ก็รู้สึกทุกข์ระทมแทนนาง
แม้จะป่วยราวกับสตรีผู้เปราะบาง ก็ยังคงดูสงบและสง่างาม
เมื่อเทียบกับตี้จีองค์เล็กที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้คน ความอ่อนแอเงียบสงบของตี้จีองค์โตเข้าไปอยู่ในหัวใจผู้คนได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่า
ทุกคนหยุดกระทั่งหายใจ ไม่จำเป็นต้องให้องค์รักษ์กวาดต้อน ก็หลีกทางให้นางอย่างพร้อมเพรียง กลัวว่าจะไม่ระวังไปชนตี้จีที่อ่อนแอผู้นี้จนบุบสลาย
แท่นบูชาที่มีเสียงอึกทึกก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเงียบงันในทันที หลงเหลือเพียงเสียงไอเบาๆ ของนางเจียงที่ดังออกมา
โตมาในหมู่สามัญชนอะไร? ไม่อาจขึ้นเวทีอะไร?
ตี้จีนอกจากร่างกายที่อ่อนแอเล็กน้อย ก็ไม่มีสิ่งใดด้อยไปกว่าหนานกงเยี่ยนเลย
อวี๋หวั่นประคองท่านแม่ของเธอขึ้นไปบนแท่นพิธี
ทุกคนคารวะนางทั้งสอง
“นั่งได้” อวี้สื่อต้าฟูกล่าว
องครักษ์ยกเก้าอี้มา
อวี๋เซ่าชิงมาถึงในเวลาที่สองแม่ลูกลงจากรถม้า เขานั่งข้างเห้อเหลียนเป่ยหมิง
“ราชครูออกจากพิธีภาวนาแล้วหรือ?” อวี๋เซ่าชิงมองเห็นราชครูบนแท่นพิธี
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “ออกเมื่อคืน”
อวี๋เซ่าชิงฮึดฮัด “เขารีบทำเวลา!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “น่าจะคำนวณวันที่เขาออกจากพิธีกรรมไว้แน่นอนแล้ว หนานกงเยี่ยนถึงได้กล้านัดหมายสามวันหลังจากนี้” ไม่เช่นนั้น นางก็อาจจะนัดหมายในอีกสิบวัน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสที่เก่งกาจที่สุดในมือของหนานกงเยี่ยนแซ่เมิ่ง เป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง ศาสตร์กู่ของอาเว่ยอยู่เหนือกว่าเขา ในด่านแรกแทบไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเหลือบมองราชครูที่สงบนิ่ง “ข้ารู้สึกว่า มันจะไม่ง่ายเช่นนั้น”
เป็นไปดังคาด เมื่ออวี้สื่อต้าฟูประกาศให้ทั้งสองฝ่ายส่งปรมาจารย์พิษลงสนาม คนที่หนานกงเยี่ยนส่งไปกลับไม่ใช่ปรมาจารย์พิษเมิ่ง
ชายในชุดคลุมสีดำ อายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ร่างกายสูงใหญ่ ดวงตาดำมืด
ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปบนแท่นพิธี บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสแห่งวิหารพิษต่างตะลึงตาค้าง
“ปะ…ปรมาจารย์พิษอาวุโสสิบจั้ง!!!” ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งกล่าวอย่างตกใจ
มุมปากบุรุษผู้นั้นยกขึ้น ปลดเสื้อคลุมโยนออกไป ลมปราณอันทรงพลังพวยพุ่งครอบคลุมทั่วผืนฟ้า
สีหน้าของปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งแปรเปลี่ยนไป “ปะ…ปรมาจารย์พิษเทพ!!!”
………………………