หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 357 ซิวหลัวดุนะ
เรือนชีสยาย่วน ชิงเหยียนกับเยว่โกวได้เก็บข้าวของทั้งหมดแล้ว ห่อสัมภาระของอาม่าก็มัดไว้ดีแล้ว
ชิงเหยียนมองออกไปดูด้านนอกเป็นครั้งคราว
อิ่งลิ่วเฝ้าประตูอย่างแน่นหนา เบิกตากว้างจ้องมองเขา
“ข้าไม่ออกไปไหนหรอก!” ชิงเหยียนพูด “ต่อให้ออกไปก็ไม่หนี”
อิ่งลิ่วโค้งมุมปาก “แล้วใครจะรู้?”
ชิงเหยียนจ้องมองเขา เด็กโง่ ด้วยกำลังวรยุทธ์เท่านี้ของเจ้าคิดว่าจะหยุดพวกเราสามคนได้หรือ?
เมื่อนึกบางอย่างได้ ชิงเหยียนก็กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องไปเก็บของหรือ?”
อิ่งลิ่วสอดเก็บมือและกล่าวอย่างได้ใจ “อิ่งสือซันจะช่วยข้าเก็บ เขาเก็บไวกว่าข้าและดีกว่าข้า”
เขามักลืมนั่นลืมนี่เวลาเก็บสัมภาระ อิ่งสือซันไม่มีปัญหานี้ เขาพิถีพิถันพอๆ กับคุณชาย สิ่งที่ควรนำมาก็ไม่น้อย สิ่งที่ไม่ควรนำมาก็ไม่มาก ทั้งสะอาดทั้งเรียบร้อย
ชิงเหยียนกล่าวอย่างขบขัน “ต่อไปอิ่งสือซันแต่งงานแล้ว ดูซิว่าผู้ใดจะเก็บของให้เจ้า?”
อิ่งลิ่วขมวดคิ้ว “ไยเขาต้องแต่งงานเล่า? ข้ายังไม่ได้แต่งเลย!”
ทันทีที่อิ่งสือซันเดินไปที่ประตู ก็ได้ยินวาจาค่อนแคะของอิ่งลิ่ว ขาที่ก้าวพลันหยุดชะงักสำลักพรวดออกมา
“เจ้ามาแล้วหรือ?” ชิงเหยียนพบกับเขา
อิ่งสือซันกล่าวว่า “คุณชายให้ข้ามาถามพวกเจ้าว่าเก็บของเป็นอย่างไรบ้าง”
“เก็บน่ะเก็บแล้ว…” ชิงเหยียนพูดอย่างลังเลและมองออกไปอีกครั้ง
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” อิ่งสือซันรับรู้ว่ามีคำพูดบางอย่างในคำพูดของเขา
ชิงเหยียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจียงไห่ไม่ได้กลับมา”
อิ่งลิ่วถาม “เขาคงไม่ได้ถูกจับไปหรอกกระมัง?”
ชิงเหยียนส่ายหัว “ไม่รู้ สองสามวันนี้หลบๆ ซ่อนๆ ราวกับว่ามีเรื่องในใจ ข้าว่าเขาไม่น่าจะออกไปกับอาหวั่น หรือจะพบกันกลางทาง ก็ไม่อาจรู้ได้”
อิ่งสือซันกล่าวว่า “ไม่มีเวลารอเขาแล้ว ทิ้งจดหมายไว้ให้เขาเถิด”
“ก็ได้” ชิงเหยียนหันกลับมาและหยิบพู่กันเขียนจดหมายทิ้งไว้ในห้องของเจียงไห่
จดหมายอีกสองฉบับถูกส่งไปยังบ้านในถนนซื่อสุ่ย
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เตรียมตัวขึ้นรถม้า ออกจากจวนเห้อเหลียนอย่างเงียบๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่กับอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
อาม่ากับชุยเฒ่าอยู่คันเดียวกัน มีเยว่โกวกับชิงเหยียนผลัดกันขับ
นอกจากนี้ยังมีรถม้าอีกคันหนึ่งที่ใช้ขนสัมภาระโดยมีอาเว่ยเป็นคนขับ
“หือ? อาเว่ยละ?” ชิงเหยียนถาม
ทั้งสามคนมองไปรอบๆ เมื่อครู่มั่วแต่สนใจเรื่องออกเดินทาง จนลืมไปว่าอาเว่ยไม่ได้ตามมา เด็กคนนั้นไม่ค่อยพูด ทั้งยังลึกลับซับซ้อน เขาหายไปก็ไม่มีใครสังเกต
ขณะที่เยว่โกวกำลังจะออกตามหาเขา อาเว่ยก็มาพร้อมกับถุงสัมภาระ
มุมปากทุกคนกระตุก มิใช่แค่กลับเผ่าหรอกหรือ? กระเป๋ามากมายถึงเพียงนี้ เกินจริงไปหน่อยหรือไม่? ทั้งยังมีไม้หาบหาม น้ำหนักมาก หากไม่รู้คงคิดว่าเจ้าใส่เด็กมาสองสามคน!
อาเว่ยวางไม้หาบบนรถม้า
“ให้ข้าขับเถอะ” ชิงเหยียนเดินเข้ามา อาเว่ยเด็กที่สุดในกลุ่ม ในวันธรรมดามักเอาแต่ใช้งานเขา ทว่าในโมงยามสำคัญเช่นนี้กลับรู้จักรักใคร่ห่วงใยเขา
ไหนเลยจะรู้ว่าอาเว่ยหย่อนก้นนั่งบนเบาะรถม้า กระชับบังเหียนและกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ไม่ต้องหรอก ข้าขับเอง!”
“เอ้อ เจ้าเด็กนี่ ไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ” ชิงเหยียนโบกมือ เดินกลับไปที่รถม้าของตน พิงกำแพงรถหลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ล้อรถเริ่มออกหมุน ออกจากซอยที่เงียบสงบไปยังถนนใหญ่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ไม่นานก็ละทิ้งความวุ่นวายไว้ด้านหลัง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดกำลังรอพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะถอย
ปลายปีของหนานจ้าวไม่มีหิมะตก แต่ลมหนาวที่พัดมาตลอดทั้งคืนยังคงทำผู้คนหนาวสั่น
“คุณชาย” อิ่งสือซันมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ทนหนาวไม่ยอมปิดม่าน
เยี่ยนจิ่วเฉามองดูแสงไฟของบ้านเรือนในยามค่ำคืนพลางเอ่ยเบาๆ “ไม่รู้ว่าต่อไปจะยังมองเห็นอยู่หรือไม่”
หากมองเห็นอยู่ รอพบตัวพระชายาซื่อจื่อแล้ว พวกเราค่อยไปหายาถอนพิษกัน
…
แต่ว่ากันว่าหลังจากอวี๋หวั่นและซิวหลัวถูกบุรุษชุดดำจับตัวไป ก็ขึ้นรถม้าออกจากเมืองหลวงทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลบหนี ซิวหลัวถูกใส่โซ่ตรวนมือที่ใช้ยับยั้งกำลังภายใน ยังมีบุรุษชุดดำและทูตแห่งความมืดที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งสี่คนคอยจับตาดูตลอดทาง
แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาหลายวัน แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้เสวนากับอวี๋หวั่นมากนัก อวี๋หวั่นไม่รู้จักชื่อของพวกเขา ทราบเพียงว่าพวกเขาไปทางทิศตะวันตก และได้ออกจากชายแดนหนานจ้าวเมื่อสามวันก่อน
หลังออกจากหนานจ้าว พวกเขาก็เดินทางต่อไปทางทิศตะวันตก
อวี๋หวั่นเปิดม่านมองออกไปด้านนอก นี่กำลังเดินทางสู่ตะวันตกไปอัญเชิญพระคัมภีร์หรือเปล่า?
ซิวหลัวเตะเท้าด้วยความเบื่อหน่าย เล่นกับโซ่ตรวนบนเท้า
เป้าหมายของบุรุษชุดดำคือ ‘ตี้จีองค์โต’ เรื่องจับซิวหลัวที่หลบหนีไปกลับมาได้ บุรุษชุดดำไม่สนใจ แต่ไม่ว่าบุรุษชุดดำจะทิ้งซิวหลัวอย่างไร ซิวหลัวก็สามารถตามทันได้ในไม่ช้า
แม้ว่าพวกเขาจะจัดการกับซิวหลัวได้ แต่ฆ่าเขาไม่ตาย
ภายใต้ความสิ้นหวังไร้ทางเลือก บุรุษชุดดำทำได้เพียงยอมรับความจริงว่าต้องพาเขากลับเผ่าปีศาจไปด้วย
ป๊อกๆๆ!
อวี๋หวั่นใช้ข้อนิ้วเคาะกำแพงรถ
บุรุษชุดดำขี่ม้าเข้ามาถาม “มีอะไรอีก?”
อวี๋หวั่นเปิดม่านออก “ข้าหิว หาที่พักกินอะไรสักหน่อย”
บุรุษชุดดำพูดด้วยสีหน้ามืดหม่น “เจ้าเพิ่งจะกินไป”
อวี๋หวั่นกอดอก “แล้วอย่างไร? ก็ข้าหิวแล้ว”
บุรุษชุดดำพูดอย่างเย็นชา “ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้กิน เดินทางต่อไป”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “หากไม่ให้ข้ากิน ข้าก็ไม่ไป”
“ไยเจ้าไม่ไป?”
ทันทีที่สิ้นเสียงบุรุษชุดดำ ซิวหลัวก็ใช้เท้าทั้งสองข้างกระทืบรถม้าจนทะลุเยี่ยงอันธพาล!
ปากของบุรุษชุดดำกระตุกอย่างรุนแรง ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะอยากกำจัดชายผู้นี้หรือ? ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย ไล่ก็ไล่ไม่ไป ทั้งยังพังรถม้าของเขาไปอีกสิบเจ็ดสิบแปดคัน!
อวี๋หวั่นเผชิญกับสายตาเย็นชาของเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ข้า! หิว!”
บุรุษชุดดำกำหมัดแน่น
อวี๋หวั่นกล่าว “ประมุขสั่งให้พวกเจ้าพาข้ากลับไป แต่ไม่ได้บอกให้พวกเจ้าพาข้ากลับไปอย่างอดๆ อยากๆ ทำให้ข้าหิวจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกเจ้าคงยากจะอธิบายกระมัง?”
หน้าอ้วนบานเป็นจานเช่นนี้ เจ้าไปเอาความมั่นใจที่กล้าบอกว่า ‘หนังหุ้มกระดูก’ มาจากที่ใด? !
บุรุษชุดดำสูดหายใจระงับโทสะ “ข้างหน้ามีโรงน้ำชาอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะหาอะไรให้เจ้ากิน”
อวี๋หวั่นปิดม่าน!
หลังจากนั้นไม่นาน ม่านก็ถูกซิวหลัวเปิดออก
เขาทำตามอย่างอวี๋หวั่นและปิดม่านลงอีกครั้ง!
บุรุษชุดดำถูกสองคนนี้ทำให้โกรธจนไฟตับลุกโชน รีบควบม้าไปโรงน้ำชาด้วยสีหน้าเย็นชา
อวี๋หวั่นหมายจะถามจากผู้คนว่าที่นี่คือเขตแดนใด ทว่าโรงน้ำชามีผู้คนไม่มากนัก ทั้งยังถูกบุรุษชุดดำขับออกไป อวี๋หวั่นกลอกตาครั้งใหญ่ให้เขา ก่อนจะหาที่ที่ร่มรื่นที่สุดนั่ง
หลังจากมาทางตะวันตก อุณหภูมิคล้ายกับลดลงเล็กน้อย แต่สองสามวันนี้อวี๋หวั่นหาใช่กลัวความหนาว
ซิวหลัวนั่งข้างอวี๋หวั่นอย่างเชื่อฟัง
เจ้าของโรงน้ำชานำหลงเปาสองลูก ขนมนึ่งที่ทำจากข้าวเหนียวสองจาน ปลาแห้งตัวใหญ่หนึ่งตัวและหัวไชเท้าดองผักดองอีกสองสามอย่างมาให้
“อยู่ที่นี่แล้วก็กินเถอะ” บุรุษชุดดำกล่าว
อวี๋หวั่นพูดอย่างจู้จี้ “ข้าไม่กินของพวกนี้”
“ที่นี่มีแค่นี้” บุรุษชุดดำกล่าว
“แต่ข้ากินไม่ลง” อวี๋หวั่นพูด
สายตาของบุรุษชุดดำส่องประกายเย็นชา “เจ้าบอกว่าหิวมิใช่หรือ?”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วและพูดว่า “ข้าบอกว่าหิว แต่ข้าไม่ได้บอกว่าหิวแล้วไม่เลือกกินสักหน่อย ของพวกนี้ข้าไม่ชอบกิน พวกเจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ”
“เช่นนั้นก็ออกเดินทาง!” บุรุษชุดดำกล่าว
“ข้ายังไม่ได้กินเลย” อวี๋หวั่นพูด
บุรุษชุดดำกระทืบเท้าด้วยความโมโห “เจ้าต้องการอย่างไรกันแน่?!”
อวี๋หวั่นชี้ไปที่ภูเขาด้านหลังเธอ “ข้าอยากกินเนื้อกระต่าย เจ้าไปจับมาให้ข้าหน่อย”
ทูตแห่งความมืดทั้งสี่ถลึงตามองเธออย่างเหลืออด ตลอดทางเธอเอาแต่เปลี่ยนวิธีใช้ให้พวกเขาไปหาของกิน พวกเขารำคาญจะตายอยู่แล้ว! พวกเขาเป็นทูตแห่งความมืดผู้ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง ใช้ฆ่าคน ไม่ใช่ฆ่าไก่ฆ่ากระต่าย!
“ไปจับมา” บุรุษชุดดำกัดฟัน
“อย่ามองข้า นกเมื่อตอนเที่ยงข้าก็เป็นคนจับมา”
“อย่ามองข้าเช่นกัน เนื้องูเมื่อเช้าข้าเป็นคนฆ่า”
“นี่ๆๆ กลางดึกเป็นเป็ดย่างที่ข้าวิ่งไปหลายสิบหลี่เพื่อซื้อมันมานะ!”
ทูตแห่งความมืดคนที่สี่น้อยเนื้อต่ำใจ แต่เมื่อวานนี้ตอนกลางวัน หน่อไม้เขาก็ขุด ปลาเขาก็จับ ผักป่าเขาก็เก็บ!
คนที่สี่เดินจากไปอย่างเงียบงัน
ไม่นาน ก็จับกระต่ายอ้วนสองตัวโยนให้เจ้าของโรงน้ำชา และมอบเงินเล็กน้อยกับเขาเพื่อตุ๋นเนื้อกระต่าย
อวี๋หวั่นคีบกินสองตะเกียบก็ไม่กินแล้ว เนื้อกระต่ายจึงไปอยู่ในกระเพาะอาหารของซิวหลัวแทน
ทุกคนมองท่าทีที่ฟุ่มเฟือยของเธอ พลันกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
บุรุษชุดดำกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ข้าแนะนำว่าเจ้าควรกินอีกหน่อย ไม่นานข้างหน้าจะไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีร้านค้าและไม่มีป่าให้เราล่าสัตว์ หากเจ้าไม่กินให้อิ่ม เกรงว่าเจ้าต้องทนหิว”
“จะว่าไปก็ใช่” อวี๋หวั่นพยักหน้า เอ่ยพลางหันมองทูตแห่งความมืดทั้งสี่ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปจับกระต่ายนำไปด้วยอีกสักสองสามตัวแล้วกัน!”
ทูตแห่งความมืดที่อยากตายเสียให้พ้น “…”
กระต่ายถูกจับมาแล้ว คนทั้งกลุ่มออกเดินทางต่อไป
ช่วงนี้ไม่รู้ด้วยเหตุใดถึงอยากกินไปเสียทุกอย่าง แต่ก็กินได้ไม่มาก ทั้งวันเอาแต่เกียจคร้าน ทั้งยังงีบหลับอยู่บ่อยๆ สงสัยว่าจะถูกวางยาเสียแล้ว
…………………………