หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 370 เด็กน้อยทั้งสาม
อวี๋หวั่นถูกทูตแห่งความมืดจับตัวมานาน อาม่ากับพวกอาเว่ยเป็นใครเธอย่อมรู้ดี เพียงแต่เธอคิดมาตลอดว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายต่อเธอแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นพวกเขามีโอกาสหลายครั้ง คงจะทำสำเร็จไปนานแล้ว
อวี๋หวั่นไม่กล้าบอกว่าตนเองฉลาดหลักแหลม แต่ใครคิดดีหรือคิดร้ายต่อเธอ เธอล้วนมองออก
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกอาม่า เยี่ยนจิ่วเฉาคงไม่มีทางหาตัวยาพบ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือเหตุผล เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของพวกเขา
“เอ๋? เจ้าไม่ได้ตายไปแล้วหรอกหรือ?” ชุยเฒ่าเพิ่งสังเกตเห็นอาโต้วซึ่งหน้าบวมฉุ
อาโต้วแค่นเสียงขึ้นจมูก “ยอดฝีมืออย่างข้า จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร!”
อวี๋หวั่นมองไปยังอาโต้ว “อาโต้ว เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขาจะจับอาม่าไปไว้ที่ไหน?”
อาโต้วตอบว่า “จะเป็นที่ไหนไปได้ ก็วังหลวงน่ะสิ!”
อาโต้วพูดจบ คิ้วก็พลันขมวดเป็นปม เขาคิดว่าตนกำลังลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร
ชุยเฒ่าเหลือบมองเขา เหอะๆๆ เจ้าไม่ได้เป็นทูตแห่งแสงสว่างหรอกรึ? จะมาพาตัว ‘ฮูหยิน’ ของพวกเจ้าไปใช่
ไหมละ? แน่จริงก็จับไปสิ!
อาโต้วเกาศีรษะ เขาลืมอะไรไปนะ…
เผ่าปีศาจอยู่ท่ามกลางหมื่นหุบเขา วังหลวงตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งมีทิวทัศน์งดงาม เชิงเขามีการอารักขาที่แน่นหนา ตลอดทางมีค่ายกล การลอบเข้าไปในวังหลวงนั้นเห็นทีจะยากเย็นไม่ต่างกับการปีนขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ถ้าหากมีคนนำทางเข้าไป ก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อาม่า อาเว่ย ชิงเหยียน และเยว่โกวนั่งอยู่ในรถคุมขังนักโทษ สัมภาระของพวกเขาถูกแยกไว้ในรถอีกคันหนึ่ง หัวหน้าของผู้ที่จับพวกเขาในครั้งนี้คือชางอิง องครักษ์คนสนิทของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ
ชางอิงกับชิงเหยียนและเยว่โกวเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พวกเขาล้วนเคยเป็นองครักษ์ของท่านอ๋อง แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ วรยุทธ์ของชางอิงนั้นสูงกว่าพวกเขามาก เขาจึงได้เป็นองครักษ์ประจำตัวของท่านอ๋อง ขณะที่ชิงเหยียนและเยว่โกวถูกอาม่าเลือกไป และกลายเป็นทูตแห่งแสงสว่างซึ่งถูกส่งออกตามหาฮูหยิน
ชางอิงปฏิบัติหน้าที่มานานสามปี ได้รับคำชี้แนะจากอ๋องแห่งเผ่าปีศาจและเหล่าผู้พิทักษ์ ทำให้ฝีมือของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จวบจนวันนี้ วรยุทธ์ของเขาไม่เป็นรองซิวหลัว
เมื่อเทียบกันแล้ว วรยุทธ์ของชิงเหยียนและเยว่โกวไม่นับว่าเก่งกาจ แต่หากกล่าวถึงความรู้และประสบการณ์ ทั้งสองย่อมเหนือกว่าชางอิง อย่างไรเสียพวกเขาก็เดินทางขึ้นเหนือลงใต้ ไปมาแล้วทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นต้าโจว หนานจ้าว จวนคุณชาย จวนเห้อเหลียน ไม่มีที่ใดที่พวกเขาไม่เคยไป
แต่ประสบการณ์ใช้ประโยชน์อะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้?
ในตอนนี้ชางอิงคือผู้ที่เดินอยู่ด้านนอกอย่างผึ่งผาย แต่พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในรถอย่างน่าเวทนา
ชิงเหยียนทอดถอนใจ “เฮ้อ ล้วนแต่เป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น แม้จะไม่ต้อนรับพวกข้า แต่อย่างน้อยก็ให้พวกข้านั่งรถม้าปกติเถอะ อีกประเดี๋ยวคนในเผ่าเห็นสภาพพวกข้าเช่นนี้ จะไม่ขายหน้าแย่หรือ?”
ชางอิงไม่สนใจชิงเหยียน เขาเดินต่อไปด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ชิงเหยียนยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างจนปัญญา เขามองไปยังอาม่าซึ่งกำลังหลับตาทำสมาธิ แล้วมองไปยังชิงเหยียนและอาเว่ยซึ่งคิ้วขมวดเป็นปม จากนั้นก็กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ชาง พี่ใหญ่อิง? ขอดื่มน้ำสักคำได้หรือไม่?”
ชางอิงชักกระบี่ออกมา ปราณกระบี่เย็นยะเยือกตวัดผ่าน เส้นผมของชิงเหยียนขาดสะบั้นในทันใด ทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก และไม่กล้าพูดอะไรอีก
ขณะที่ใกล้เดินทางถึงวังหลวง รถคุมขังนักโทษก็ถูกคนคลุมด้วยผ้าสีดำ และเมื่อล้อรถหยุดลง ผ้าสีดำก็ถูกดึงออก
ในตอนนั้นพวกเขาอยู่ท่ามกลางหุบเขาลึก แสงแดดรำไร เงามืดปกคลุม
ชางอิงกำลังนำความไปกราบทูลท่านอ๋อง
รถคุมขังนักโทษถูกจอดทิ้งไว้ในลานกว้างอย่างโดดเดี่ยว ก่อนหน้านี้มีองครักษ์คอยเฝ้า ภายหลังแม้แต่องครักษ์ก็ขี้คร้านจะเฝ้าพวกเขาแล้ว
เหตุผลย่อมมิใช่อื่นใด กรงเหล็กของรถคันนี้ทำจากเหล็กกล้าหมื่นปี พวกเขาถูกขังไว้ด้านใน ย่อมยากที่จะหลบหนี จึงไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้า
ชิงเหยียนนั่งพิงรถ เงยหน้าทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าสีครามหม่น เขาถอนหายใจออกมายาวๆ “อาม่า ท่านว่าพวกเราจะตายไหม?”
คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว พวกเขาทรยศท่านอ๋อง บัดนี้ไร้ซึ่งทางรอด สิ่งที่แตกต่างกันก็คือพวกเขาจะตายอย่างสงบ หรือว่าจะตายอย่างทรมาน
“อาม่า ท่านว่าท่านอ๋องจะทำอย่างไรกับพวกเรา”
ชิงเหยียนเติบใหญ่มาจนบัดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านอ๋อง ไม่ต้องหวังเลยว่าจะเดาใจเขาได้ ใบบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน มีเพียงนักบวชเท่านั้นที่ได้รับการต้อนรับจากท่านอ๋อง เรียกได้ว่าในเผ่าปีศาจ ไม่มีผู้ใดเข้าใจท่านอ๋องได้ดีไปกว่านักบวชอีกแล้ว
แต่กระนั้นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจก็เป็นคนลึกลับ เอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้แต่อาม่าเองก็เดาไม่ออกว่าเขาจะทำอะไร
ชิงเหยียนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ย่างสด?
แล่เนื้อเถือหนัง?
จะน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
อาม่าตอบว่า “ท่านอ๋องไม่ชอบการตัดเอว บอกว่าหั่นแค่สองท่อน ดิ้นได้ไม่นานก็สิ้นใจแล้ว ไม่สนุก”
ดิ้นได้ไม่นาน?
ในสมองของชิงเหยียนปรากฏภาพของตนเองถูกสับกลางเอวเป็นสองท่อน หลังจากนั้นท่อนล่างของเขาก็กำลังดิ้นด้วยความทรมาน เขาพยายามกดหน้าอกเพื่อไม่ให้อาเจียนออกมา
“คะ…คำบอกเล่าเป็นเรื่องจริงหรือนี่?”
ท่านอ๋องโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นจริงหรือ?
ชิงเหยียนอยากจะเป็นลม
อาม่าลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเหลือบไปมองเขา “คำบอกเล่ารึ? เหอะ”
อันที่จริงท่านอ๋องไม่ได้เกิดมาเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนั้น อาม่ามองดูเขาเติบโตมาโดยตลอด วัยเด็กของเขาเป็นเพียงคุณชายผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ น่าเสียดายที่เขาไม่ฟังคำทัดทาน ดื้อดึงจะไปฝึกวรยุทธ์ของเขตหวงห้าม หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กู่ไม่กลับอีกต่อไป
แม้ว่าอาม่าจะไม่เชี่ยวชาญวิชาฝ่ายบู๊ แต่เขาก็กระจ่างดีว่าวิชามารที่ท่านอ๋องฝึกคืออะไร เพียงแต่นั่นนับว่าร้ายแรงและหนักหนาเสียยิ่งกว่าซิวหลัวซึ่งธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าหากต้องการดึงตัวตนเดิมของเขากลับมา เกรงว่าคงทำได้เพียงทำลายล้างวรยุทธ์ของเขาเสีย แต่มีหรือท่านอ๋องจะยอม?
วิชามารที่เขาฝึกฝนมาเป็นเวลานานไม่เพียงเปลี่ยนนิสัยของเขา แต่ยังเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาด้วย บัดนี้
ใบหน้าของเขาแลดูเบี้ยวบูดไม่เป็นมนุษย์ จนต้องสวมหน้ากากเอาไว้
ผู้ที่รู้ความลับนี้นั้นมีไม่มาก อาม่านับว่าเป็นหนึ่งในนั้น
แต่อีกไม่นานอาม่าก็คงไม่ถูกนับรวมอีกต่อไป เพราะเขากำลังจะถูกท่านอ๋องสั่งประหาร
“เมื่อครู่…ได้ยินเสียงของซิวหลัว ซิวหลัวอยู่กับอาหวั่น เยี่ยนจิ่วเฉาคงจะไปรับอาหวั่นแล้วสินะ? เจ้าเด็กโง่นั่นคงไม่คิดจะเอาตัวเองมาแลกกับพวกเราหรอกใช่ไหม?”
พูดมาถึงตรงนี้ ชิงเหยียนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะบอกนางว่าอย่าเสียแรงเปล่าเลย ต่อให้นางมาก็ไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องไม่ปล่อยพวกเขาไป มิหนำซ้ำนางเองก็จะติดกับเข้ามาด้วย
“นี่ พวกเจ้าสองคนเป็นอะไร?” ชิงเหยียนพูดกับอาม่าอยู่นานสองนาน แต่เยว่โกวกับอาเว่ยกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สายตาของทั้งสองจับจ้องไปยังรถคุมขังนักโทษอีกคันหนึ่งราวกับในนั้นมีสมบัติล้ำค่าก็มิปาน
เยว่โกวก้มหน้าด้วยความเจ็บใจ
เขาก็เพิ่งรู้ความลับที่อยู่ในสัมภาระตอนที่ข้ามหน้าผามานี่แหละ!
เขาข้ามมาพร้อมกับอาเว่ย อาเว่ยแยกสัมภาระไว้ข้างกาย ศีรษะน้อยๆ ของเด็กๆ จึงโผล่ออกมา ทำเอาเขาตกใจแทบแย่!
ชิงเหยียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเยว่โกวได้อย่างฉับไว เขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วถามว่า “นี่ พวกเจ้าสองคนมีเรื่องปิดบังพวกข้าอยู่ใช่ไหม?”
ขณะที่เยว่โกวกำลังจะทนไม่ไหวและบอกความลับออกมานั้นเอง ร่างสูงโปร่งก็เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
“ศิษย์พี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ชิงเหยียนหันหน้าไปทันใด อีกฝ่ายเป็นบุรุษอายุอานามใกล้เคียงกับอาม่า รูปร่างสูงใหญ่กว่าอาม่า เขาสวมชุดของนักบวช สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสำราญใจ
ชิงเหยียนรู้จักเขา เขาคือฉิวอู๋หยา ศิษย์น้องของอาม่า
ชิงเหยียนไม่ค่อยชอบหน้าคนผู้นี้ เหตุผลประการแรกก็เพราะชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เขาเคยมีคดีใช้คนเป็นในการทดลองยา แต่เพราะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของอาม่า ผู้อาวุโสในเผ่าจึงไว้ชีวิตเขา ประการที่สองก็คือเขามีความขัดแย้งส่วนตัวกับอาม่า
สรุปแล้วชิงเหยียนไม่ชอบเขา
เมื่อเห็นว่าเขาสวมชุดของนักบวช คิ้วของชิงเหยียนก็ขมวดเข้าหากันเป็นปม “ใครให้เจ้าสวมชุดของอาม่า”
“พวกเจ้าก็เห็นแล้วนี่” ฉิวอู๋หยาผายมือสองข้างยักไหล่พลางหัวเราะ “เขาไม่ใช่นักบวชอีกต่อไป ข้าที่เป็นนักบวช พวกเจ้าต้องเปลี่ยนมาเรียกข้าว่าอาม่าแทนแล้ว”
‘อาม่า’ เป็นคำเรียกแสดงความเคารพในเผ่าปีศาจ แต่มีเพียงคนสนิทมากๆ เท่านั้นที่จะเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ได้
ชิงเหยียนมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “อย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
ฉิวอู๋หยามิได้ตอบโต้ชิงเหยียนในทันใด เขาเดินมาตรงหน้าอาม่า หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “ครั้งก่อนที่พบศิษย์พี่ ศิษย์พี่ยังจะไล่ข้าออกไปจากเผ่าอยู่เลย ไม่คิดว่าเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง กลับเป็นศิษย์พี่ที่ต้องมานั่งอยู่ในรถคุมขังนักโทษ เห็นแก่ที่ศิษย์พี่คอยดูแลข้ามาเป็นอย่างดี ประเดี๋ยวข้าจะขอร้องท่านอ๋องแทนศิษย์พี่ แต่สำหรับเจ้าเด็กพวกนี้ เกรงว่าข้าคงจนปัญญา”
อาม่ามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉิวอู๋หยาหัวเราะเย้ยหยัน “ศิษย์พี่อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ข้าไม่อยากให้ท่านทรยศเผ่าปีศาจ ข้าบอกท่านไว้แต่แรกแล้วว่าวันหนึ่งข้าจะทำให้ท่านมองข้าด้วยสายตาชื่นชม”
สายตาของอาม่านั้นเย็นเยียบ “เจ้าทำอะไร เหตุใดท่านอ๋องถึงให้เจ้าเป็นนักบวช”
ฉิวอู๋หยายกยิ้มมุมปาก “ก็เพราะข้ารักษาใบหน้าของท่านอ๋องให้หายดีน่ะสิ ข้าทำให้ท่านอ๋องออกมาสู้หน้าผู้คนในใต้หล้าได้อย่างสง่าผ่าเผย”
อาม่าส่ายหน้า “ใบหน้าของท่านอ๋องไร้หนทางรักษา นอกเสียจากว่า…”
ฉิวอู๋หยาพูดตัดบทขึ้นว่า “นอกเสียจากว่าวรยุทธ์สลาย? ศิษย์พี่ นั่นเป็นเพราะท่านไร้ความสามารถ แต่ข้ามีวิธี”
พูดจบ เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ใบหูของอาม่า และใช้เสียงระดับที่พวกเขาได้ยินกันเพียงสองคนพูดว่า “ใช้หัวใจของคนเป็น ใช้เลือดของหนุ่มสาวบริสุทธิ์เจ็ดคู่ ทารกในครรภ์อายุสี่สิบเก้าวัน…ศิษย์พี่อยากฟังต่อไหมเล่า?”
อาม่ามองหน้าเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ สายตาปราศจากโทสะซึ่งถูกกระตุ้นแม้แต่น้อย
นั่นทำให้ฉิวอู๋หยาผิดหวังอยู่บ้าง “เมื่อสามปีก่อนข้าพูดกับศิษย์พี่เช่นนี้ ศิษย์พี่แทบอยากจะฆ่าข้า ไฉนวันนี้ท่านถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเสียแล้วเล่า?”
อาม่าหลับตาลง มิได้สนใจเขาอีก
ฉิวอู๋หยาหัวเราะอย่างเย็นชา “เช่นนั้นข้าก็ใคร่อยากบอกท่านสักเรื่องหนึ่ง ฮูหยินกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปวังหลวง ตอนนี้ข้าวางกับดักไว้หมดแล้ว ผู้ที่ศิษย์พี่ไม่มีปัญญาจับ ข้าจะช่วยจับแทนให้! ข้าจะแสดงให้ท่านอ๋องเห็นเป็นประจักษ์ และข้าก็จะกลายเป็นนักบวชที่ได้รับความไว้วางใจที่สุด!”
“เจ้ามันโฉดชั่ว!” ชิงเหยียนพุ่งเข้าชนแผ่นไม้ในรถคุมขังนักโทษ
ฉิวอู๋หยาถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว จ้องมองชิงเหยียนแล้วหัวเราะเย้นหยัน “เรียกคนมา!”
องครักษ์สองคนเดินเข้ามา ยกมือขึ้นประสานคำนับ “ท่านนักบวชฉิว!”
ฉิวอู๋หยาออกคำสั่งว่า “เฝ้าพวกเขาไว้ให้ดี ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ”
“เรื่องนั้น…” องครักษ์มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าชางสั่งไว้ว่าให้พวกข้าดูแลให้ดี อย่าให้เกิดปัญหา บุรุษเหล่านี้คงไม่เป็นไร แต่ท่านนักบวช…”
ฉิวอู๋หยากล่าวแดกดันว่า “คำพูดของข้าไร้ความหมายหรือ? ปล่อยให้เขาหิวสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้เกิดเรื่อง ข้าก็จะออกรับแทนพวกเจ้าเอง”
องครักษ์กล่าวว่า “ในเมื่อท่านนักบวชฉิวกล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามอย่างเคร่งครัดขอรับ”
ฉิวอู๋หยาหัวเราะเย็นชาแล้วเดินจากไป
ชิวเหยียนโมโหสุดขีด “เจ้าลูกเต่าเอ๊ย!”
เยว่โกวมองไปยังอาม่าซึ่งริมฝีปากแห้งผาก จึงลูบไปยังเอวของตน และนึกได้ว่ากระเป๋าใส่น้ำของเขาถูกยึดไปแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร” อาม่าหลับตาลง
ย่างเข้ากลางดึก ฉิวอู๋หยาให้คนนำอาหารและสุราชั้นดีมาส่งให้องครักษ์ เนื้อและสุราส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ทำเอาชิงเหยียนท้องร้องโครกคราก
ซู้ดดดด
เด็กน้อยทั้งสามน้ำลายสอ
ขณะที่ชิงเหยียนและคนอื่นๆ กำลังหิวโหย บนรถคุมขังนักโทษอีกคันหนึ่งก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
ชิงเหยียนหันหน้าเข้าหากองสัมภาระพอดี เขาคิดว่าตนเองตาฝาดไป จึงขยี้ตาแล้วพยายามมองอีกครั้ง ทันใดนั้นก็เห็นว่าผ้าถูกเลิกขึ้นจากด้านใน ศีรษะน้อยๆ ของพวกเขาโผล่ออกมา
มารดามันเถอะ!
ศีรษะกลมค่อยๆ โผล่ออกมา!
ซู้ดดด ซู้ดดดด
หิวเหลือเกิน!
ชิงเหยียนอ้าปากค้าง เขาตกใจจนพูดไม่ออก เขาสะกิดแขนเสื้อของอาม่า
อาม่ากลืนน้ำลาย “ข้าไม่หิว”
ข้าไม่ได้ถามว่าท่านหิวไหม! ทะ…ท่านดูนั่น!
เด็กน้อยทั้งสามปีนออกมาจากกองสัมภาระ ร่างจ้ำม่ำของพวกเขาเอียงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลอดออกมาจากช่องว่างของรถคุมขังนักโทษ
เห็นได้ชัดว่าตัวอ้วนจ้ำม่ำ แต่กลับลอดออกมาได้อย่างง่ายดาย
เด็กทั้งสามเดินเตาะแตะเข้าไปด้านหลังขององครักษ์
องครักษ์หยิบเนื้อชิ้นสุดท้ายใส่ปาก
ทั้งสามขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง
องครักษ์กินไม่อิ่ม คนหนึ่งลูบท้อง บอกองครักษ์อีกคนหนึ่งว่าจะไปยกอาหารมาอีก จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องครัว
เด็กน้อยเดินเตาะแตะเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง
“อะ…อาม่า!” ในที่สุดชิงเหยียนก็พูดออกมา “ท่านดูตรงนั้น!”
อาม่ามองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ “อะไร”
ชิงเหยียนตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง
เด็กๆ ละ?
หายไปไหนแล้ว?
เด็กๆ หายไปไหน?!!
………………………………