หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 371 เด็กๆ และอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ
หลังจากที่เด็กทั้งสามเดินตามองครักษ์ออกไปตามระเบียงทางเดิน ไปจนถึงห้องครัวเล็ก เรือนฝั่งตะวันออกเป็นที่พำนักของนักบวช เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าเฝ้าอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ
เมื่อก่อนนักบวชจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ ทว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฉิวอู๋หยานั้นทำให้อ๋องแห่งเผ่าปีศาจพึงพอใจเป็นอย่างมาก
องครักษ์กินไม่อิ่ม จึงเดินตรงไปยังห้องครัว ในสมองของเขายังคงหวนนึกถึงรสชาติของเนื้อย่าง จึงมิได้สนใจแม้แต่น้อยว่าด้านหลังมีคนติดสอยห้อยตามมา
เผ่าปีศาจนับว่าเป็นเผ่าที่ลึกลับเผ่าหนึ่ง คนในเผ่านั้นมีน้อย การอารักขาวังหลวงนั้นแน่นหนาน้อยกว่าวังหลวงของต้าโจวและหนานจ้าวมาก กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าคนนอกจะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปได้ อันที่จริงพวกเขาใช้ยอดฝีมือเพียงไม่กี่คน ก็สามารถเอาชนะกองทัพที่มีทหารม้าเรือนหมื่นได้แล้ว เพียงแต่ปล่อยเด็กน้อยทั้งสามที่เดินเข้ามาในระเบียงทางเดิน นี่ก็นับว่าหละหลวมไปสักหน่อย
เด็กน้อยทั้งสามเดินตามองครักษ์ไปเรื่อยๆ อย่างสง่าผ่าเผย สองมือแนบลำตัว ยกเหยียดตรง คางเชิดขึ้นสูง
เคร้ง!
กุญแจหล่นจากเอวขององครักษ์ ขณะที่เขาก้มลงเก็บ สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาสามเส้นบนพื้น เขาขมวดคิ้ว แล้วหันหลังกลับไป
เด็กทั้งสามได้หยุดชะงักและทำท่าทางตั้งแต่ก่อนที่เขาจะหันมาแล้ว
ต้าเป่าทำท่ากรงเล็บมังกรฟ้า เอ้อร์เป่าทำท่านกกระเรียนสยายปีก และเสี่ยวเป่าทำท่าวานรลักลูกท้อ!
องครักษ์เกาศีรษะด้วยความฉงนใจ เอ๋…พระพุทธรูปสีดำมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อครู่เดินผ่านมาไม่ได้สังเกต!
สีดำมิดหมี
เด็กปกติผิวไม่ดำอย่างนี้หรอก
องครักษ์หิวข้าวจนไม่อยากเสียเวลาไปกับพระพุทธรูปเหล่านี้ และก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพระพุทธรูปขี้ผึ้งเหล่านี้จึงให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมาในทันใด!
ต้าเป่าทำท่าวานรลักลูกท้อ เสี่ยวเป่าทำท่านกกระเรียนสยายปีก และเอ้อร์เป่าทำท่ากรงเล็บมังกรฟ้า
แต่ก็มิได้มีสิ่งใดผิดปกติ หน้าตาเหมือนกันอยู่ดี
องครักษ์เกาศีรษะอีกครั้ง แล้วเดินไปต่อสองสามก้าว จากนั้นก็หันหลังหลับมา!
พระพุทธรูปดวงตาไม่กะพริบแม้แต่น้อย
องครักษ์ตัดสินใจไม่คิดมาก แม้ว่าเขาจะคิดว่าการนำพระพุทธรูปมาตั้งเอาไว้ตรงนี้ออกจะแปลกไปสักหน่อย กระนั้นที่นี่ก็เป็นสถานที่พำนักของนักบวช หากนักบวชคิดจะตั้งพระพุทธรูปขี้ผึ้งไว้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
องครักษ์เดินเข้าไปในห้องครัว
พ่อครัวกำลังบอกกับลูกศิษย์ว่า “ดูให้ดี นี่คือสำรับของท่านนักบวช ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด ทั้งข้าทั้งเจ้าไม่รอดแน่!”
“นักบวชฉิวเอาใจยากจริงๆ เลย” ลูกศิษย์บ่นพึมพำ
พ่อครัวเขกศีรษะของลูกศิษย์ “เจ้าเด็กไม่รู้ความ! อย่าเที่ยวไปพูดพล่อยๆ เชียว ระวังจะถูกจับไปโยนให้สัตว์กิน!”
ลูกศิษย์คนนี้เป็นหลานชายของพ่อครัว เขาจึงใจกล้ากว่าคนทั่วไป “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย ท่านนักบวชคนก่อนยังไม่เรื่องมากขนาดนี้ พวกเราทำอะไรเขาก็กินได้ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในวังหลวงตลอดเวลาด้วย”
พ่อครัวถลึงตาใส่หลานชาย พร้อมกับกล่าวว่า “เขาเป็นนักบวชคนใหม่ ท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเขามากจนยินดีให้เขาพำนักอยู่ในวังหลวงคอยรับใช้ ถ้าเจ้าไม่อยากถูกไล่ตะเพิดออกไปจากที่นี่ละก็รีบตั้งใจทำงานเสีย!”
ทว่าสถานการณ์นั้นบีบบังคับ ต่อให้ในใจของลูกศิษย์จะก่นด่านักบวชคนนี้มากเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าเมินเฉย ทำได้เพียงเดินไปล้างผักและหั่นผักอย่างว่าง่าย
องครักษ์เข้ามาขอเนื้อย่างชามใหญ่จากพ่อครัวอีกสองชาม จากนั้นก็เดินออกไป
ในห้องครัวไม่มีเครื่องเทศแล้ว พ่อครัวจึงเดินไปหยิบเครื่องเทศในห้องเก็บเสบียง จากนั้นก็เดินไปยังบ่อน้ำเพื่อตักปลาจี้ตัวอวบอ้วนมาจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่เขาออกไป เด็กทั้งสามก็เดินเตาะแตะเข้าไปในห้องครัว พวกเขาเขย่งปลายเท้า คว้าไก่ตุ๋นบนโต๊ะ ต้าเป่าฉีกน่องไก่ให้น้องชายทั้งสอง ส่วนตนเองก็กินปีกไก่ กินพร้อมกับน้องชายอย่างเอร็ดอร่อย
เนื้อไก่ตุ๋นจนรสชาติเข้าเนื้อ เนื้อสัมผัสนุ่ม เพียงขยับเนื้อก็หลุดออกจากกระดูกแล้ว
พวกเขากินเนื้อไก่ตุ๋นไปหนึ่งตัว จากนั้นก็หยิบเนื้อสามชั้นต้มพะโล้มันเลื่อมอีกสามเส้น เมื่อกัดเข้าไป น้ำพะโล้ก็ชุ่มฉ่ำเต็มปาก
ทั้งสามคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ขาหมู เป็ดย่าง ห่านย่าง น่องกระต่าย…อาหารบนโต๊ะทั้งหมด ล้วนแต่ถูกเด็กทั้งสามจัดการจนหมดเกลี้ยง
เด็กทั้งสามลูบท้องกลมๆ พวกเขาเปิดกระเป๋า เพื่อเก็บอาหารกลับไปให้อาจารย์กิน
หลังจากเก็บอาหารใส่กระเป๋าจนเต็ม แม้แต่ใบผักก็ใส่ลงไปไม่ได้แล้ว เด็กทั้งสามจึงตัดสินใจออกมาจากห้องครัว
เมื่อพ่อครัวที่ไปหยิบเครื่องเทศและจับปลาเดินกลับมายังห้องครัว ก็พบว่าอาหารที่เตรียมไว้สำหรับฉิวอู๋หยานั้น
บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงกระดูกกองหนึ่ง เขาเดือดดาลในทันใด “ใคร?! เจ้าลูกกระต่าย[1]ที่ไหนมาขโมยกิน?!”
เหล่าลูกกระต่ายเดินอุ้ยอ้ายกลับไปหาอาจารย์
ระหว่างทางกลับพบกับองค์รักษ์ พวกเขาจึงหลบเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
ห้องนี้โอ่โถง มีกลิ่นหอมก่อนๆ ของยา กลิ่นนี้กำจายมาจากหม้อใบหนึ่ง เตาไฟนั้นมอดลงแล้ว เหลือเพียงความร้อนที่หลงเหลืออยู่ในยา
เด็กทั้งสามเดินไปด้วยความสงสัย
“นี่อะไรหรือ?” เอ้อร์เป่าถาม
“ลูกกวาด” เสี่ยวเป่าตอบ
ไม่ใช่ลูกกวาด ต้าเป่าคิด
เสี่ยวเป่ายื่นมือออกไปคว้ายานั้นมาเลียดู ยานี้มีรสขมจนแทบอาเจียนออกมา ตาลายแทบเป็นลม!
เสี่ยวเป่าโยนลูกกวาดกลับไปด้วยความรังเกียจ
ต้าเป่าถอนหายใจพลางส่ายหน้า เขาหยิบลูกกวาดที่น้องชายเลียขึ้นมา แล้วหยิบลูกกวาดที่อาจารย์อาเว่ยซื้อให้จากในกระเป๋า ใส่กลับลงไปหม้อแทน
ในตำหนักอันมืดสลัว ขั้นบันไดมีแสงรำไร เงาสีดำทะมึนปรากฏขึ้นราวกับเดินขึ้นมาจากขุมนรก ลมหายใจไร้สุ้มเสียง แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งกร้าว คนทั้งท้องพระโรงประหนึ่งถูกกดไว้จนแทบขาดอากาศหายใจ
ฉิวอู๋หยาคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ร่างสูงทว่าผ่ายผอมของเขานั้นอยู่กลางท้องพระโรงอันว่างเปล่า ราวกับเป็นมดที่น่าเวทนาตัวหนึ่ง
“ท่านอ๋อง”
เขาก้มหน้าคำนับ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา แต่กลับคุกเข่าหน้าผากจรดพื้นอยู่เช่นนั้น
บุรุษซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นมา
องครักษ์ซึ่งคอยอารักขาอยู่ด้านข้างจึงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นฉิวอู๋หยาจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างระ
แวดระวัง เขามิได้ลุกขึ้นยืน หากแต่ยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
“กราบทูลท่านอ๋อง คนทรยศเหล่านั้นถูกจับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้พวกเขาอยู่ที่เรือนของข้า พวกเขาหายไปสามปี ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี แต่กลับหลงลืมสถานะของตนเอง ครานี้พวกเขายังพาคนนอกกลับเผ่ามาอีก ช่างไร้เหตุผลเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ
ส่วนจุดประสงค์ของพวกเขา ข้าได้สืบจนกระจ่างแล้ว ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกพิษไป๋หลี่เซียง และต้องการตามหาตัวยาที่เผ่าปีศาจ”
ที่พูดเช่นนี้ก็เพื่อบอกท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ว่าที่พวกเขาเหล่านั้นได้พาฮูหยินกลับมา ไม่ใช่เพราะทำตามรับสั่งของอ๋อง หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
หากถามว่าฉิวอู๋หยาขึ้นมายืนบนตำแหน่งนักบวชได้อย่างไร ย่อมต้องขอบคุณราชครู ราชครูส่งคนมายังเผ่า
ปีศาจ เพื่อรายงานเบาะแสของอาม่าและคนอื่นๆ รวมไปถึงตี้จีองค์โต พวกเขาจึงรู้ว่าคนเหล่านี้ทรยศ
กอปรกับที่ฉิวอู๋หยาสามารถปรุงยารักษาใบหน้าของท่านอ๋องได้ เขาจึงแต่งตั้งให้ฉิวอู๋หยาเป็นนักบวช
ครั้งหนึ่งฉินอู๋หยาเคยใช้คนเป็นมาทดลองยาจนถูกอาม่าไล่ตะเพิด บัดนี้ยาของเขาประสบความสำเร็จ จึงถูกอ๋อง
แห่งเผ่าปีศาจรับตัวกลับมาด้วยตนเอง มาแทนตำแหน่งของอาม่า และกลายเป็นนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ
ที่กล่าวว่าช่วงเวลาอันเหมาะสมคือสิ่งนี้นี่เอง
บุรุษบนบัลลังก์ฟังสิ่งที่ฉิวอู๋หยาพูด เขามิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด เขาแลดูเย็นชาเฉกเช่นที่ผ่านมา
ฉิวอู๋หยารู้ดีว่าวรยุทธ์ของอ๋องผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าประมุของค์ใด แม้แต่ซิวหลัวเองก็อาจต้องสยบด้วยน้ำมือของเขา
แต่สิ่้งที่คนทั่วไปไม่รู้ก็คือ ความแข็งแกร่งนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย
รูปโฉมของเขาถูกทำลาย
ศิษย์พี่ไม่อาจรักษาเขาได้
แต่ฉิวอู๋หยาทำได้
ท่านอ๋องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจ ขณะที่ตนเองก็กลายเป็นนักบวชที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน
“ท่านอ๋อง…” ขณะที่ฉิวอู๋หยากำลังจะเอ่ยปากสร้างความดีความชอบให้ตนนั้นเอง บุรุษบนบัลลังก์ขยับนิ้วเบาๆ
การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้ฉิวอู๋หยารู้สึกประหนึ่งหัวใจของตนถูกบีบจนแทบระเบิด
ท่านอ๋องมิได้มีเจตนาจะทำร้ายเขา กระนั้นก็ไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้
ฉิวอู๋หยาเข้าใจความหมายของท่านอ๋อง จึงตอบไปด้วยความสัตย์จริงว่า “เมื่อครู่ทูตแห่งความมืดปะทะกับคนนอกเผ่ากลุ่มหนึ่งในป่า มีบางคนถูกจับได้ หลังจากสอบสวนพวกเขา พวกเขาเดินทางมาส่งฮูหยินกลับเผ่า บัดนี้ศิษย์พี่ของข้ากลับมาอยู่ในเงื้อมมือของท่านอ๋องแล้ว ข้าคิดว่าฮูหยินให้ความสำคัญกับพวกเขา ย่อมต้องมาช่วยพวกเขาเป็นแน่”
ความสามารถของฮูหยิน คนรุ่นหลังอาจไม่รู้ แต่เขากับศิษย์พี่นั้นกระจ่างดี
เขาเอ่ยขึ้นด้วยความแน่วแน่ว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าได้จัดการซุ่มโจมตีไว้แล้ว นางแพศยานั่นไม่มีทางหนีรอดอย่างแน่นอน!”
พูดมาถึงตรงนี้ ฉิวอู๋หยาก็สัมผัสได้ถึงพลังซึ่งกดทับร่างของตนอยู่ เขากระอักเลือดออกมา!
เหตุใดท่านอ๋องจึงทำกับเขาเช่นนี้? เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?
หลบหนีการแต่งงานกับท่านอ๋อง แล้วไปแต่งงานกับบุรุษอื่น ทั้งยังให้กำเนิดลูกมาอีก หากไม่เรียกว่าแพศยาแล้วจะเรียกว่าอะไร?
เขาใช้แรงทั้งหมด เปล่งเสียงพูดออกมา “ข้าน้อยผิดไปแล้ว…ท่านอ๋อง…ได้โปรดลงโทษ!”
บุรุษบนบัลลังก์ก็เอ่ยขึ้น เสียงนั้นเย็นเยียบจนทำให้รู้สึกพองสยองเกล้า “นางเป็นของข้า ข้าจะจัดการนางเอง”
………………………………………..
[1] ลูกกระต่าย เป็นคำบริภาษ หมายถึงเด็กเวร