หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 377 คนคลั่งรัก
นี่คงไม่ใช่ชื่อของท่านแม่หรอกใช่ไหม?
อวี๋หวั่นนึกปฏิเสธอยู่ในใจ ท่านแม่ผู้แสนอ่อนโยนของเธอ ทำไมถึงมีชื่อที่ฟังดูห้าวหาญอย่างนั้นละ?
“ท่านไม่ได้จำผิดใช่ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ข้าไม่ถึงกับจำไม่ได้หรอกนะ!”
เป็นเจียงป้าเทียนจริงด้วย…
อวี๋หวั่นปวดใจเหลือเกิน
แต่เมื่อลองมาคิดดูแล้ว เด็กที่เติบโตในชนบทก็มักจะมีชื่อแปลกๆ อย่างโก่วตั้น หนิวตั้น หรือเถี่ยตั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคภัยมาย่างกราย ท่านแม่เองก็คงไม่ต่างกัน นางจึงคิดชื่อเช่นนี้ขึ้นมา
อวี๋หวั่นไม่คิดจะซักไซ้ต่อ เจอเรื่องยุ่งยากมาทั้งวัน เธอง่วงนอนเหลือเกิน
อวี๋หวั่นหาววอด แล้วบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “นอนได้ไหม? ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าขอนอนสักงีบ น้ำร้อนต้มเสร็จแล้วค่อยเรียกข้า”
พูดจบ เธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
เด็กน้อยทั้งสามเห็นว่าท่านแม่หลับไปแล้ว พวกเขาจึงเลิกกระโดดโลดเต้นบนเตียง ทั้งสามเดินไปหาท่านพ่อ แล้วยื่นศีรษะน้อยๆ ซึ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อให้เขา เพื่อบอกว่า ‘ท่านพ่อเช็ดเหงื่อให้หน่อย’
ประจวบเหมาะกับในตอนนั้นเอง นางกำนัลทั้งสองเดินถือชุดแต่งงานเข้ามา ทันทีที่พวกเขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่านอ๋องผู้โดดเดี่ยวและเย็นชากำลังทำหน้าที่พ่อที่ดี ใช้ผ้าเช็ดศีรษะน้อยๆ ของเด็กสามคน ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
นางกำนัลต่างตกตะลึง พวกนางแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
มือของท่านอ๋องมีไว้สำหรับฆ่าคน มิได้มีไว้สำหรับดูแลผู้ใด
หลังจากที่เด็กทั้งสามเช็ดเหงื่อเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มท้องร้อง จึงปีนลงจากเตียงเพื่อไปหาของกิน
บนโต๊ะมีขนมและผลไม้จัดวางไว้เสร็จสรรพ เยี่ยนจิ่วเฉาจับพวกเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ ปอกและแกะกลีบส้มให้พวกเขา
เด็กทั้งสามกินของว่างกันอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร แต่นางกำนัลคิดว่าท่านอ๋องเปลี่ยนไปจากเดิม ตำหนักแห่งนี้ก็เช่นกัน เมื่อก่อนตำหนักแห่งนี้มืดมนเหลือเกิน ทว่าบัดนี้กลับแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เด็กสามคนนี้เป็นใคร พวกนางไม่กล้าถาม
เผ่าปีศาจวัดความสำคัญของผู้คนจากพลังและความสามารถ อ๋องแห่งเผ่าปีศาจมีพลังแข็งแกร่ง ทว่าข้อเสียก็คือเขานั้นโดดเดี่ยวมาตลอด ขณะที่ข้อดีย่อมเป็นประจักษ์อยู่แล้ว ก็คือไม่มีผู้ใดกล้าตั้งข้อกังขากับเขา
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังชุดแต่งงาน แล้วบอกว่า “นำเข้าไป”
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองเดินเข้าไปอย่างนบนอบ พวกนางคุกเข่าอยู่ข้างขาของเยี่ยนจิ่วเฉา พร้อมกับยกถาดขึ้นเหนือศีรษะ
นางกำนัลใบหน้ากลมชื่อว่าฟางเฟย ส่วนนางกำนัลใบหน้ารูปไข่ชื่อว่าฟางหรง
ฟางเฟยทำใจดีสู้เสือเอ่ยขึ้นว่า “เรียนท่านอ๋อง ชุดแต่งงานที่หาได้ล้วนอยู่ในนี้แล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเชิญ”
ชุดแต่งงานมิใช่เสื้อผ้าทั่วไปที่จะหยิบออกมาใส่เมื่อไรก็ได้ ชุดเหล่านี้เป็นชุดที่นำออกมาจากห้องเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ ซึ่งถูกลงกลอนมาเป็นเวลาสิบกว่าปี การแต่งงานของท่านอ๋องกับฮูหยินในครั้งก่อนมีชุดแต่งงานคุณภาพดีอยู่หลายชุด เดิมทีคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้หยิบออกมาอีกแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่า…
เยี่ยนจิ่วเฉาและอ๋องแห่งเผ่าปีศาจรูปร่างใกล้เคียงกัน เมื่อสวมชุดแต่งงานย่อมพอดีตัว อวี๋หวั่นอวบขึ้นเล็กน้อยหลังจากตั้งท้อง ชุุดแต่งงานของเธอจึงเล็กไปสักหน่อย ต้องนำไปปรับแก้เล็กน้อย
เรื่องเหล่านี้เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนจัดการทั้งหมด นางกำนัลทั้งสองไม่รู้ว่าท่านอ๋องคาดเดาขนาดชุดได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้พบกันนานนับสิบปี ทว่าดูคล้ายกับไม่พบกันเพียงข้ามคืน จึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฮูหยินเช่นนี้
ฟางเฟยและฟางหรงนำชุดแต่งงานของอวี๋หวั่นไปแก้เอวให้ใหญ่ขึ้น
ฟางเฟยบอกว่า “ประเดี๋ยวบ่าวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮูหยินนะเจ้าคะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง ข้าทำเอง พวกเจ้าออกไปได้”
ท่านอ๋องจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮูหยินเองเลยหรือ? ท่านอ๋องจะไปทำเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“มีอะไรอีก?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวขอตัว” เมื่อฟางเฟยพูดจบ ก็พาฟางหรงถอยออกไป
อวี๋หวั่นกำลังสะลึมสะลือ อยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับมีคนกำลังปลดเสื้อผ้าของตน เธอลืมตาขึ้นมอง ก็พบว่าเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่นจึงหลับตาลง และหลับต่อโดยไม่สนใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นว่าเธอไม่ต่อต้าน จึงแค่นเสียงขึ้นจมูก และเลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
อวี๋หวั่นง่วงนอนเหลือเกิน แม้แต่เมื่อถูกปลุกให้ตื่นไปคำนับฟ้าดิน ดวงตาของเธอก็ยังคงปิดอยู่
หลังจากคำนับฟ้าดินเสร็จแล้ว อวี๋หวั่นก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเข้าไปในห้อง
เด็กทั้งสามได้ถูกส่งไปยังห้องของอาเว่ยเป็นที่เรียบร้อย เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งมีความทรงจำของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจไม่รู้จักอาเว่ย กระนั้นก็จำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ของลูกๆ คืนวันแต่งงานเป็นคืนของคู่สามีภรรยา แม้ว่าจะรักลูกเพียงใด แต่คืนนี้จะก็ไม่อนุญาตให้พวกเขามาทำเสียเรื่องเป็นอันขาด
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งนอนหลับสนิท เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “แม่นาง เจ้าหนีไปสิบแปดปี บัดนี้ข้าจะเอาคืนทุกอย่างที่เจ้าติดค้างข้าไว้”
พูดจบ เขาก็วางอวี๋หวั่นลงบนเตียงนุ่ม
เธอเจอเรื่องวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน ปล่อยให้เธอนอนหลับสบายๆ ไม่ได้หรืออย่างไร?
เยี่ยนจิ่วเฉาใช้นิ้วเรียวสวยดุจหยกเลิกผ้าคลุมหน้าของอวี๋หวั่นขึ้นมา ใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นงามล่มเมือง
ผ่านมาหลายปี สตรีผู้นี้มิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
แต่เขากลับเปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปเป็นอ่อนเยาว์และหล่อเหลากว่าแต่ก่อน
เขานึกถึงความเป็นมาของสตรีคนนี้ เดิมทีนางไม่ได้แซ่เจียง นางแซ่หนานกง นางเป็นเด็กที่ราชวงศ์แห่งหนานจ้าวทอดทิ้ง เผ่าปีศาจเก็บนางมาเลี้ยงด้วยเหตุใด เขาก็ไม่กระจ่าง นางโตกว่าเขาหนึ่งปีเท่านั้น ผู้ที่รับนางมาเลี้ยงก็คืออ๋องแห่งเผ่าปีศาจคนก่อน ท่านพ่อของเขา
ก่อนหน้านี้นางถูกปล่อยไว้ในหมู่บ้านกันดารแห่งหนึ่ง ทว่านางทำให้ทุกหมู่บ้านที่นางย่างกรายเข้าไปต้องประสบพบเจอกับความวุ่นวาย ในตอนนั้นนางอายุไม่มาก ทว่ากลับย้ายหมู่บ้านมาแล้วกว่าสิบหมู่บ้าน สุดท้ายแล้วไม่มีหมู่บ้านใดรับนาง นางจึงจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวง
ในตอนนั้นเขาอายุแปดขวบ
เขาเห็นแม่นางคนหนึ่ง นางงดงามดังรูปสลัก สวมอาภรณ์สีขาว รวบผมขึ้นไว้เรียบร้อย ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้เขา ราวกับเป็นเซียนในภาพวาด
เขาเดินเข้าไปด้วยความตะลึงงัน ขณะที่กำลังจะบอกนางว่าตนเองคือนายน้อยแห่งเผ่าปีศาจ ก็ถูกหมัดของนางอัดติดพื้นเสียแล้ว…
หลังจากนั้น ฝันร้ายของเขาก็เริ่มต้นขึ้น
ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาพยายามจะไล่เด็กคนนี้ออกไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ากลับได้รับความรักความเอ็นดูจากท่านพ่อของเขามาก ท่านพ่อรักและเอ็นดูนางมากกว่าเขาเสียอีก แม้แต่วรยุทธ์ก็สอนให้นางทั้งหมด
ท่านพ่อไม่อนุญาตให้เขาฝึกวรยุทธ์ในเขตหวงห้าม แต่กลับพานางไปเลือกสถานที่ฝึกวรยุทธ์ได้ตามใจ
เขาไม่ยอมหรอก นางเป็นใครถึงจะเหยียบหัวเขาขึ้นไปได้?
การแต่งงานของเขานั้น ท่านพ่อเป็นคนตัดสินใจก่อนละล่วงลับไป ท่านพ่อตัดตัดสินใจทุกอย่างให้เขา ทว่านางเป็นถึงเชื้อพระวงศ์จากหนานจ้าว ท่านพ่อไม่อาจตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้นางได้ กระนั้นท่านพ่อก็ให้เขาสาบานว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องแต่งงานกับนางให้ได้
และนี่…ก็คือเงื่อนไขที่ทำให้เขาได้ขึ้นมานั่งบนบัลลังก์
เขานึกสงสัย จึงถามท่านพ่อว่านางมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ท่านพ่อไม่ยอมบอก เพียงแต่ให้เขาตกปากรับคำ มิเช่นนั้นท่านพ่อจะตายตาไม่หลับ
เขาจำเป็นต้องตอบตกลง เขาสู่ขอนางจากราชวงศ์แห่งหนานจ้าว ตี้จีแห่งหนานจ้าวนั้นสูงศักดิ์ นางเอ่ยปากขอสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากเขา เขานึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านพ่อ จึงจำต้องกัดฟัน ส่งมอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้กับหนานจ้าว
เขาทุ่มเทไปมากถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าในคืนวันแต่งงาน แม่นางผู้นี้กลับหนีไป!
หลายปีที่ผ่านมา เขาส่งยอดฝีมือของเผ่าจำนวนไม่น้อยออกไปตามหานาง ทว่ายอดฝีมือเหล่านั้นไม่กลับมาแม้แต่คนเดียว จนเขารู้สึกเหนื่อยใจเต็มที
หลังจากภาพความทรงจำฉายขึ้นในสมอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
โชคดีเหลือเกินที่ทุกอย่างจบลงแล้ว ในที่สุดสตรีผู้นี้ก็กลับมาอยู่ข้างกายของเขา
ปล่อยให้เจ้าลูกเต่าจากจงหยวนนั่นนอนตายไปเถอะ! หลังจากวันนี้ นางเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว!
อวี๋หวั่นหาววอด เธอทำตาปรือมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา สีหน้าประหลาดเช่นนี้ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก?
“ง่วงเหลือเกิน…” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าหนังตาของตนนั้นหนักอึ้ง
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าคลุมหน้าและคทาหยกไปวางด้านข้าง และยกสุราสำหรับดื่มในวันแต่งงานขึ้นมา จากนั้นก็ส่งให้อวี๋หวั่นหนึ่งถ้วย “ดื่มเสีย”
“ไม่ดื่ม” อวี๋หวั่นเบือนหน้าหนี เธอตั้งครรภ์อยู่ จะดื่มสุราได้อย่างไร
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “เจ้าไม่ดื่ม ข้าก็มีวิธีทำให้เจ้าดื่ม!”
อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ เห็นแก่ที่เขาสมองกระทบกระเทือน เธอจะไม่ถือสาก็แล้วกัน!
อวี๋หวั่นพยายามสู้กับความง่วง เธอยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “เรียนท่านอ๋อง ข้าไม่ชอบดื่มสุรา แล้วก็ดื่มไม่ได้ด้วย”
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว ไม่มีใครบอกสักหน่อยว่าสิ่งที่ดื่มจำเป็นต้องเป็นสุรา เขาจึงเทสุราทิ้ง แล้วใส่น้ำเปล่ามาแทน “ทีนี้ดื่มได้หรือยัง?”
อวี๋หวั่นแพ้ราบคาบ เธอจึงรับถ้วยที่เขาส่งให้มาดื่ม จากนั้นก็ถามว่า “ทีนี้นอนได้หรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตามองเธอด้วยความเคลือบแคลง เขาคว้ามืออวี๋หวั่นแล้วถามว่า “เจ้ารีบร้อนเช่นนี้ เพราะคิดจะวางยาจนข้าสลบไป จากนั้นก็หนีไปอีกใช่ไหม?”
“บอกให้นอนก็ไม่นอน!” อวี๋หวั่นสะบัดมือออก แล้วล้มตัวลงนอน ทว่าเธอหันหลังให้เขาแทน!
เยี่ยนจิ่วเฉายืดอก บรรยากาศโดยรอบแลดูตึงเครียด สายตาของเขาเย็นเยียบ เขาเปล่งเสียงลอดไรฟันด้วยความประชดประชันว่า “ทำเช่นนี้กับข้าหรือ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?! เชื่อข้าเถิด เจ้าคงไม่อยากรู้วิธีที่ข้าใช้ทรมานคนหรอก…”
อวี๋หวั่น “ดับตะเกียง!!!”
“…” เยี่ยนจิ่วเฉาดับตะเกียงอย่างว่าง่าย
…………………