หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 380 แก้แค้น
ปะ…เป็นไปได้อย่างไร?
ชายชู้เล่า?
ไปไหนแล้ว?!
พวกนางได้ยิน ‘สัญญาณลับ’ ขององครักษ์จึงรีบตามมา แผนในการจับชายชู้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทีนี้จะไปจัดการฮูหยินคนใหม่ได้อย่างไรเล่า?!
โอกาสที่ดีในการกำจัดฮูหยินคนใหม่กลับหายไปต่อหน้าต่อตา?!
ฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้มองหน้ากัน พวกนางมองเห็นความตื่นตะลึงในสายตาของกันและกัน ในขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์สองคนซึ่งสมรู้ร่วมคิดกับพวกนางล้วนแต่มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน
ทั้งสองมองไปยังฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ ฮูหยินทั้งสองส่ายหน้า เพื่อบอกว่าพวกนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็เห็นอยู่ว่าพวกนางติดสินบนองครักษ์ในวังหลวงไปแล้ว ให้องครักษ์จับบุรุษหนุ่มรูปงามซึ่งถูกตีจนสลบไปวางไว้ลงบนเตียงของฮูหยินคนใหม่ ไฉนพริบตาเดียวถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ไร้ความสามารถที่จะทำสำเร็จ แต่เปี่ยมไปด้วยความสามารถที่จะทำเสียเรื่อง!
ผู้พิทักษ์ทั้งสองสะบัดแขนเสื้ออย่างหมดความอดทน!
สองคนนี้เป็นบุตรสาวของน้องชายในสกุล มิได้ฉลาดเฉลียว หากแต่มีรูปร่างหน้าตางดงามโดดเด่น ครั้งนี้พวกนางวางแผนทำเรื่องผิดกฎของวังหลวง ทว่าข้อดีคือเรื่องนี้ชัดเจน ทำให้ควบคุมได้ง่าย ไม่เป็นที่สงสัยมากนัก แต่ไหนแต่ไรมาท่านอ๋องมิได้ให้ความสนใจสาวงามในวังหลวงมากนัก ต่อให้รู้ว่าเป็นฝีมือพวกนาง เขาก็คงคร้านจะจัดการ เพียงเพราะเห็นแก่ญาติฝั่งมารดา
ในสายตาของท่านอ๋อง สาวงามเหล่านี้ก็มิได้ต่างอะไรจากผลไม้สดในถาด ผลไม้บางชนิดก็ถูกปากเขา เขาจึงลองชิมดู แต่ถ้าหากผลไม้เหล่านี้ถูกโยนทิ้งไป เขาก็คงมิได้นำมาใส่ใจ
นี่คือเหตุผลที่นางทั้งสองสามารถทำตัวเป็นใหญ่และเหิมเกริมในวังหลวงได้โดยไม่ต้องใช้สมอง
เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องนั้นหละหลวมเกินไป
ทว่าในครั้งนี้ ผู้พิทักษ์ทั้งสองสามารถสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นเฉกเช่นเมื่อก่อน
เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องไม่เพียงมิได้ลงโทษสตรีที่หนีการแต่งงาน แต่ยังจัดงานแต่งงานขึ้นทันทีที่นางกลับมา ผู้พิทักษ์ทั้งสองไม่คิดว่าเป็นเพราะความโปรดปรานของท่านอ๋อง พวกเขารู้ดีว่าท่านอ๋องให้สัญญากับท่านอ๋ององค์ก่อนไว้ว่าจะแต่งงานกับนางแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับพวกเขาแล้ว ท่านอ๋องก็เพียงทำตามคำสั่งเสียของบิดา เขาจะไปโปรดปรานสตรีที่หักหลังตนได้อย่างไรกัน?
ทว่าเมื่อครู่ ทันทีที่ท่านอ๋องได้ยินว่ามีมือสังหารบุกเข้ามา เขาก็ทิ้งพวกเขาทั้งสองแล้วพรวดพราดออกไปทันที เขาดันฮูหยินลี่ซึ่งขวางทางออกไป แล้วจับลููกทั้งสามคนซึ่ง ‘ทำเสียเรื่อง’ ออกมา จากนั้นก็จับชีพจรให้ฮูหยิน
ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจเสแสร้งได้ ท่านอ๋องใส่ใจสตรีผู้นี้จริง!
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉามั่นใจแล้วว่าอวี๋หวั่นไม่ได้หมดสติไป เพียงแต่นอนหลับก็เท่านั้น สายตาเย็นเยียบของเขาจึงปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย เขามองไปยังเด็กทั้งสาม เด็กทั้งสามก็มองเขาด้วยสายตาบ้องแบ๊ว
พ่อลูกทั้งสี่ไม่มีใครพูดอะไร แต่เยี่ยนจิ่วเฉาก็มิใช่คนโง่งม
บังเอิญเสียจริง ผู้พิทักษ์ทั้งสองมาหาเขาในยามนี้ เรื่องที่ต้องการหารือก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ในขณะเดียวกันก็มีมือสังหารบุกตำหนัก ฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้มาถึงที่เกิดเหตุก่อนพวกเขา เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดของพวกนาง หากจะบอกว่าไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าเตียงสองสามก้าว ด้วยวรยุทธ์ของเขาแล้ว หากจะสัมผัสกลิ่นอายทั้งนอกและในตำหนักนั้นง่ายดายไม่ต่างกับการพลิกฝ่ามือ ใต้เตียงมีบุรุษซึ่งกำลังหลับไม่ได้สติหนึ่งคน และนอกระเบียงทางเดินมีลมหายใจซึ่งกำลังสับสนไม่เป็นจังหวะ
“ไปหาอาจารย์ของพวกเจ้าก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาบอกเด็กทั้งสาม
เด็กทั้งสามเดินเตาะแตะออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉาสะบัดแขนเสื้อ ปลดม่านคลุมเตียงลง ปล่อยให้อวี๋หวั่นหลับสบายอยู่ด้านหลังม่าน
เยี่ยนจิ่วเฉาย่างเท้าเข้าไปเบื้องหน้าฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้
ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามาใกล้ พวกนางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงจากรอบกายของเขา หัวใจก็เต้นระส่ำด้วยความกลัว
ผู้พิทักษ์ทั้งสองสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ท่านอ๋องเปลี่ยนไป เขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
ท่านอ๋องเขา…
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรมาบรรยายบุรุษตรงหน้า เยี่ยนจิ่วเฉาเดินมาหยุดห่างจากฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้สามก้าว มืองามดุจหยกยื่นออกไปทางหน้าต่าง นิ้วมือขยับเข้าหากัน พลังภายในของเขาก็พุ่งออกไปดึงดูดองครักษ์ในชุดเกราะคนหนึ่งเข้ามา
เขาบีบลำคอขององครักษ์คนนั้นแน่น
เท้าขององครักษ์ลอยขึ้นเหนือพื้น ร่างของเขาลอยขึ้นกลางอากาศในทันใด
ใบหน้าขององครักษ์เปลี่ยนเป็นสีม่วง
ทว่าใบหน้าของฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้กลับซีดเผือด
องครักษ์คนนี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้ที่นางติดสินบน!
เขาลอบเข้ามาในตำหนัก นำ ‘ชายชู้’ มาวางไว้ข้างฮูหยินคนใหม่ จากนั้นก็ร้องว่ามีมือสังหารบุก ทะ…ท่านอ๋องจับเขาได้แล้ว…
นั่นหมายความว่าอย่างไร ทั้งสองไม่กล้าคิดต่อ
ผู้พิทักษ์ทั้งสองมองดูสีหน้าของฮูหยินอวี้และฮูหยินลี่ ก็รู้ทันทีว่าองครักษ์ผู้นี้เป็นคนของพวกนาง พวกเขาเดาออกเพราะเขารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ ทว่าท่านอ๋องไม่รู้ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว แต่กลับจับตัวคนร้ายได้อย่างแม่นยำ
ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องมีเพียงวรยุทธ์สูงส่ง เขากลายเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ทนไม่อาจต้านทานจิตสังหารของเยี่ยนจิ่วเฉาได้ เข่าของพวกนางอ่อนยวบ คุกเข่าลงกับพื้นทันใด!
ผู้พิทักษ์ทั้งสองพยายามส่งสายตาให้พวกนาง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด!
องครักษ์เหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา ทั้งชีวิตและครอบครัวของเขาล้วนอยู่ในกำมือของพวกเขา อย่างไรก็ไม่กล้าพูดพล่อย!
องครักษ์มิได้พูดออกไป มิใช่ว่าเขาไม่อยากพูดหรือไม่กล้าพูด ทว่าเขาไม่มีโอกาสได้พูดเลยต่างหาก
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ถามอะไร เขาหักคอองครักษ์คนนั้นต่อหน้าฝูงชน
ผู้พิทักษ์ทั้งสองตกตะลึงจนยืนนิ่งไป ฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้แทบร่ำไห้ออกมา
ฮูหยินลี่พยายามแก้ต่างให้ตนเองด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม “ทะ…ท่านอ๋องฟังข้าก่อน…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นตัดบท เขามองลงไปที่นาง “เจ้ามีอะไร สำคัญหรือไม่?”
ฮูหยินลี่ชะงักในทันใด
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “เรียกคนมา”
องครักษ์กรูกันเข้ามาและยกมือขึ้นคำนับ “ท่านอ๋อง!”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ด้วยสายตาเย็นชา “ลากออกไปฆ่าเสีย”
บุปผางามทั้งสองหน้าถอดสี!
ทั้งสองอยากบอกว่าพวกนางไม่มีส่วนรู้เห็น มิได้เกี่ยวข้องกับองครักษ์ทั้งสอง พวกนางไม่ได้จัดฉากว่าฮูหยินคบชู้ อย่างไรเสียชายชู้ก็มิได้อยู่ที่นี่ ท่านอ๋องปราศจากหลักฐาน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของท่านอ๋อง พวกนางกลับพูดไม่ออก
สัญชาตญาณบอกพวกนางว่าถ้าหากพวกนางแก้ต่าง ผลที่ตามมาจะเอน็จอนาถว่านี้นับร้อยเท่า!
“ท่านอ๋อง! ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถิด!” ฮูหยินลี่พุ่งเข้ามาข้างขาเยี่ยนจิ่วเฉา ยื่นมือออกมาจับชายเสื้อของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตารังเกียจให้องครักษ์
องครักษ์จึงเข้ามาจับพวกนางไว้อย่างว่องไว
ฮูหยินลี่และน้องสาวใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในวังหลวงมาหลายปี บางเรื่องก็ทำลับหลัง บางเรื่องกลับทำอย่างเปิดเผย แต่ท่านอ๋องก็มิได้ถือสานางกับฮูหยินอวี้ ครั้งนี้สร้างเรื่องใหญ่ กระนั้นอย่างมากก็คงจะถูกโบย หรือไม่ก็กักบริเวณ ไฉนจึงสั่งประหารนางได้?
ฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่!
“โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิดท่านอ๋อง! พวกข้าไม่กล้าทำแล้ว!” ฮูหยินอวี้ร่ำไห้ไปอ้อนวอนไป
“น่ารำคาญ” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
เหล่าองครักษ์มีไหวพริบ พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป และลากนางทั้งสองออกไป
ผู้พิทักษ์ทั้งสองหน้าเปลี่ยนสีในทันใด
“ท่านอ๋อง พวกนางเพียงแต่หุนหันพลันแล่น มิได้คิดให้รอบคอบ ท่านอ๋องโปรดเห็นแก่ฐานะฮูหยินของพวกนาง
ละเว้นโทษพวกนางเถิด!”
“นั่นสิขอรับ ท่านอ๋อง ได้โปรดละเว้นโทษพวกนางด้วยเถิด! ครั้นฮูหยินคนก่อนยังอยู่ พวกนางล้วนแต่ได้รับคำชม ได้รับความรักความเอ็นดู!”
คำพูดของทั้งสองล้วนแต่อ้างถึงฮูหยินคนก่อน ทุกคนคิดว่าไม่ว่าอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องเห็นแก่หน้ามารดาบ้าง ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับมิได้มีท่าทีสะทกสะท้าน เขาใช้พลังภายในยกใบมีดขึ้น ปลิดชีพฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ซึ่งถูกลากออกไปในลานด้านนอกตำหนัก
ผู้พิทักษ์ทั้งสองตะลึงงัน!
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ซื่อสัตย์ครั้งหนึ่ง ย่อมไม่ซื่อสัตย์อีกร้อยครั้ง หากปล่อยพวกนางไว้ แล้วพวกนางทำร้ายฮูหยินของข้าอีกจะทำอย่างไร?”
ความปรานีไหนเลยจะปลุกจิตสำนึกได้ รังแต่จะนำมาซึ่งการทรยศซ้ำสอง
อย่างไรเสีย การทรยศนำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายมหาศาลมิใช่หรือ?
ท่านอ๋องยังคงเหี้ยมโหดเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่ในความเหี้ยมโหดนี้คล้ายกับจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป…
กลวิธี
ใช่แล้ว กลวิธีนั่นเอง!
เมื่อก่อน ความเหี้ยมโหดของท่านอ๋องนั้นเกิดจากโทสะของเขา หากแต่วันนี้ความเหี้ยมโหดของเขาแลดูคล้ายกับมีเป้าหมายบางอย่าง
เขาอารมณ์ขุ่นมัว ไม่อยากไปยุแหย่ ปลอบเขาก็นับว่าเพียงพอ ทว่าบัดนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้แล้ว
คล้ายกับว่าภายในเวลาชั่วข้ามคืน เขาก็มีสมองอันปราดเปรื่องงอกขึ้นมา
เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นท่วมกายของพวกเขา
พวกเขามีส่วนร่วมในแผนการของฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้…
ผู้พิทักษ์สี่กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้กับญาติฝั่งมารดา ถ้าหากแพร่งพรายออกไป…”
“เหอะ” เยี่ยนจิ่วเฉายกยิ้มมุมปาก เขาเดินตรงไปหาทั้งสอง และหยุดระหว่างพวกเขาทั้งสอง จากนั้นก็ยื่นมือไป
คว้าด้านหลังคอของพวกเขา “มีเวลามาเป็นห่วงเรื่องของข้า พวกเจ้ากังวลเรื่องของตนเองก่อนดีหรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะพ้นมลทินอย่างนั้นหรือ?”
ทั้งสองตัวแข็งทื่อ ทว่ายังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็รู้สึกได้ถึงมือเย็นเฉียบซึ่งเลื่อนลงไปด้านหลังคอของพวกเขา แล้วบิดเบาๆ จากนั้นทั้งสองก็ล้มลงกับพื้น
ดวงตาของทั้งสองเบิกโพลง นัยน์ตายังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
ทั้งสองไม่คิดว่าท่านอ๋องจะตัดสินใจทำเช่นนี้ แม้แต่ผู้พิทักษ์ซึ่งเป็นญาติฝั่งมารดายังไม่ละเว้น
น่าเสียดาย กว่าจะนึกเสียใจก็สายไปแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาเช็ดมือเบาๆ จากนั้นก็ก้าวขายาวข้ามศพบนพื้น เดินมายังข้างเตียง
เขาเลิกม่านขึ้น อุ้มช้อนอวี๋หวั่นซึ่งกำลังหลับสนิท แล้วออกจากตำหนักไปอย่างเงียบเชียบ
……………….