หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 385 ความจริงของสตรีศักดิ์สิทธิ์
พี่ชายของอวี๋หวั่นที่นางหลานพูดถึงก็คือหลานชายของนางหลาน อันที่จริงสายเลือดของนางหลานไม่นับว่ามีน้อย ทว่าลูกหลานของนางมักจะค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ จนเหลือหลานชายสายตรงเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่สบายและจากไปเช่นกัน
จื่อเยียนเป็นสาวใช้ของหลานชาย
นางหลานมองไปยังอวี๋หวั่น “เด็กในท้องของจื่อเยียนไม่ได้เป็นเพียงลูกของพี่ชายผู้ล่วงลับของเจ้า แต่ยังเป็นความหวังของสกุลหลานของพวกเขา” นางหลานบีบมือของอวี๋หวั่นเบาๆ “อาหวั่น พยุงข้าไปที”
อวี๋หวั่นเลิกผ้าห่มของนางออก แล้วพยุงนางขึ้นมา
หลังจากอวี๋หวั่นตั้งท้อง เธอก็กินมากขึ้น ใบหน้าของเธออวบอ้วนขึ้น จนแทบไม่มีเอวแล้ว แต่เป็นเพราะเสื้อผ้าของเธอหลวม นางหลานจึงไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นตั้งท้อง
ถ้าหากนางหลานรู้ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้อวี๋หวั่นเข้าไปเห็นเลือดเป็นแน่
อวี๋หวั่นเป็นหมอ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เธอจึงเดินตามนางหลานไป
อิ่งลิ่วซึ่งยืนอยู่ด้านนอกเริ่มร้อนรน “ได้ยินไหม? ด้านในมีเสียงคนร้อง!”
อิ่งสือซันพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ฮูหยินน้อยไม่ได้เรียกพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง”
อิ่งลิ่วคอตกด้วยความจนปัญญา
ครั้นอวี๋หวั่นมาที่นี่ มีหลายเรื่องที่อวี๋หวั่นยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังต้องมาเจอเรื่องเร่งด่วนอย่างคนคลอดลูกอีก คิด
อยากจะนั่งคุยกับนางหลาน เห็นทีคงจะทำไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไร ไหนๆ เธอก็มาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี
ในเรือนนอกจากจะมีแม่นมซึ่งเป็นใบ้คนหนึ่งแล้ว ยังมีสาวใช้ของจื่อเยียนอีกคนหนึ่ง
สาวใช้ไม่เคยถูกฝึกฝนการเป็นสาวใช้มาก่อน นางเป็นเพียงทาสที่พวกเขาใช้เงินสองตำลึงซื้อมาจากตลาด นางไม่เคยออกไปเห็นโลก ไม่ค่อยรู้ความ โชคดีที่มือไม้คล่องแคล่ว
หลังจากที่จื่อเยียนเจ็บท้อง สาวใช้ก็รีบพยุงนางไปยังเตียง จากนั้นจึงไปตามนางหลาน
“ไม่ต้องไปไหน ข้าอยู่นี่แล้ว” นางหลานเดินมาครึ่งทาง ก็พบกับสาวใช้ซึ่งวิ่งมาอย่างลนลาน
สาวใช้บอกว่า “จะ…จื่อ…จื่อเยียนจะคะ…คลอดแล้วเจ้าค่ะ!”
นางเป็นคนติดอ่าง หน้าตาก็มิได้สะสวย ทาสอย่างนางไม่อาจขายได้ในราคาสูง จึงถูกขายให้บ้านสกุลหลาน
สาวใช้พูดจบ ก็มองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ข้างนางหลาน จากนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
นางหลานไม่มีเวลามาอธิบายให้นางฟัง จึงสั่งว่า “ยืนอยู่ทำไม รีบไปตามหมอตำแยมาสิ!”
สาวใช้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “งะ…งะ…เงิน…เงิน…ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ!”
ทุกวันนี้พวกนางตกอับเสียจนไม่มีแม้แต่เงินจะกินข้าว จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าหมอตำแย? ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้
มีเงินมากพอ ก็ใช่ว่าหมอตำแยจะยอมมา มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคนสกุลหลานนอกเมืองได้ล่วงเกินสตรีศักดิ์สิทธิ์จนถูกคนสกุลหลานในหมิงตูขับไล่ออกมา การไล่ให้พวกเขาออกมาใช้ชีวิตข้างนอกก็นับว่าเป็นความปรานีของสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไหนเลยจะมีคนมาคบค้าสมาคมกับพวกเขา หรือมารักษาให้พวกเขา?
เมื่อคิดเช่นนั้น ในใจของนางหลานก็ชอกช้ำเหลือเกิน
หลานชายของนางจากไปเพราะไม่มีหมอรักษา!
ก่อนหน้านี้ชีวิตเคยรุ่งโรจน์ในสกุลหลาน บัดนี้กลับตกอับจนดูประหนึ่งเหล่าแมลงที่ผู้คนรังเกียจ!
“ข้า…ข้าไปเชิญเอง!” นางหลานบอก
“นายท่าน!” สาวใช้หน้าถอดสี
“ท่านยาย…” อวี๋หวั่นเอ่ยปาก
นางหลานตบหลังมือของอวี๋หวั่นเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดว่าอะไร ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ารู้สึกขบขัน แต่ลูกของจื่อเยียนจำต้องคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเพื่อสกุลหลาน หรือเพื่อพี่ชายเจ้า ข้าต้องรักษาชีวิตเด็กคนนี้ไว้ให้ได้”
อวี๋หวั่น “ข้า…”
นางหลาน “เป็นความผิดของยายเองที่ไม่อาจต้อนรับเจ้าได้เป็นอย่างดี ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจละก็ เข้าไปนั่งพักในห้องก่อนเถิด ข้าจัดการเรื่องของจื่อเยียนเสร็จแล้วจะไปเล่าเรื่องในอดีตให้เจ้าฟัง”
อวี๋หวั่น “ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ…”
นางหลานหลับตาลง “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้อง ข้าก็จะต้องเชิญหมอตำแยมาให้ได้!”
อวี๋หวั่นมองตามร่างของนางหลานซึ่งหันหลังเดินสะเงาะสะแงะ จากนั้นก็ปาดเหงื่อแล้วถอนหายใจ “ท่านยายเจ้าคะ ข้าจะบอกว่า ข้าทำคลอดได้”
นางหลานชะงักฝีเท้า
อวี๋หวั่นบอกว่า “ข้าเป็นหมอ ข้ารู้วิชาแพทย์ ข้าเรียนมาจากหมอเทวดาอันดับหนึ่งของต้าโจว สิ่งที่หมอตำแยทำได้ข้าก็ทำได้ สิ่งที่หมอตำแยทำไม่ได้ข้าทำได้ หากท่านไม่รังเกียจละก็ ให้ข้าลองเถิด”
นางหลานหันหลังกลับมามองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
อวี๋หวั่นยิ้ม “ข้าไม่ได้หลอกท่าน ข้าทำได้จริงๆ”
นางหลานยกมือขึ้นปาดน้ำตาซึ่งไม่รู้ว่าไหลออกมาได้อย่างไร “เจ้า…”
“อ๊าาาา” เสียงร้องโหยหวนของจื่อเยียนดังมาจากในห้อง
อวี๋หวั่นละสายตาจากนางหลาน แล้วมองไปยังประตูซึ่งปิดสนิท พร้อมกับพูดว่า “สือซัน ไปหยิบล่วมยาของข้าบนรถม้ามา”
“ขอรับ” อิ่งสือซันตอบรับ “จะให้พาชุยเฒ่ามาด้วยไหมขอรับ?”
“ไม่ต้อง” สกุลหลานไม่ค่อยเชื่อใจคนนอก ต่อให้ครั้งนี้พาชุยเฒ่ามาด้วย นางหลานก็คงไม่ไว้ใจให้เขาดูจื่อเยียน ยิ่งไปกว่านั้น ก็แค่ทำคลอดไม่ใช่หรือ เธอทำคนเดียวได้
อิ่งสือซันหยิบล่วมยามาส่ง
นางหลานถามว่า “อาหวั่น เจ้าเคยทำคลอดมาก่อนไหม?”
อวี๋หวั่นยืดอก “เคยเจ้าค่ะ!”
ทำคลอดให้หมู วัว แล้วก็แพะ!
นางหลานมองออกว่าอวี๋หวั่นไม่ได้โกหก จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพาเธอเข้าไปในห้องของจื่อเยียน
จื่อเยียนเพิ่งเริ่มเจ็บท้อง น่าจะต้องรออีกสักประมาณห้าถึงหกชั่วยามกว่านางจะคลอด ในตอนนี้อาการเจ็บท้องของนางยังไม่นับว่ารุนแรง ที่นางร้องโหยหวยเช่นนี้ก็เพราะน้ำคร่ำแตก กอปรกับนางไร้ประสบการณ์ จึงคิดว่าลูกของนางตายไปแล้ว
อวี๋หวั่นจับชีพจรของจื่อเยียนและพบว่านางน่าจะมีภาวะคลอดลำบาก ทว่าอวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยังคงปลอบนางด้วยความอดทน “ข้าเป็นหมอ ลูกของเจ้าไม่เป็นไร วางใจเถิด”
นางพยักหน้าทั้งน้ำตา
อวี๋หวั่นเขียนใบสั่งยา แล้วให้สาวใช้นำไปส่งให้อิ่งสือซันหน้าประตู
ตัวยาทั้งหมดในใบสั่งยาล้วนเป็นยำบำรุง
อวี๋หวั่นหยิบตัวยามา จากนั้นก็เดินไปต้มน้ำแกงโสมเสริมพลังชี่ดั้งเดิมให้กับจื่อเยียน
นางหลานถือไม้เท้า มองอวี๋หวั่นง่วนอยู่หน้าเตา เด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ผิวขาวผ่องอ้วนท้วนสมบูรณ์ เห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าทำงานคล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้ นางหลานก็เข้าใจทันทีว่าเด็กคนนี้ต้องเผชิญความยากลำบากมามากเท่าไร
อวี๋หวั่นปิดฝาหม้อ แล้วบอกกับนางหลานวา “ท่านยาย ท่านไปนั่งในห้องก่อนเถิด น้ำแกงโสมยังต้องใช้เวลาต้มอีกสักพัก”
นางหลานไม่ได้นั่ง แต่กลับตัดพ้อว่า “วิชาแพทย์ของท่านแม่กับท่านพี่นั้นดีเยี่ยม ท่านยายกับท่านแม่ของเจ้าละ? วิชาแพทย์ของพวกนางดีหรือไม่?”
ท่านยายกับท่านแม่ของข้าอ่านตำราแพทย์เข้าใจก็นับว่าดีแล้ว พวกนางนอกจากความงาม ก็ไม่ได้รับการถ่ายทอดสิ่งใดมาจากท่านทวดเลย
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ท่านยายกับท่านแม่ไม่รู้วิชาแพทย์เจ้าค่ะ เอ่อ ใช่สิ ข้ามาที่นี่พักใหญ่แล้ว แต่ไม่เห็นท่านยายอีกท่านหนึ่งเลย นางอยู่บ้านไหมเจ้าคะ?”
“นางเสียไปแล้ว” นางหลานตอบเสียงเบา
อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
นางหลานจึงบอกว่า “เมื่อครู่ข้าบอกกับเจ้าไปว่าสกุลหลานเคยมีวันคืนที่รุ่งโรจน์ กระนั้นเมื่อไม้เด่นเกินไพร ย่อมถูกลมพัดจนหักโค่น สกุลหลานรุ่งเรืองจนมีคนริษยา ท่านทวดของเจ้าถูกคนปองร้าย จนต้องระหกระเหินออกจากหมิงตู มีคนเห็นนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูแล้วคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน ข้ากับท่านพี่กลับเชื่อว่านางยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นท่านพี่ออกตามหานาง หนึ่งก็เพราะอยากพบหน้านางอีกครั้ง สองก็คือสกุลหลานกำลังเผชิญกับความยากลำบาก จำต้องมีสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามาจัดการ นางใช้เวลาสิบกว่าปีในการตามหาท่านแม่ จวบจน…มีสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในสกุลหลาน”
เรื่องนี้ตรงกับการคาดเดาของอาม่าพอดิบพอดี
นางหลานหัวเราะเย้นหยันตนเอง “สกุลหลานเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่สายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ถ่ายทอดไปสู่บุรุษ เพราะฉะนั้นฐานะของสตรีในสกุลหลานจึงสูงกว่าบุรุษมาก ท่านพี่ของข้าเคยเป็นประมุขสกุลหลาน ท่านพี่ของข้าแต่งงานกับพี่เขย เดิมทีคิดว่าเขาจะเป็นวิญญูชน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเพียงคนอกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่อง! ท่านพี่ออกจากหมิงตูได้ไม่นาน เขาก็ไปมีสัมพันธ์กับลูกสาวของอนุภรรยาในตระกูล หลังจากที่ข้ารู้เรื่องนี้ จึงขับไล่นางออกจากเรือนไป ข้าเตือนพี่เขยว่าหากเกิดเรื่องนี้อีก คนที่จะถูกไล่ออกไปก็คือเขา!”
เขาแสร้งว่ากลับเนื้อกลับตัวแล้ว แต่เขาก็ยังแอบไปมีสัมพันธ์กับบุตรสาวของอนุภรรยาอีก และให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งมา
ข้าคิดจะสังหารเด็กคนนั้นแทนท่านพี่! ไหนเลยจะรู้ว่า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางหลานก็กำหมัดแน่น
อวี๋หวั่นต่อประโยคของเขาจนจบ “เด็กคนนั้นเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์”
นางหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ ร่างของนางสั่นเทิ้ม “สวรรค์มีตาหามีแววไม่ ในตอนแรกที่เขาเข้ามาในสกุลหลาน เขาติดโรคร้ายมาด้วย ท่านพี่ของข้าคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี จนเขาหายดีในที่สุด แต่ก็ไม่มีลูก…กระนั้นเขากลับมีหน้าไปมีลูกกับสตรีอื่น! ข้าเกลียดเขาเหลือเกิน! เกลียดเสียจนนึกอยากฆ่าพวกเขาสองคนให้ตายตกไปตามกัน!”
เรื่องราวหลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องเล่า อวี๋หวั่นก็พอจะเดาได้
สตรีที่ถูกขับไล่ออกจากเรือนไปนั้นให้กำเนิดทารกเพศหญิงที่มีสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ มารดาพึ่งพาอำนาจแห่งบุตร พวกนางกลายเป็นบุคคลที่ไม่อาจแตะต้องได้ของสกุลหลานในบัดดล
ท่านยายกลับมาเพื่อสะสางเรื่องต่างๆ ในสกุลหลาน แต่กลับพ่ายแพ้ต่อคุณหนูซึ่งให้กำเนิดสตรีศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ สุดท้ายไม่เพียงสูญเสียสามี แม้แต่ตำแหน่งประมุขของสกุลก็ยังถูกช่วงชิงไปเช่นกัน
ท่านยายตรอมใจจนวาระสุดท้ายของชีวิต ทิ้งให้น้องสาวถูกสามีภรรยาใจหยาบช้าทั้งสองโขกสับ
นางหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นางแพศยานั่นได้ขึ้นเป็นประมุขสกุลหลาน ขับไล่ข้ากับท่านพี่ออกมา ท่านพี่ล้มป่วยและจากไป แต่ข้าไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก! ข้าสาบานว่าจะสู้กับนางแพศยานั่นตราบจนลมหายใจสุดท้าย!”
อวี๋หวั่นสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและเคืองแค้นของนางหลาน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับลูกของจื่อเยียนหรือเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านบอกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเป็นความหวังของสกุลหลาน”
นางหลานนัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าหากจื่อเยียนให้กำเนิดทารกเพศหญิง…ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์”
นางกล่าวมาจนถึงตอนนี้ จื่อเยียนก็เจ็บท้องรุนแรงกว่าเดิม
อวี๋หวั่นจึงยกน้ำแกงโสมเข้าไปในห้อง
ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากห้อง
นางหลานตกใจ ระ…เร็วปานนั้นเชียวหรือ?
เดิมทีจื่อเยียนมีภาวะคลอดลำบาก ทว่าน้ำแกงโสมรสชาติย่ำแย่จนนางกลืนไม่ลง…นางตัวสั่น จากนั้นก็คลอดลูกออกมา…
นางหลานเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “อาหวั่น! เป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย?”
……………………