หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 388 พี่จิ่วดุดัน ผู้ชมทั้งหมด
ฟ้าสาง ผู้คนในเรือนเริ่มทยอยกันตื่น เมื่อคืนทารกชายต้องตื่นถึงสามครั้ง ครั้งแรกเพื่อป้อนนมแพะที่ต้มแล้ว ครั้งที่สองจื่อเยียนมีน้ำนม แม่นมเฒ่าเฝ้าดูอยู่ในห้องของจื่อเยียน แม้มือเท้าจะไม่คล่องแคล่วเช่นคนหนุ่มสาว ทว่ากลับดูแลสองมารดาบุตรด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี
สาวใช้ไปเตรียมอาหารเช้า
คืนที่ผ่านมาชิงเหยียนและเยว่โกวออกไปซื้ออาหารมากมายมาจากตลาด ในไหข้าวมีเมล็ดข้าวสีขาวสะอาดละลานตา ในตู้ยังมีเป็ดไก่รมควันและเนื้อรมควัน รวมแล้วก็หลายสิบจิน ครอบครัวทุกข์ยากลำเค็ญนางหลานละเว้นจากเนื้อสัตว์อาหารคาว เอาแต่ขอให้สาวใช้ต้มไข่สองฟองและต้มน้ำตาลทรายแดงหนึ่งชามให้จื่อเยียนทุกวัน สาวใช้โลภเนื้อสัตว์จนแทบโหยไห้ ครั้นเมื่อเห็นวัตถุดิบมากมายเช่นนี้ ดวงตาก็เกือบจะเปล่งประกายเป็นสีเขียวออกมา
สาวใช้ทำอาหารเช้าสุดแสนสมบูรณ์พรั่งพร้อม หลังจากนำไปให้เหล่าเจ้านายแล้ว นางกับแม่นมเฒ่าต่างก็ได้เนื้อตุ๋นชามหนึ่งมาทานกันอย่างหอมหวนเอร็ดอร่อย
“อา…” อิ่งลิ่วจ้องไปที่เนื้อตุ๋นในชาม ทำอะไรไม่ถูก
“เจ้ามีอะไร?” ชิงเหยียนถาม
อิ่งลิ่วไม่กินมันสัตว์
อิ่งลิ่วไม่พูด
อิ่งสือซันคีบเนื้อติดมันในชามของเขาออกมาใส่ชามตัวเองเงียบๆ จากนั้นก็คีบเนื้อกลับไปให้เขา
อิ่งลิ่วกินมันอย่างเต็มที่
ชิงเหยียนเผยยิ้ม
หลังมื้อเช้าผ่านไป อิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วก็ไปที่ประตูเมือง ช่างบังเอิญที่องครักษ์เฝ้าประตูเป็นคนเดียวกันกับเมื่อวานนี้
อิ่งสือซันร่างกายสูงใหญ่ บุคลิกเย็นชา ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ง่ายต่อการทำให้เป็นที่จดจำของผู้คน
เมื่อองครักษ์เห็นเขา พลันกวาดมองเขาขึ้นลง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีก? ยังคิดจะใช้เหรียญตราปลอมตบตาข้าอยู่อีกรึ? ข้าขอเตือนเจ้า เมืองหมิงตูหาได้อยู่ใกล้เช่นนั้น”
อิ่งสือซันไม่สนใจคำเยาะเย้ยถากถาง เพียงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ขอฝากวาจาประโยคหนึ่งให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ หากต้องการป้ายหยกในมือของผู้สืบทอดสกุลหลาน ให้มานอกเมืองด้วยตนเองสักครา”
เมื่อองครักษ์ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “พวกเจ้าเป็นใคร?”
อิ่งสือซันปรายตามองเขาอย่างไม่แยแส คร้านจะเอ่ยตอบ พาอิ่งลิ่วเดินจากไป
เมื่อคนเดินไปไกลแล้ว อิ่งลิ่วก็หันกลับมาอีกครั้ง “ได้ยินหรือไม่? ให้นางมาด้วยตนเอง! มิเช่นนั้นก็ฝันไปเถอะ!”
องครักษ์ขมวดคิ้ว สงสัยว่าสกุลหลานมีคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ในเมื่อเป็นวาจาที่ส่งให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ องครักษ์ก็ไม่กล้าละเลย รีบส่งคนไปที่สกุลหลาน แจ้งความจริงเกี่ยวกับคำพูดของอิ่งสือซัน
ราวหนึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนออกจากประตูเมือง มาหยุดหน้าประตูใหญ่ของเรือนสกุลหลาน
สาวใช้กำลังซักผ้าอ้อมของเด็กทารกชายอยู่ที่ลานหน้าบ้าน จู่ๆ ก็เห็นองครักษ์กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในลาน นางสะดุ้งตกใจจนผ้าอ้อมในมือร่วงลงพื้น!
หลังจากเหล่าองครักษ์เข้ายึดเต็มพื้นที่ลาน ก็เรียงแถวสองฝั่งอย่างเคารพนบนอบ
ขณะนี้เอง ม่านรถม้าก็ถูกสารถีเปิดออก บุรุษวัยกลางคนในชุดผ้าแพรผู้หนึ่งก้มตัวเดินออกมา
เขาเดินไปหาสาวใช้ กล่าวถามนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้านายของเจ้าเล่า อยู่ที่ใด?”
สาวใช้ชี้ไปทางห้องพักของนางหลานอย่างสั่นระริก
จากนั้นชายวัยกลางคนก็ไม่สนใจจะมองนาง และวางมาดเดินผ่านไป
อวี๋หวั่นกำลังอุ้มทารกน้อยไปให้นางหลานได้เชยชม แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากนอกประตู อวี๋หวั่นและนางหลานต่างมองไปหลังฉากกั้นพร้อมกัน
นางหลานหรี่ตาพูดกับอวี๋หวั่น “เจ้านั่งรออยู่ที่นี่ อย่าออกไปด้านนอก”
อวี๋หวั่นพยักหน้าตอบรับ
นางหลานยันไม้เท้าเดินอ้อมหลังฉากกั้น ไปนั่งบนเก้าอี้ประธาน
อวี๋หวั่นอุ้มเด็กทารกน้อยชิดฉากกั้น มองลอดช่องว่างออกไป เห็นชายวัยกลางคนในเสื้อผ้าหรูหรางดงาม ท่าทางมีกำลังวังชาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าชื่นมื่น
เขาเผยยิ้มมุ่งร้าย
“ผู้นำตระกูลหลาน ไม่พบกันนาน สบายดีรึ” ชายวัยกลางคนยกมือคำนับนางหลาน
แม้นางหลานไม่เจิดจรัสงดงามเช่นวันวาน ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านจากภายในไม่อาจปิดบังอยู่ภายใต้เสื้อผ้าหยาบกระด้าง
สายตาเย็นชาของนางหลานเหลือบมองเขา “ข้าเป็นผู้ใดกัน เดิมทีก็เป็นเพียงสุนัขข้างกายสตรีที่ชื่อหลานเจียว บ้านเรือนข้าต่ำต้อยเรียบง่าย ผู้ดูแลเยว่มาด้วยเรื่องอันใด?”
แม้ผู้ดูแลเยว่ถูกเหยียบจมูกแต่ก็ไม่โกรธ เขาเหยียดยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงมีไมตรี “ท่านผู้นำตระกูลสั่งให้ข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน”
นางหลานหัวเราะเย้ยหยัน “ผู้นำตระกูล? อ้า ข้าได้ยอมรับแล้วหรือ?”
ผู้ดูแลเยว่ยิ้มแผ่วเบา “ท่านจะยอมรับหรือไม่ ยามนี้คนที่อยู่จวนสกุลหลานก็คือนาง นางให้กำเนิดสตรีศักดิ์สิทธิ์แก่สกุลหลาน ท่าน…”
ขณะกล่าว ดวงตาของเขาเหลือบมองฉากกั้นทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ราวกับรู้สึกได้ถึงทารกน้อยที่อยู่หลังฉากกั้นนั้นอยู่ก่อนแล้ว
ผู้ดูแลเยว่คลี่ยิ้ม “ข้าต้องยินดีกับท่านที่ได้เหลนแล้ว ดูแล้วคงเป็นเหลนชายกระมัง?”
เสื้อผ้าตัวเล็กๆ ที่แขวนอยู่ด้านนอก มองครั้งแรกก็รู้ได้ว่าเป็นทารกชาย
ความหวังทั้งหมดของนางหลานขึ้นอยู่กับเด็กผู้นี้ ทว่ายามนี้กลับเป็นเพียงทารกชาย ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหันหลังกลับ
นางหลานมองเขาด้วยแววตาเย็นชา
ผู้ดูแลเยว่กล่าวว่า “แน่นอนละ หากไม่มีธุระคงไม่มา วันนี้ที่ข้ามา นอกจากมาเยี่ยมเยียนท่านแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่อยากหารือกับท่าน”
นางหลานกล่าวอย่างเย็นชา “หากเป็นเรื่องป้ายห้อยหยก เช่นนั้นข้าก็แนะนำให้เจ้าตัดใจเสียเถอะ คนของข้านำความไปบอกชัดเจนยิ่งแล้ว หากต้องการป้ายห้อยหยก ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์มาพบข้าด้วยตนเอง!”
ผู้ดูแลเยว่คลี่ยิ้มกล่าว “สตรีศักดิ์สิทธิ์มีกิจหน้าที่ยุ่งนัก ไม่อาจเจียดเวลาออกมาได้ ท่านผู้นำตระกูลสั่งให้ข้ามาเจรจากับท่าน”
โอ้โห บุตรอนุนามว่าหลานเจียวผู้นั้นไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ? พวกเขาระบุชื่อแซ่ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์มาเจรจา ผลกลับไม่ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์มาก็มากพอแล้ว อย่างน้อยนางก็ควรมาด้วยตนเองสิ กลับส่งเพียงผู้ดูแลคนหนึ่งมา นี่มิใช่เป็นการตบหน้าท่านยายหลานหรอกหรือ?
อวี๋หวั่นโน้มกายชิดช่องว่างของฉากกั้น ประจวบเหมาะที่ยามนี้ผู้ดูแลเยว่ก็มองมาเช่นกัน อวี๋หวั่นได้พบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์คู่หนึ่ง สายตาเผยความดูถูกเหยียดหยามหนักหนา ราวกับว่าผู้คนที่อาศัยในเรือนนี้ไม่ใช่อดีตคนสกุลหลาน แต่เป็นกลุ่มมดตัวเล็กๆ ที่เขาเหยียบย่ำอยู่แทบเท้า
“เจ้าคนน่ารำคาญ” อวี๋หวั่นบ่นพึมพำโดยไม่ลืมที่จะปิดหูของทารกน้อย
ทารกน้อยมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้างุนงง
“ชู่” อวี๋หวั่นทำมือให้เขาเงียบ
บทสนทนาภายในห้องยังดำเนินต่อไป
ผู้ดูแลเยว่ค่อยๆ โน้มน้าว “ผู้นำตระกูลกล่าวแล้ว ขอเพียงท่านยินยอมมอบป้ายหยกสกุลหลาน นางจะไม่คิดขัดแย้ง อภัยที่ท่านเคยกระทำผิดกฎสตรีศักดิ์สิทธิ์ รับท่านและคุณชายน้อยกลับเข้ามาในเมืองหมิงตู ซื้อที่อาศัย คัดเลือกข้าทาส ให้ท่านใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งที่เหลือออย่างสง่างาม ส่วนเรื่องคุณชายน้อย ท่านไม่ต้องกังวล ผู้นำตระกูลจะเชิญอาจารย์มาอบรมเลี้ยงดูเขา ให้เขาเติบโตขึ้นเป็นคน”
นางหลานโกรธจนตัวสั่น
ผู้ดูแลเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอก “แน่นอนว่าหากสิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้ท่านพึงพอใจ ยังมีเงื่อนไขอื่นใด โปรดชี้แจงแก่ข้า หากรับปากได้ ข้าก็จะรับปากแทนผู้นำตระกูล อ้อ จริงสิ นายท่านใหญ่กับนายท่านรองยังทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนจำอยู่เลยนี่ หากท่านไม่เห็นแก่ตนเองกับคุณชายน้อย ก็เห็นแก่นายท่านทั้งสองเถิด ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของพวกเขาก็ไม่สู้ดีนัก อยู่ในเรือนจำเช่นนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะจากไปวันใดก็ได้”
นายท่านใหญ่ นายท่านรอง? ท่านลุงของเธอ?
ไอ้ระยำพวกนี้จับท่านลุงของเธอขังคุก?
อวี๋หวั่นมองไปที่นางหลาน เห็นเล็บของนางจิกเข้าไปในเนื้อด้วยความโกรธแค้น
ผู้ดูแลเยว่ยิ้มเยาะ “ท่านว่าท่านจะทนลำบากเช่นนี้ไปไย? ความแข็งแกร่งเกรียงไกรที่ท่านมีกลายเป็นม้าตีนปลายนานแล้ว ป้ายหยกอยู่ในมือของท่านก็ไร้ที่ให้ใช้ประโยชน์ ไม่สู้เห็นแก่ความสัมพันธ์มอบให้ผู้นำตระกูลดีกว่าหรือ ผู้นำตระกูลรู้จักบุญคุณ ไม่มีทางปล่อยให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานแน่”
นางหลานกัดฟันแน่น “หลอกล่อพี่เขยข้า สังหารพี่สาวข้า นี่คือบุญคุณที่นางทดแทนรึ? เจ้ากลับไปบอกนาง ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางมอบป้ายหยกแก่นาง! แต่ถึงอย่างไรสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นสิ่งพิเศษที่สุดที่สกุลหลานของข้ายังเหลืออยู่ ข้าจะเห็นแก่หน้านาง เงื่อนไขคือ ให้นางมาที่นี่ด้วยตนเอง!”
ผู้ดูแลเยว่ยิ้มและพูดอย่างเหยียดหยาม “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า อย่างเจ้าน่ะ ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้พบสตรีศักดิ์สิทธิ์หรอก!”
นางหลานโกรธจัด “เช่นนั้นข้าจะทำลายตราหยกและไม่มีวันให้พวกเจ้า!”
ผู้ดูแลเยว่กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ตราหยกไม่มีแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ากับเหลนชายของเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือ?”
นางหลานยิ้มยินดี “พวกเราคนสกุลหลานไม่กลัวตาย!”
ผู้ดูแลเยว่รู้ดีว่าสิ่งที่นางกล่าวเป็นความจริง กระดูกของนางหลานแข็งเพียงใด เห็นได้ชัดจากอุบายที่พวกเขาใช้มาหลายปีแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้ดูแลเยว่เอ่ยเสียงเย็นชา “อีแก่ อย่าทำตัวไว้หน้าแล้วไม่รับ”
“เจ้าด่าผู้ใดว่าอีแก่?” อวี๋หวั่นอุ้มทารกน้อยเดินออกมา
ผู้ดูแลเยว่เป็นผู้ดูแลที่เข้ามาในสกุลหลานทีหลัง เขาไม่เคยพบผู้นำตระกูลสองคนแรก จึงไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับพวกเขากี่ส่วน เขาเห็นอวี๋หวั่นอุ้มทารกคนหนึ่งก็พูดจาเหยียดหยามทันที “เจ้าก็คือเด็กผู้หญิงที่ปีนขึ้นเตียงผู้นั้นรึ? เจ้าคิดว่าให้กำเนิดเลือดเนื้อของนายท่านแล้วจะถือตนว่ายิ่งใหญ่ได้รึ? เจ้าก็ไม่ดูตนเอง จวนสกุลหลานไม่ยอมรับพวกเจ้า แม้จะให้กำเนิดอีกแปดคนสิบคน ก็ล้วนเป็นสายเลือดนอกคอก”
ปัง
ไม่ทันสิ้นเสียง ผู้ดูแลเยว่ก็ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยแรงมหาศาล กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงจนกระดูกซี่โครงหัก!
ฝีเท้าเย็นเยียบเหยียบใบหน้าของเขาราวกับมดน้อยไร้ทางสู้
องครักษ์ในลานหมายจะออกตัวช่วยเหลือ แต่กลับถูกกดไว้ด้วยพลังภายในมหาศาล
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงมองเขา “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ผู้ใดเป็นสายเลือดนอกคอก?”
ครึ่งหนึ่งของใบหน้าผู้ดูแลเยว่ถูกเหยียบลงไปในโคลน เขาเป็นผู้ดูแลจวนสกุลหลานมาหลายปี ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเหยียบหน้าของเขา
เขาเดือดดาล “เจ้า…เจ้า…”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตาลงอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าข้าเป็นสายเลือกนอกคอกรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาออกแรงเหยียบ บดบี้ศีรษะของผู้ดูแลเยว่จนแหลกเหลว
ผู้ดูแลเยว่ที่จิตวิญญาณสูญสลายว่างเปล่าไม่เหลืออะไร “…”
บัดซบ! ข้าแค่ต้องการถามว่าเจ้าเป็นใคร
……………………………