หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 417 การรับญาติ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยฝันร้าย นางฝันว่าปรมาจารย์ซือคงล่วงรู้ความจริง จึงบีบคอและใช้กริชแทงลงกลางอกของนาง
นางหวีดร้องด้วยความตกใจ ผุดลุกขึ้นนั่งในทันที!
นางเกิดมาก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการฝึกฝนแตกต่างจากคนทั่วไป บ่มเพาะนิสัยที่ไม่ตื่นตกใจ แต่นางกลับยังถูกฝันร้ายทำให้หวาดกลัวจนเหงื่อผุด เห็นได้ว่าเหตุการณ์ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ ยังทิ้งเงาแห่งความหวาดกลัวอยู่ในจิตใจของสตรีศักดิ์สิทธิ์
ในไม่ช้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็พบว่าตนเองมาอยู่ในห้องที่ดูแปลกตา แสงสีทองยามเช้าส่องผ่านช่องหน้าต่างอย่างประณีต ให้บรรยากาศโบราณและเรียบง่ายสะท้อนผิวโต๊ะและเก้าอี้
การตกแต่งในห้องไม่ซับซ้อน แต่ทั้งหมดทำจากไม้จินสื่อหนานชั้นดี ลือกันว่าอายุพันปีไม่เสื่อมสลาย ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นรูปแบบเก่าเมื่อหลายปีก่อน แต่มองแล้วยังไม่เห็นความชำรุดทรุดโทรมเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าในห้องไม่มีใคร แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์มีความรู้สึกว่าไม่กล้าสร้างปัญหา
“ที่นี่คือที่ใด?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยเสียงเบา
ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงเอ่ยถามจากลูกศิษย์น้อย “แม่นาง ท่านตื่นแล้วหรือ?”
ความระแวดระวังปรากฏในดวงตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ “ข้าตื่นแล้ว”
“เช่นนั้น ข้าจะส่งน้ำแกงโสมเข้ามาให้แม่นาง” ศิษย์น้อยเอ่ยจบก็รอรับคำสั่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่นอกประตูอย่างเงียบๆ
ดวงตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นประกาย เอ่ยพลางปล่อยผ้าคลุมเตียงลง “ได้”
แอ๊ด–
ประตูถูกผลักเปิด
ศิษย์น้อยเดินเข้ามาพร้อมกับชามน้ำแกงโสมร้อนๆ ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันน่าหลงใหล
ลูกศิษย์วางน้ำแกงโสมลงบนโต๊ะและกล่าวด้วยสายตาแน่นิ่ง “แม่นาง ท่านดื่มน้ำแกงโสมก่อน น้ำแกงนี้ทำด้วยไก่จุ๋ยจีและโสมหิมะจากหมิงซานของพวกเรา ทั้งบำรุงร่างกาย และรสชาติก็ดี หาดื่มที่ใดไม่ได้แล้ว!”
มือของสตรีศักดิ์สิทธิ์แตะผ้าม่าน กำลังจะเปิดออก แต่ก็หยุดชะงักดึงมือออก และถามผ่านผ้าม่านว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…ที่นี่คือหมิงซาน? ขอถาม ที่ใดในหมิงซาน?”
“วิหารเจาหยาง!” ศิษย์น้อยกล่าว
นัยน์ตาสตรีศักดิ์สิทธิ์หดสั้น!
วิหารเจาหยางเป็นเขตของปรมาจารย์ซือคง นางหลงเดินมาถึงที่นี่หรือ?
ไม่ใช่สิ ไม่ได้หลง นางจำได้รางๆ ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังกดของปรมาจารย์ซือคง ก่อนที่นางจะเล่า ‘ประวัติชีวิต’ ของนาง ดวงตาทั้งสองก็ดำมืดสลบไป—-
เหตุใดฟื้นขึ้น ก็มาอยู่ที่วิหารเจาหยาง?
ฟังจากน้ำเสียงของศิษย์น้อยผู้นี้ ดูเหมือนว่าเขาให้ความเคารพนางอยู่หลายส่วน
หรือว่า…ปรมาจารย์ซือคงเห็นภาพของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี และเดาได้ว่านางเป็นบุตรหลานของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี?
เพื่อยืนยันการคาดเดา สตรีศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เปิดม่านมองศิษย์น้อยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะแล้วถามเสียงเบาว่า “ผู้ใดพาข้ามาที่นี่?”
“ปรมาจารย์” ศิษย์น้อยกล่าว
ยามเอ่ยถึงปรมาจารย์ สีหน้าศิษย์น้อยดูเคารพมากกว่าตอนแรก ในขณะเดียวกัน ใบหน้าก็มีร่องรอยของความสงสัยที่ยากจะห้ามได้
สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าใจในสิ่งที่เขาสงสัย ปรมาจารย์ไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาในภูเขา ทว่ายามนี้เขากลับพาสตรีมา ทั้งยังให้คนดูแลรับใช้อย่างดี สิ่งเหล่านี้ เกรงว่าทุกคนคงตะลึงเลยกระมัง?
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจว่าพวกเขาจะตะลึงหรือไม่ ตราบใดที่ปรมาจารย์ยังจำตนได้ก็พอแล้ว
ศิษย์น้อยไม่ได้โกหก รสชาติของน้ำแกงโสมไก่จุ๋ยจีนี้อร่อยมาก ไม่เกี่ยวกับฝีมือการทำอาหาร แต่เป็นรสชาติของไก่จุ๋ยจีและโสมหิมะเอง หลังจากกลืนลงท้องไม่กี่คำ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายอบอุ่นขึ้นมา
หลังจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่ากระดูกหลายชิ้นในร่างกายของนางหัก แต่ความเจ็บปวดกลับหายไปอย่างสิ้นเชิง
“ผู้ใดรักษาข้า?” นางถามศิษย์ที่อยู่ด้านข้าง
ศิษย์น้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “น่าจะเป็นปรมาจารย์กระมัง? เรายังไม่ได้รักษาแม่นาง”
ตอนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เกือบจะแน่ใจแล้วว่าปรมาจารย์จำตัวเองได้
เดิมทีคิดว่าจะตายแล้ว ไม่นึกว่า…กลับรอดมาจากที่ตาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยั้งมุมปากที่ยกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ดื่มน้ำแกงโสมอีกสองสามจิบ จากนั้นก็มองไปที่ศิษย์น้อยที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างใจเย็น “เจ้าชื่ออะไร? ปีนี้อายุเท่าไร?”
ศิษย์น้อยตอบว่า “ข้าชื่อจิงหง อายุสิบสี่ปีแล้ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนไร้พิษสง “เช่นนั้นจากนี้…ข้าจะเรียกเจ้าว่าจิงหงได้หรือไม่?”
ศิษย์น้อยจิงหงเกาศีรษะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”
“เจ้าอยู่ที่หมิงซานมานานเท่าใดแล้ว?” สตรีศักดิ์สิทธิ์ถาม
ศิษย์น้อยกล่าวว่า “ห้าปีแล้ว”
ห้าปี เช่นนี้เขาก็คุ้นเคยกับปรมาจารย์เป็นอย่างดี
ช้อนของสตรีศักดิ์สิทธิ์กวนน้ำแกงโสมในชาม ไม่ได้ถามเรื่องของปรมาจารย์อีก แม้นางจะไม่คิดว่าศิษย์น้อยผู้นี้จะปกปิดตน แต่นางจะใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ เพื่อไม่ให้เผยพิรุธ นางต้องทำทุกอย่างช้าๆ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ละเว้นจากเนื้อสัตว์ แต่เพราะน้ำแกงไก่นี้รสชาติโอชายิ่ง กินเข้าไปอีกสองสามคำ นางก็รู้สึกท้องไส้ของตนเริ่มปั่นป่วน แต่เพื่อไม่ให้คนสังเกตเห็นข้อบกพร่อง นางจึงฝืนกินน้ำแกงไก่จนหมดชาม
ศิษย์น้อยเฉลียวฉลาด ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ เมื่อนางถามคำถาม เขาก็ตอบและไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยถามนาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์หยอกเย้า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
ศิษย์น้อยเกาหัว ขำเจื่อนๆ
อยากรู้นั้นแน่นอน แต่พวกเขาไม่กล้าถามเรื่องของท่านปรมาจารย์
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งแน่ใจว่านางประจบถูกคนแล้ว มีปรมาจารย์สนับสนุนนาง ยังต้องกลัวว่าจะไม่สามารถจัดการกับ ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘คุณชายรอง’ สกุลซือคงอีกหรือ? แม้แต่ผู้นำตระกูลซือคงคนปัจจุบัน ยามอยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ยังต้องเรียกเขาว่าท่านปู่อย่างเชื่อฟัง!
ศิษย์น้อยกล่าวว่า “แม่นาง มีสิ่งใดต้องการรับสั่งอีกหรือไม่? หากไม่มี ข้าจะไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าอาหารเช้าพร้อมหรือยัง?”
สติของสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา ส่ายหน้าให้เขาอย่างสุภาพ “ไม่มี เจ้าไปเถอะ”
“อื้ม!” ศิษย์น้อยหยิบชามและกำลังจะจากไป เมื่อไปถึงประตู สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกเขา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ถามเบาๆ “จิงหง เจ้ารู้หรือไม่ว่าปรมาจารย์อยู่ที่ใด?”
ศิษย์น้อยหันมากล่าวว่า “เขากำลังฝึกวรยุทธ์ หากแม่นางอยู่ในห้องรู้สึกเบื่อ ไปเดินเล่นที่สวนได้ ขอเพียงไม่ออกจากเรือนนี้ หมิงซานมีหนอนกู่มากมาย แม่นางไม่รู้วรยุทธ์ อาจถูกสัตว์พิษกัดได้”
“ขอบใจเจ้ามาก” สตรีศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าอย่างเป็นกันเอง เมื่อศิษย์เดินออกไป นางก็ลุกขึ้นไปเดินเล่นในเรือน
แน่นอนนางไม่เชื่อฟังคำของศิษย์น้อย นางเดินเล่นอยู่ไม่นาน ก็แสร้งออกจากเรือนโดยไม่ได้ตั้งใจ
วิหารเจาหยางกว้างใหญ่มาก นางเลือกทิศทางหนึ่งและเดินไปอย่างกล้าหาญ
ที่นี่เป็นเขตของปรมาจารย์ นางไม่เชื่อว่าหากนางได้รับบาดเจ็บในที่ของเขา แล้วเขาจะไม่สังเกตเห็น
นางอยากเห็นว่า เหลนสาวผู้นี้มีน้ำหนักเพียงใดในสายตาของปรมาจารย์
ขณะคิดเรื่องนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เดินไปยังสวนพิษที่มีอันตรายรอบด้าน ซึ่งเป็นที่เก็บหนอนกู่ชั้นต่ำที่สุด แต่มันก็เต็มไปด้วยแมลงและงู นางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น งูพิษตัวใหญ่ก็พุ่งเข้ามาฉกนาง
“อ๊า——”
นางกรีดร้องและล้มลงกับพื้น
ความเจ็บปวดรุนแรงที่คิดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ทันทีที่งูกัดนาง พลังที่มองไม่เห็นก็ผลักกระเด็นออกไป จากนั้นงูหนอนแมลงที่อยู่รายล้อม ราวกับสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันน่าสะพรึงกลัว แยกย้ายหนีกลับรังของตน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ นำแขนเสื้อที่บังตาออก มองบุรุษที่ลงมาอยู่เบื้องหน้านาง
นั่นคือยอดฝีมือรูปร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีดำ ผมสีขาวราวกับหิมะ มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง
แต่ก็เพราะความแข็งแกร่งที่มากเกินไป ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ
สายตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไล่มองจากด้านล่าง เมื่อถึงคอเสื้อแน่นของเขา นางก็ไม่กล้ามองขึ้นไปอีก
นางหลบเลี่ยงสายตา มองไหล่ข้างหนึ่งของเขาอย่างขลาดกลัว
ราวกับสตรีร่างเล็กที่ตกใจกลัวจนพูดไม่ออก ไม่ได้ถามว่าเขาเป็นใคร และไม่ได้กล่าวขอบคุณ เพียงแค่หดตัวไปด้านหลัง การหดตัวนี้เผยให้เห็นเท้าที่แพลงจากการล้มโดยบังเอิญ
ซือคงเย่มองข้อเท้าที่บวมขึ้นของนาง จึงก้มลงและเหยียดแขนทั้งสองไปหานาง
ร่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้านด้วยความกลัว
มือของเขาชะงัก คล้ายกำลังลังเล
สตรีศักดิ์สิทธิ์กัดริมฝีปาก เอนตัวไปหาเขา
ซือคงเย่อุ้มนางขึ้นมาอย่างรักใคร่เอ็นดู
สตรีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกได้ถึงความรักของเขาที่มีต่อตน หัวใจที่หลุดออกมาค่อยๆ กลับสู่จุดเดิม นางเอนกายลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างเฉลียวฉลาด ให้อุ้มตนกลับไปที่วิหารเจาหยาง
“ชื่ออะไร?” ซือคงเย่ถาม
“หลาน หลานอวี้” นางกระซิบ
ที่สตรีผู้นั้นบอกน่าจะเป็นชื่อนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ใช้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
“หลานอีเป็นอะไรกับเจ้า?” ซือคงเย่ถามอีกครั้ง
“ยายทวด” สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าว
ซือคงเย่หยุดชะงักเท้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์กะพริบตา มาถึงตอนนี้ นางไม่กังวลว่าปรมาจารย์จะสงสัยในตัวนาง นางจึงถามอย่างกล้าหาญ “ท่าน…ท่านเป็นตาทวดของข้าใช่หรือไม่? ก่อนที่ยายทวดของข้าจะตาย ให้ข้ามาตามหาท่านที่หมิงตู ข้า…ข้าก็ไม่รู้ว่ามาหาถูกคนหรือไม่”
ซือคงเย่ไม่ได้ตอบคำถามนางตรงๆ แต่กล่าวว่า “อาการบาดเจ็บบนตัวเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางคิดว่าเขาหมายถึงบาดแผลที่เขาทำนางเมื่อคืน ช่วงก่อนหน้านี้นางต่อสู้กับเยี่ยนจิ่วเฉา ทุกข์ทรมานอยู่ไม่น้อย กระทั่งยังมีบาดแผลเก่าที่ยังไม่ได้รักษา ยามที่ปรมาจารย์รักษานาง คงสังเกตเห็นมันและรักษาอาการบาดเจ็บนั้นไปด้วย
“ถูกคนทำร้าย” นางเอ่ยเสียงแผ่ว
“ผู้ใด?” บนร่างกายของซือคงเย่ระเบิดไอสังหารอันแข็งกร้าวออกมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์เม้มริมฝีปาก ก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์”
……………………………