หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 420 เยี่ยนเสี่ยวซื่อผู้แข็งแกร่ง
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็ได้เข้าไปอยู่ในห้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์สมใจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์กระวนกระวาย นางตามใจเด็กคนนี้มาหนึ่งวันเต็มๆ จนรู้สึกคลื่นเหียน ทรมานไปทั้งตัว ตอนนี้จึงคิดเพียงแต่จะหนีให้ไกลจากเด็กคนนี้มากที่สุด!
อวี๋หวั่นคล้ายกับจะไม่สังเกตเห็นท่าทีรังเกียจของนาง เธอยังคงจัดแจงสัมภาระของตนเอง “ที่นี่มีตู้สองตู้พอดีเลย ตู้ทางซ้ายของท่านพี่ ตู้ทางขวาของข้า ท่านพี่คงไม่คัดค้านกระมัง? ถ้าหากท่านพี่ไม่เห็นด้วย ข้าจะบอกให้ท่านตาทวดหาตู้มาให้ใหม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์มองอวี๋หวั่นด้วยสายตารังเกียจ นางหรี่ตาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สรุปแล้วเจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่”
“ไอ้หยา ดูท่านพี่พูดเข้าสิเจ้าคะ ท่านพี่ไม่ได้คิดถึงข้าหรอกหรือ? ท่านคิดว่าข้ามาหาท่านเพื่อแก้เบื่อหรืออย่างไรเจ้าคะ?”
“ปรมาจารย์ไปฝึกวรยุทธ์แล้ว ไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ เจ้าเลิกเสแสร้งสักที!”
อวี๋หวั่นยักไหล่
สตรีศักดิ์สิทธิ์เห็นท่าทางเมินเฉยของอวี๋หวั่น ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ นางเดินเข้าไปถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงย้ายเข้ามาอยู่ในห้องของข้า”
มือของอวี๋หวั่นซึ่งกำลังยื่นเข้าไปวางเสื้อผ้าในตู้ก็ชะงักไป เธอหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม “ข้าจำต้องแย้งเจ้าสักหน่อย ห้องนี้เป็นของข้า ข้าเป็นเหลนแท้ๆ ของท่านทวด ตัวเจ้าแท้จริงแล้วมาจากไหนเจ้าย่อมรู้แก่ใจดี เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ห้องนี้เลย วิหารเจาหยางทั้งหมดล้วนแต่เป็นของข้า”
“เจ้า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์โมโหจนหน้าแดงก่ำ เมื่อนึกถึงบางเรื่องออก ก็พูดแดกดันว่า “เช่นนั้นเจ้ายังฉกชิงสถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังปลอมเป็นข้า แต่งงานเข้ามาในสกุลซือคง เจ้าจะว่าอย่างไร เจ้าถามว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าละเป็นใครกัน?”
อวี๋หวั่นไม่มีทางถูกนางชักจูงได้ง่ายๆ “อ่า ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็คงลืมไปแล้ว ข้าก็เป็นคุณหนูสกุลซือคงเหมือนกัน หากข้าไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายของเจ้ากับคุณชายรอง ไม่รู้ว่าสกุลซือคงจะตัดสินใจยอมรับเจ้าหรือไม่?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หน้าถอดสี “เจ้ากล้ารึ?!”
อวี๋หวั่นตอบด้วยความลำพองว่า “ข้ากล้าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอเพียงท่านทวดสนับสนุนข้าก็พอแล้ว ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด เจ้าย่อมต้องไปฟ้องท่านทวด บอกว่าข้ารังแกเจ้ากระมัง? เจ้าคิดจะให้ข้าตายด้วยน้ำมือท่านตาทวดอย่างนั้นสิ? น่าเสียดาย ที่ในตอนนี้ข้าไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว…ไอ้หยา อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องไล่เจ้าออกไปจากสกุลซือคงก็ได้นี่นา”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อวี๋หวั่นก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดว่า “รอให้หน้ากากหนังมนุษย์ของเจ้าหลุดไปก่อน ชีวิตของเจ้า ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านตาทวดข้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์โมโหจนตัวสั่น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล นางเด็กตัวเหม็นคนนี้พูดไว้ไม่ผิด เมื่อใดที่หน้ากากหนังมนุษย์เสื่อมสภาพ นางก็จะถูกเปิดเผยตัวตน และเมื่อถึงตอนนั้น ปรมาจารย์ซือคงต้องไม่ปล่อยตนเอาไว้แน่
ดังนั้นนางจึงต้องจัดการนางเด็กนี่เสียก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น!
“อยากกำจัดข้าสินะ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามราวกับอ่านใจของนางได้ “เพื่อที่จะทำให้ท่านทวดสัมผัสถึงสถานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไม่ได้ เจ้าจึงต้องกดวรยุทธ์ของวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช่ไหมเล่า? เมื่อไร้วรยุทธ์แล้ว เจ้ากับข้าก็ไม่ได้เหมือนกันหรอกหรือ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดข่มขู่ว่า “เหมือนกันแล้วอย่างไร ข้าสังหารเจ้าได้ก็แล้วกัน!”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว
แน่นอนว่า ลำพังวรยุทธ์อันอ่อนด้อยดังแมวสามขาของเด็กคนนี้ ต่อให้นางไม่มีพลังภายในแล้วอย่างไร ลำพังเพลงยุทธ์ของนางก็สามารถสังหารเด็กนั่นได้อย่างง่ายดาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์คิดได้เช่นนี้ จึงตัดสินใจทำตามแผนนี้
นางลอบหยิบยาสลบซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า จากนั้นเทลงในถังน้ำของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นสูดดมยาสลบเข้าไป และผล็อยหลับทันที่ที่กลับถึงเตียง
สตรีศักดิ์สิทธิ์เห็นเธอนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ก็ยกยิ้มมุมปาก “เจ้าเด็กสมองหมู กล้าต่อกรกับข้ารึ?”
นางหยิบมีดสั้นเล่มงามออกมาจากตู้เสื้อผ้า นี่เป็นมีดสั้นของซือคงอวิ๋น ประเดี๋ยวนางสังหารเด็กนี้ แล้วค่อยโยนความผิดให้ซือคงอวิ๋นซึ่งปลอมตัวเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา ถ้าหากปรมาจารย์ถามนาง นางก็จะบอกว่า ซือคงอวิ๋นปลอมตัวเป็นลูกศิษย์เข้ามา
หากปรมาจารย์ถามถึงแรงจูงใจในการลงมือของซือคงอวิ๋นอีก คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ?
‘นาง’ เคยถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์จับไปยังเรือนของซือคงอวิ๋น ซือคงอวิ๋นถูกตาต้องใจ ‘นาง’ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในสกุล
ซือคงแต่อย่างใด สุ่มจับบ่าวของซือคงอวิ๋นมาให้ปรมาจารย์ไต่สวนก็รู้แล้ว
นางสามารถบอกกับปรมาจารย์ได้ว่า ซือคงอวิ๋นคิดจะลักพาตัวนาง นางยอมตายดีกว่าจะไปกับเขา ทั้งยังประกาศกร้าวว่าจะเปิดโปงเขา ด้วยความตื่นกลัว ซือคงอวิ๋นจึงคิดจะฆ่าปิดปากนางเสีย ทว่าสุดท้ายน้องสาวกลับเข้ามารับมีดนี้แทน
หลังจากนั้นซือคงอวิ๋นก็หนีไป
เพื่อที่จะล้างแค้นให้เหลนผู้เป็นที่รัก ปรมาจารย์ย่อมต้องกลับไปยังสกุลซือคงเพื่อสังหารซือคงอวิ๋น!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เคยรังแกนางไว้ก็จะถูกสังหารสิ้น!
เป็นแผนการที่แยบยลไร้ที่ติเหลือเกิน!
สตรีศักดิ์สิทธิ์คิดแผนนี้ขึ้นมา กำมีดในมือพลางเดินตรงไปหาอวี๋หวั่น
ทันทีที่นางจะปักมีดลงไปนั้นเอง ความเจ็บปวดก็แล่นปราดในท้องของนาง ความปวดร้าวอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกประหนึ่งเครื่องในกำลังบิดวน
นางกดท้องเอาไว้ พร้อมกับงอตัวลง
โครกคราก~
เสียงท้องร้อง…
นะ…นางกินมากเกินไป…จนท้องเสีย…
ผ่านไปครึ่งเค่อ นางจึงกลับไปยังเตียงนอน
ทว่ายังไม่ทันได้ยกมีดขึ้น นางความเจ็บปวดก็แล่นปราดกลับเข้ามายิ่งกว่าเดิม สีหน้าของนางเบี้ยวบูด ยกมือกุมท้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันใด
นางวิ่งไปวิ่งมาเจ็ดแปดรอบ จนไร้เรี่ยวแรงจะคลานกลับห้อง นางคลานข้ามธรณีประตูไปอย่างยากลำบาก ใช้มือดันกำแพงและเครื่องเรือนเพื่อพยุงตนเองขึ้น แล้วเดินไปยังเตียงของอวี๋หวั่นทีละก้าวๆ
แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าซีดเผือดอ่อนแรง
นางยกมีดสั้นขึ้นด้วยมืออันสั่นเทิ้ม “ข้าจะฆ่า…ฆ่า…ฆ่าเจ้า…”
ตึง!
นางหมดสติล้มลงไป…
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นเมื่อฟ้าสว่าง เธอลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วมองไปยังด้านข้าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ แต่เมื่อสายตาของเธอไปหยุดที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม เธอก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน!
สตรีศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับเป็นผีผู้หญิง ขอบตาดำโบ๋ ริมฝีปากขาวซีด หน้าตาแลดูเหนื่อยอ่อน จ้องมองมายังอวี๋หวั่นด้วยสายตาอาฆาต
อวี๋หวั่นตกใจ “จะ…เจ้าเจอผีหรือ?”
เจอผีอะไรละ?
จะสังหารนางเด็กคนนี้ แต่สุดท้ายวิ่งไปเข้าห้องน้ำจนหมดแรง กว่าจะรวบรวมพลังฮึดสุดท้ายคลานกลับเข้าห้องมาได้แทบแย่ ทั้งยังเป็นลมไปอีก กว่าจะฟื้นขึ้นมาก็กลางดึก ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว ทำได้เพียงนอนหลับเอาแรง
แต่ทันทีที่ขึ้นไปนอนบนเตียง เด็กคนนี้ก็ดิ้นมาถีบนาง
นอนไปเรื่อยๆ ก็ดิ้นมาถีบนางอีก
จนนางลุกไปนั่งบนเก้าอี้ อีกฝ่ายจึงนิ่งไป
นางขึ้นไปนอนบนเตียงอีก ก็ถูกลูกถีบของเด็กคนนี้เข้าอีก
นางถูกถีบจนอดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้จงใจแกล้งนาง!!!
อันที่จริงหากจะโทษอวี๋หวั่นก็คงได้ ปกติเธอเป็นคนที่หลับสนิท ยิ่งเมื่อสูดดมยาสลบเข้าไป ก็หลับจนไม่รู้เนื้อรู้ตัว หากจะมีอะไรที่ทำให้เธอรู้ตัว ก็คงเป็นลูกในท้องของเธอที่กำลังขยับ
ขยับเสียจนเธอรู้สึกอึดอัด จนต้องพลิกไปมา
เธอแค่พลิกตัว สตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงกับกลัวจนไม่กล้านอนเตียงเดียวกับเธอเลยหรือ?
“กลัวอะไรขนาดนั้น! เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงรึ!” อวี๋หวั่นเบ้ปาก แล้วลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตา
สตรีศักดิ์สิทธิ์โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา
อย่างไรก็ดี สตรีศักดิ์สิทธิ์หาใช่คนสมองทึบแต่อย่างใด หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น นางค่อยๆ ตระหนักได้ว่าวิธีที่นางใช้นั้นไม่เหมาะสม หากสู้กันด้วยโชค นางไม่อาจสู้เด็กคนนั้นได้ หากสู้กันด้วยปริมาณอาหาร นางก็ไม่ใช่คู่ปรับของเด็กคนนั้นเช่นกัน
แม้ว่าฝ่ามือกับหลังมือจะเป็นเนื้อเหมือนกัน แต่เนื้อที่ฝ่ามือย่อมหนากว่า เพราะฉะนั้นต่อให้นางและเด็กคนนี้จะเป็นเหลนที่ท่านตาทวดยอมรับเหมือนกัน แต่ในใจของท่านตาทวดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรักและเอ็นดูใครคนหนึ่งมากกว่า
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรตนก็เอาชนะเด็กคนนี้ไม่ได้ ไม่สู้…คิดหาวิธีใหม่!
หลังจากอวี๋หวั่นล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ก็กะไปหาอะไรกินในห้องครัว
ทันทีที่เดินออกมากจากห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากนอกห้อง และเสียงกล่าวชื่นชมของซือคงเย่
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปด้วยความสงสัย ก็พบว่าซือคงเย่นั่งอยู่ด้านใน บนโต๊ะตัวเล็กเบื้องหน้ามีอาหารวางอยู่มากมาย สตรีศักดิ์สิทธิ์ถือตะเกียบพลางหันมาพูดกับอวี๋หวั่นว่า “น้องมาแล้วหรือ พวกเรากำลังรอเจ้าอยู่พอดี”
ผู้หญิงคนนี้ อยู่ๆ ก็ปรับสีหน้าให้สดใสได้ขนาดนี้เชียวหรือ? เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม?
อวี๋หวั่นนั่งลงด้วยความแปลกใจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์กระตือรือร้นตักโจ๊กให้อวี๋หวั่นหนึ่งชาม จากนั้นก็คีบอาหารให้อวี๋หวั่น “โจ๊กและบะหมี่เหล่านี้พ่อครัวเป็นคนทำ ส่วนอาหารกินเล่นเหล่านี้ข้าเป็นคนผัดเอง ไม่รู้ว่าถูกปากท่านตาทวดและน้องสาวหรือไม่”
นัยน์ตาของซือคงเย่เปี่ยมไปด้วยความสุข แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด หากแต่เป็นคนขยันขันแข็งและมีความสามารถ
“มือของเจ้า…” ซือคงเย่สังเกตเห็นรอยแผลบนมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนหั่นผักข้าไม่ทันระวังเอง แผลเล็กน้อย ข้าชินแล้ว”
ชินแล้วหรือ? ชีวิตของเด็กคนนี้ต้องลำบากตรากตรำเพียงใดกัน?
ซือคงเย่ขมวดคิ้ว
ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ แม้จะชื่นชมเด็กที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ แต่ก็อดรู้สึกเห็นใจคนที่ร่างกายอ่อนแอไม่ได้
เหลนคนเล็กของเขากินอิ่มนอนหลับ ไม่มีเรื่องให้อนาทรร้อนใจ เขาไม่มีสิ่งใดต้องเป็นห่วง ทว่าเหลนคนโตกลับ
อ่อนแอกว่า กินอาหารก็กินไม่ค่อยลง หลับก็หลับไม่ค่อยสนิท แต่รู้ความเช่นนี้จนเขารู้สึกเอ็นดูเหลือเกิน
อวี๋หวั่นเหลือบมองนางเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ ใช้แผนการเรียกร้องความเห็นใจซะด้วย?
เธอเข้าใจความรู้สึกของท่านทวด เธอมีลูก เดิมทีในบรรดาลูกทั้งสามคน เธอเอ็นดูเสี่ยวเป่ามากที่สุด เพราะเสี่ยวเป่าถูกเหยียนหรูอวี้รังแกมากที่สุด ทว่าภายหลังเด็กทั้งสามเติบโตขึ้นเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป เธอก็รู้สึกเอ็นดูต้าเป่าซึ่งยังพูดไม่ได้มากที่สุด
อวี๋หวั่นจับท้องนูนๆ ของตน
เป็นเพราะเธออ้วนจ้ำม่ำเกินไปหรือ ท่านตาทวดจึงไม่รักเธอ
“ที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้ดูแลน้อง” สตรีศักดิ์สิทธิ์คีบอาหารให้อวี๋หวั่นอีก ราวกับว่าขอเพียงอวี๋หวั่นกินอิ่ม นางก็ไม่มีเรื่องให้รู้สึกผิดอีกต่อไป
………………….