หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 435 ความทรงจำหวนคืน
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง ทว่าในความตกตะลึงนั้น ความกลัวก็ค่อยๆ มลายหายไป แสงแรกแห่งอรุณรุ่งส่องสว่างไปยังแผ่นหลัง ทำให้เกิดเงามืดบดบังใบหน้าของเขา แต่ต่อให้มองไม่ชัดว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็รู้สึกราวกับมีความหวังขึ้นมา
ครั้นเขาเดินเข้ามาใกล้ ฝูงชนต่างมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน และพวกเขาต่างอดรู้สึกตะลึงงันไม่ได้
นี่มัน…คุณชายรอง?
ไม่ ไม่ใช่!
คุณชายรองมิได้มีวรยุทธ์แก่กล้าและท่าทางที่น่าเกรงขามเช่นนี้
จะบอกว่าเป็นท่านปรมาจารย์…ก็ไม่ใช่
ท่านปรมาจารย์มิได้ดูเยาว์วัยถึงเพียงนี้…
ทุกคนต่างอ้าปากค้าง จับจ้องไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่รู้ว่าผู้ใดทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ เขาอุ้มซือคงฉางเฟิงซึ่งยังคงไม่ได้สติเข้าไปในห้อง
ลูกศิษย์วิหารเจาหยางและยอดฝีมือสกุลซือคงรีบตามไป แต่ทันทีที่ถึงห้อง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ใช้พลังภายในผลักประตูปิดดัง ‘ปัง’
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
“เขาเป็นใครกัน”
“ข้าไม่รู้!”
หากมองจากใบหน้าแล้ว คนสกุลซือคงจำนวนไม่น้อยก็ทึกทักไปแล้วว่าเขาคือคุณชายรอง ทว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อมโยงเขาเข้ากับซือคงอวิ๋นอีก
“ร่างของเขามีกลิ่นอายของท่านปรมาจารย์”
“คงไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์หรอกกระมัง?”
“แต่…ข้าไม่ยักเคยได้ยินว่าท่านปรมาจารย์รับลูกศิษย์นี่!”
พวกเขาคาดเดาไปต่างๆ นานา ถกเถียงกันอยู่นานแต่กลับไร้ข้อสรุป
ในตอนนั้นเอง ประมุขซือคงก็มาถึง
การลอบโจมตีเขาหมิงซานของสกุลซางนั้นมิได้เกิดขึ้นเพียงจุดเดียว ในวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเหล่ายอดฝีมือโจมตีเช่นกัน ประมุขซือคงนำยอดฝีมือสิบกว่าคนไปคอยอารักขาตลอดทั้งคืน และการต่อสู้ก็จบลงในยามฟ้าสาง
ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดของสกุลซางล้วนแต่ถูกส่งไปยังวิหารเจาหยาง ยอดฝีมือที่บุกมายังวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์จึงไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก กองกำลังของสกุลซือคงจึงได้รับความเสียหายไม่มาก แต่ก็นับว่าเกินพอแล้ว
ผู้คนต่างเดินไปหาประมุขซือคง และคำนับเขา
“สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไร” ประมุขซือคงเอ่ยถาม เมื่อครู่เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการต่อสู้ เพราะฉะนั้นแม้จะรู้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่นี่ แต่ก็ไม่อาจรุดมาได้ทันท่วงที
องครักษ์ของสกุลซือคงรายงานสถานการณ์ในวิหารเจาหยาง ประมุขซือคงคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าสกุลซางจะไม่ออมมือ เมื่อได้ยินว่ามีราชาซิวหลัวระดับเจ็ดหนึ่งคนและระดับหกอีกสองคน เขาก็มิได้มีท่าทีตกใจเท่าไรนัก แต่เมื่อได้รู้ว่าราชาซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นสิ้นใจใต้คมดาบของซือคงฉางเฟิง เขาก็ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ทำไมฉางเฟิง…”
“คุณชายใหญ่กินยาไป่เฟิ่งตัน…” องครักษ์ชะงักไป แล้วพูดด้วยความลำบากใจว่า “…ทั้งขวดขอรับ”
ประมุขซือคงแทบลมจับ เขาเซถอยไปสองสามก้าว เค้นกำปั้นแน่น “ไฉนจึงโง่เขลาเช่นนี้? ยานั่น…กินมากเกินไปได้ที่ไหนกัน เขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายใหญ่ธาตุไฟเข้าแทรก…คุณ…” องครักษ์อยากบอกว่าคุณชายรองปรากฏตัว จากนั้นก็พาคุณชายใหญ่เข้าห้องไป กระนั้นคำพูดของเขาก็มาหยุดที่ริมฝีปาก เขารู้สึกว่านั่นไม่ใช่คุณชายรอง จึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “มีคนช่วยคุณชายใหญ่เอาไว้ และพาเขาเข้าไปในห้องขอรับ”
ฟ้าสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์ส่องแสงเรืองรองท่ามกลางหุบเขา แสงทองลอดเข้ามาตามช่องประตู ส่องลงบนดวงตาของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นยกมือขึ้นป้อง ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งตื่น
อวี๋หวั่นลุกขึ้นนั่ง
ฟ้าสว่างแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นรีบหันไปมอง เด็กทั้งสามยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เท้าไปทางหัวไปอีกทาง ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉานั้นหายไป
แล้ว
“เยี่ยนจิ่วเฉา!” เธอเลิกผ้าห่มและรุดออกไปตามหาเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับพบผู้ชายร่างกายกำยำล่ำสันสองคนนอนอยู่ที่พื้น คนหนึ่งคืออิ่งลิ่ว อีกคนหนึ่งคือ…
อวี๋หวั่นรีบเดินเข้าไปด้วยความตื่นตระหนก เธอมองพวกเขาอย่างพินิจพิจารณา แล้วพูดขึ้นว่า “นี่มันยอดฝีมือของสกุลซางที่เมื่อวานไล่ตามอาเว่ยไม่ใช่หรือ? เป็นซิวหลัวระดับอะไรนะ?”
อวี๋หวั่นจับชีพจรให้อิ่งลิ่ว เขาเพียงแต่หมดสติไป ไม่ได้เป็นอะไรมาก
จากนั้นเธอจึงใช้มืออังจมูกของคนผู้นั้น ยังหายใจอยู่
น่าแปลก มาเป็นลมอยู่ตรงนี้พร้อมกับอิ่งลิ่วได้อย่างไรกัน? หรือว่าเมื่อวานสกุลซางส่งคนมาโจมตีที่นี่ แต่สุดท้ายก็ถูกอิ่งลิ่วสกัดไว้ได้?
“เก่งมาก อิ่งลิ่ว ไม่รู้มาก่อนเลยว่าหน่วยกล้าตายอย่างเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้!” อวี๋หวั่นลูบคาง เมื่อนึกบางอย่างออก นัยน์ตาของเธอกระตุกวูบหนึ่ง ข้าไม่สน ข้าจะส่งเจ้านี่ไปให้ซิวหลัวบ้านข้า!
อวี๋หวั่นจับราชาซิวหลัวระดับหกขึ้นมา แล้วลากไปยังห้องลับ
หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกมาจากเรือนด้านหน้า เธอปัดฝุ่นบนมือเล็กน้อย พร้อมกับสาวเท้าไปยัง
ต้นเสียง
เยี่ยนจิ่วเฉาและซือคงฉางเฟิงเข้าไปได้ราวๆ หนึ่งชั่วยาม ประมุขซือคงเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่กลับไม่มีใครตอบรับ ทุกคนต่างร้อนใจ แทบรอไม่ไหวแล้ว
“ทำไมเข้าไปนานขนาดนี้”
“เขาทำอะไรอยู่กัน”
“คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง?”
“เกิดอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นรีบเดินเข้าไป
เมื่อประมุขซือคงเห็นว่าเป็นอวี๋หวั่นก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง ทว่าทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปม “เมื่อวานสกุล
ซางส่งมือสังหารมา ฉางเฟิงกินตำรับยาลับเพื่อสู้กับพวกเขา จึงธาตุไฟเข้าแทรก คุณชายเยี่ยนกับฉางเฟิงอยู่ในห้องนี้มาหนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เอ่อ ลูกๆ ของเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นส่ายหน้า เธอมองไปยังประตูซึ่งปิดสนิท “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
ประมุขซือคงพยักหน้า “ได้”
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้อง ยังเดินเข้าไปในห้องไม่ถึงสองก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เธอหันหลังไปยิ้ม พร้อมกับพูดว่า “ที่จริงแล้วท่านประมุข…ก็เป็นห่วงคุณชายใหญ่ใช่ไหมเจ้าคะ?”
ประมุขซือคงอ้าปากพะงาบ
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเนื้อเหมือนกัน แค่เนื้อที่ฝ่ามือนั้นหนากว่า แต่เมื่อเนื้อหลังมือเป็นแผล ก็คงเจ็บไม่ต่างกันกระมัง?”
ประมุขซือคงไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร ความรู้สึกที่เขามีต่อภรรยาคนแรกนั้นไม่เท่ากับภรรยาคนหลัง ทำให้พลอยปฏิบัติต่อลูกทั้งสองคนไม่เท่ากัน ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นลูกในไส้ จะไม่ให้รักได้หรือ?
ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาทำลายตนเองเพื่อปกป้องเขาหมิงซาน ประมุขซือคงก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา
สิ่งแรกที่เขานึกถึงไม่ใช่ ‘เขาหมิงซานมีความสำคัญกับซือคงฉางเฟิงมากเพียงใด’ หากแต่เป็น ‘ในใจของซือคงฉางเฟิงคิดว่าตนเองไม่สำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?’
เขายอมตายเพื่อท่านปรมาจารย์ ยอมตายเพื่อราชันหมื่นสัตว์พิษ…เขาคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสนใจเขา จึงยอมตายเช่นนี้น่ะหรือ?
ประมุขซือคงเงียบไปชั่วขณะหนึ่งแล้วถามอวี๋หวั่นว่า “หากเป็นเจ้า…เจ้าจะทำเช่นนี้หรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ข้ามีคนที่ไม่อาจทิ้งไว้ข้างหลัง ข้าตายไม่ได้ และข้าเชื่อว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็จะไม่เสียสละตนเองโดยที่ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเช่นกัน พวกเราจะคิดหาวิธีเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
ประมุขซือคงพึมพำว่า “เมื่อคืน…คงไม่มีวิธีแล้วกระมัง?”
เขาไม่ได้อยากยอมละทิ้งชีวิตของตนเองเช่นนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น…
อวี๋หวั่นมีสีหน้าเรียบเฉย เรื่องนี้ เธอไม่อาจตอบแทนซือคงฉางเฟิงได้ แต่เธอเชื่อว่าประมุขซือคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
อวี๋หวั่นเดินขึ้นบันไดมาถึงหน้าห้อง ขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู ประตูห้องก็เปิดออกทันใด
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อวี๋หวั่นมองเขา จากนั้นก็มองไปยังซือคงฉางเฟิงซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แล้วถามว่า “พวกท่านสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ข้าจะเป็นอะไรไปได้?” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เขาละ?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘ชิ’ ด้วยความเย่อหยิ่ง “อวี๋อาหวั่น เจ้าคิดว่าข้าจะถึงกับไม่มีวิธีจัดการกับคนที่ธาตุไฟเข้าแทรกเชียวหรือ?”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรสินะ?” อวี๋หวั่นนัยน์ตาเป็นประกาย เธอยิ้มกว้างพร้อมกับบอกว่า “สามีข้าเก่งจริงๆ!”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอตวัดสายตามองเยี่ยนจิ่วเฉา “มะ…เมื่อกี้ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“เปล่านี่” เยี่ยนจิ่วเฉาเดินลงบันไดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ แล้วเดินตามไป “ท่านเรียกข้าว่าอวี๋อาหวั่น!”
“เจ้าฟังผิดแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์
“ข้า…ข้าไม่ได้ฟังผิด! ท่านเรียกข้าว่าอวี๋อาหวั่น! ท่านจำได้แล้วใช่ไหม?”
“เปล่า”
“เปล่า?” อวี๋หวั่นชะงักไป “ไม่! ท่านไม่ถามข้าด้วยซ้ำว่าจำอะไรได้ ท่านก็ตอบว่าเปล่า! ทะ ทะ ท่าน…ท่านจำได้แล้ว!”
“ข้าเปล่า!” เยี่ยนจิ่วเฉาสาวเท้าออกจากห้องไป อวี๋หวั่นรีบตามไป ปิดประตูและลงกลอนเสียเสร็จสรรพ!
‘หนีงานแต่งของข้า ยังจะหนีไปเช่นนี้อีกหรือ?’
‘คืนนี้ ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ไม่ให้เจ้าหนีไปไหนอีก!’
‘แม่นาง ทางที่ดีอย่าเล่นแง่ให้มาก ข้าจะรออยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวก็สวมชุดแต่งงาน แล้วแต่งงานกับข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าหนีไปอีก!’
‘เหอะ ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานกับเจ้าคนจงหยวนหน้าขาวนั่น…ชื่อเยี่ยนจิ่วเฉารึ?’
‘ชักสีหน้าใส่ข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?! เจ้าคงไม่อยากรู้หรอกว่าข้ามีวิธีทรมานเจ้าอย่างไร…’
‘ลูกชายของข้า ต้าเป่า เอ่อร์เป่า และเสี่ยวเป่า หลังจากแต่งงานแล้ว พวกเขาก็เป็นลูกของเจ้า!’
‘เช่นนั้น…ท่านมีลูกกับใครละ?’
‘ก็ต้องเป็นสตรีที่ข้ารักน่ะสิ!’
‘เจียงป้าเทียน เจ้าหึงหรืออย่างไร?’
……
……
……
ความทรงจำมากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมองของเยี่ยนจิ่วเฉา จนใบหูของเขาแดงก่ำ
เขารู้สึกอับอายจนต้องกุมขมับ
เขาเป็นคนพูดคำพูดน่าขันเหล่านี้ออกมาจริงรึ?
ยะ…อยากจะบ้าตาย!
………….