หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 438 ความจริงของเขตหวงห้าม
ชิงเหยียนกลืนน้ำลายด้วยความสยดสยอง ภาพเหตุการณ์นั้นน่ากลัวเหลือเกิน เพียงแค่เขานึกย้อนกลับไปก็ขาสั่นแล้ว
น้อยครั้งนักที่อวี๋หวั่นจะเห็นเขาเป็นเช่นนี้ คล้ายกับครั้งก่อนที่เขาเผชิญหน้ากับซิวหลัวไม่มีผิด สิ่งที่ต่างออกไปก็คือพลังของซิวหลัวนั้นน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน ทว่าครั้งนี้ พวกชิงเหยียนมีชีวิตรอดกลับมาได้ อย่างน้อยก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ถูกจับได้ ในเมื่อพวกนั้นยังไม่ได้ลงมือ แล้วชิงเหยียนกลัวอะไรกัน?
อวี๋หวั่นอดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้ ชิงเหยียนใบหน้าซีดเผือด แถมยังพูดไม่ออก เธอจึงหันไปหาเยว่โกวซึ่งอยู่ด้านข้าง “เจ้าก็เห็นใช่ไหม?”
เยว่โกวกำหมัดแน่น เขาส่ายหน้าช้าๆ “ชิงเหยียนไม่ยอมให้ข้าดู”
ในตอนนั้น เพื่อที่จะสำรวจเส้นทาง พวกเขาพาอาม่าและชุยเฒ่าไปหลบในโพรงไม้ ส่วนพวกเขาสองคนก็บังเอิญเข้าไปเขตหวงห้าม พวกเขาไม่รู้ว่าที่นั่นคือเขตหวงห้าม ภายหลังเยี่ยนจิ่วเฉาถาม พวกเขาจึงอธิบายให้ฟัง และเยี่ยนจิ่วเฉาบอกพวกเขาว่าที่นั่นคือเขตหวงห้าม
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของชิงเหยียนนั้นว่องไว ทันทีที่เข้าไปในเขตหวงห้าม เขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในทันที จากนั้นพวกเขาก็เห็นบ่อเลือดบ่อหนึ่ง มันไม่ได้หยุดนิ่ง คล้ายกับว่ามีบางอย่างแหวกว่ายไปมาในบ่อเลือดนั้นช้าๆ ทำให้กลิ่นคาวเลือดจากในบ่อรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
สัญชาตญาณบอกชิงเหยียนว่าที่นั่นอันตราย เขาจึงยกมือขึ้นปิดตาของเยว่โกว
หลังจากนั้น…
ชิงเหยียนก็เห็นคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง
“ผู้ชาย? ผู้หญิง?” อวี๋หวั่นชะงักไป คล้ายกับกำลังใช้ความคิด “ประมุขซางกับสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”
“ผู้ชายคนนั้นข้าไม่รู้จัก แต่ผู้หญิงคนนั้น…เป็นไปได้มากว่าจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์” ชิงเหยียนหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “นางสวมหน้าของเจ้า ข้ามองครั้งแรกยังคิดเสียอีกว่าเป็นเจ้า แต่รูปร่างและวิธีการพูดของนางไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด หลังจากที่ข้านึกได้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ปลอมตัวเป็นเจ้า คำพูดของผู้ชายคนนั้นทำให้ข้ามั่นใจว่านางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า…”
“ทำไมหรือ?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์สกุลหลานคนนั้นไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวหรอกหรือ? แต่ข้าได้ยินเขาเรียกนางว่า…เรียกนางว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วง”
“หา? เป็นไปได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นตื่นตะลึง
ทันใดนั้น อาม่าซึ่งนั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นว่า “คงเป็นเพราะสกุลซางมียาอะไรสักอย่างที่สามารถเพิ่มพลังปราณในเส้นเลือดได้”
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ “มีอย่างนี้ด้วยหรือ?”
“ยานั้นจะทำให้นางอายุสั้น” อาม่ากล่าว “และทำให้นางไม่สามารถมีทายาทได้”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ถ้าหากสายเลือดของสตรีศักดิ์ไม่อาจถ่ายทอดต่อไปได้ เช่นนั้นต่อให้แข็งแกร่งไปก็ไร้ประโยชน์ ทำไมนางโง่ขนาดนี้นะ”
ชิงเหยียนนึกถึงบทสนทนาที่เขาได้ยินในถ้ำ…
‘อีกไกลแค่ไหนกัน?’
‘ใกล้ถึงแล้ว’
‘เหม็นเหลือเกิน เจ้าจะพาข้าไปดูอะไร นำออกมาให้ข้าดูไม่ได้รึ ข้าไม่อยากเข้าไป!’
‘เจ้าจะไม่เข้าไปได้อย่างไรกัน? เดิมทีข้าคิดจะใช้ราชาศักดิ์สิทธิ์มาป้อนมัน แต่น่าเสียดายที่จับไม่ได้ คิดๆ ดูแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงก็ไม่เลวเหมือนกัน’
บทสนทนาของสตรีศักดิ์สิทธิ์กับผู้ชายคนนั้น ชิงเหยียนจำได้แม่นไม่มีตกหล่นสักคำเดียว
ชิงเหยียนมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองไปยังท้องของเธอ คล้ายกับว่ามีเรื่องจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองชิงเหยียน จากนั้นจึงพูดกับอวี๋หวั่นว่า “เสี่ยวเป่าเรียกหาเจ้าอยู่”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
อวี๋หวั่นออกไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากปิดบังเธอแต่อย่างใด แต่เธอกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากบอกว่าลูกของเธอเป็นเป้าหมายที่เลวร้ายเช่นนี้ เธอย่อมต้องกังวล และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอคิดว่าตนเองเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่สกุลหลานเคยมีมา และพวกเขาก็ไม่กล้าบอกความจริงกับเธอ…
ชิงเหยียนเล่าสิ่งที่ตนได้ยินในถ้ำให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง
เมื่อฟังจากคำพูดและน้ำเสียงโอหังเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหลานจีไม่ผิดแน่ ส่วนผู้ชายอีกคนหนึ่ง จากรูปร่างหน้าตาและท่าทางตามคำบอกเล่าของชิงเหยียน เยี่ยนจิ่วเฉาคิดว่าเป็นประมุขสกุลซาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมถูกสกุลซือคงสอบสวน ทำร้ายลูกศิษย์วิหารเจาหยาง คิดว่าสกุลซางจะช่วยปกป้องตนเอง แต่กลับหนีจากรังสุนัขป่าไปเข้าถ้ำเสือแทน
“จิ่วเฉา เจ้าดูไม่ตกใจสักเท่าไร เจ้าเดาได้แต่แรกแล้วใช่ไหม?” ชิงเหยียนมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
“พอจะเดาได้บ้าง” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
หลังจากเผชิญหน้ากับหนอนพิษพลังหยินของสกุลซาง เขาและอวี๋หวั่นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดรุนแรง เดิมทีเขาคิดว่าเป็นกลิ่นอายของหนอนพิษพลังหยิน แต่เมื่อจับหนอนพิษหลังหยินได้แล้ว เขาก็พบว่าบนร่างของมันไม่มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น เหล่ายอดฝีมือสกุลซางก็บุกมายังเขาหมิงซาน
ในช่วงเวลาคับขัน ยอดฝีมือทั้งหมดมุ่งตรงมาหาเขาและอวี๋หวั่น คนอื่นคิดว่ายอดฝีมือเหล่านั้นจะมาฆ่าเขา มี
เพียงเขาที่รู้ว่า แท้จริงแล้วพวกนั้นหมายเอาชีวิตของเด็กในท้องของอวี๋หวั่น และเมื่อได้ฟังบทสนทนาของประมุขซางและสตรีศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ เรื่องราวทั้งหมดก็ตรงกับสมมติฐานของเขาพอดิบพอดี
สตรีศักดิ์สิทธิ์และราชาศักดิ์สิทธิ์เป็นสายเลือดเดียวกัน หากจับราชาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ก็ยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์มาติดกับดัก เยี่ยนจิ่วเฉาเดาได้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปสกุลซางก็มิได้มีผลดีต่อตัวนางแต่อย่างใด และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ประมุขซือคงยอมเสี่ยงถูกสกุลซางโจมตีเพียงเพื่อไปจับนาง
เรื่องนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็คือเจ้าปีศาจนั่นได้รับเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไป ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นมาก ส่วนข้อดีก็คือมันได้เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว อย่างน้อยในช่วงนี้ก็คงไม่คิดโจมตีราชาศักดิ์สิทธิ์
ชิงเหยียนกระจ่างในทันที ถ้าหากเป็นเขา เขาคงไม่ได้สนใจสัตว์ปีศาจนั่น และออกตามล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับมา แต่ผลของการไล่ตามสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปย่อมอยู่เหนือจินตนาการ อีกทั้งสกุลซางต้องคิดหาทางมาจับราชาศักดิ์สิทธิ์ไปอีก โดยที่เขาหมิงซานและสกุลซือคงยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอเสียด้วยซ้ำ
“เป็นจิ่วเฉาที่มองออก” ชิงเหยียนตบบ่าของเยี่ยนจิ่วเฉาเบาๆ แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉามองด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาจึงยกมือขึ้นถูจมูกด้วยความขุ่นเคือง แล้วพึมพำว่า “จะว่าไป สกุลซางเลี้ยงตัวอะไรไว้กัน?”
“หลัวช่า” อาม่าตอบ
“หลัว…ช่า?” ชิงเหยียนตะลึงงัน
อาม่าขมวดคิ้ว กล่าวว่า “หลัวช่า เดิมทีเรียกว่าซิวหลัวพลังหยิน เป็นหน่วยกล้าตายที่แข็งแกร่งเหมือนกับซิวหลัว แต่โหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่ามาก วรยุทธ์ที่พวกเขาฝึกนั้นร้ายกาจ หากถูกหลัวช่าทำร้าย จะไม่มีทางรอดชีวิต อีกอย่างหลัวช่าในบ่อเลือดของสกุลซางนั้นไม่ใช่หลัวช่าธรรมดา หากแต่เป็นหลัวช่าโลหิตที่กระหายเลือด หลัวช่าโลหิตถูกเลี้ยงด้วยเลือดและพิษ หนอนพิษพลังหยินที่สกุลซางเลี้ยงไว้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องสังเวยเจ้านั่นเช่นกัน”
เมื่ออาม่ากล่าวเช่นนี้ ชิงเหยียนก็เข้าใจทันที “มิน่าเล่าสกุลซางจึงแทบพลิกแผ่นดินตามหาหนอนพิษพลังหยิน…น่าเสียดายที่ตามหาไม่พบ และในตอนนั้นเองพวกเขาก็รู้ว่ามีราชาศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น…”
อาม่าพยักหน้า “ราชาศักดิ์สิทธิ์นับว่าเป็นเครื่องสังเวยชั้นดี ดีกว่าหนอนพิษพลังหยินเสียอีก ถ้าหากหลัวช่าโลหิตกินราชาศักดิ์สิทธิ์เข้าไป พลังอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเก้า และกลายเป็นราชาหลัวช่า เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งหมิงตูก็จะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีก”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ชิงเหยียนถาม
อาม่าตอบว่า “ต้องฆ่าให้ได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นราชาหลัวช่า!”
ชิงเหยียนกระซิบถามว่า “แล้วฆ่าอย่างไรหรือ?”
“วิชาอายุวัฒนะสามารถใช้ควบคุมหลัวช่าโลหิตได้ แต่ว่าระดับของพลังจะต้องไม่ต่างกันมาก หากปรมาจารย์ซือคงออกมาแล้ว อาจสังหารมันได้ พวกเจ้า…” อาม่าไม่อยากพูดตอกย้ำพวกเขา แต่พลังของหลัวช่าโลหิตนั้นแข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าไปในเขตหวงห้ามของสกุลซาง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของหลัวช่าโลหิต ความต่างของระดับพลังระหว่างพวกเขากับหลัวช่าโลหิตทำให้พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้ด้วยจำนวนคนและกลยุทธ์
ชิงเหยียนก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง “เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้แค่นั่งรอความตายหรือ?”
อาม่าถอนหายใจ “ต้องรอดูว่าปรมาจารย์ซือคงสามารถบรรลุระดับเก้าได้ก่อนที่หลัวช่าจะกลายเป็นราชาหลัวช่าหรือไม่”
เมื่อใดที่หลัวช่าเปลี่ยนเป็นราชาหลัวช่า มันก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คงกระพัน และในตอนนั้น แม้แต่วิชาอายุวัฒนะระดับเก้าก็จะทำอะไรมันไม่ได้แล้ว
ชิงเหยียนเพียงจินตนาการว่าวันหนึ่งเจ้าคนในบ่อเลือดนั่นจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดอมตะฆ่าไม่ตาย ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ “อาม่า เรื่องพวกนี้ท่านได้ยินมาจากที่ไหนหรือ?”
อาม่าตอบว่า “พักนี้ข้าอ่านตำราของสกุลซือคงมาไม่น้อย ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับหลัวช่าโลหิต”
ชิงเหยียนถามด้วยความคับข้องใจว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ?”
“มี” อาม่าตอบ
“วิธีอะไรหรือ” ชิงเหยียนมองเขา
นัยน์ตาของเยี่ยนจิ่วเฉาก็กระตุกวูบหนึ่ง
“ราชาพ่อมด” อาม่าตอบ “ราชาพ่อมดสังหารราชาหลัวช่าได้”
ชิงเหยียนจิตในห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ แม้แต่พ่อมดธรรมดาพวกเราก็ยังหาไม่พบ จะไปหาราชาพ่อมดจากที่ไหนกัน? ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าท่านปรมาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าเขาจะออกมาจากห้องโดยเร็วที่สุด และฆ่าหลัวช่านั่นซะก่อนที่พลังของมันจะเพิ่ม!”
ทุกคนลุกขึ้นและเดินกลับห้องของตนเองไป อวี๋หวั่นนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือตำราวิชาอายุวัฒนะที่ซือคงเย่มอบให้
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นลงไปนอนบนเตียงนุ่ม และห่มผ้าให้เธอเสียก่อน จากนั้นจึงหยิบตำราวิชาอายุวัฒนะมาพลิกอ่านทีละหน้าๆ
……………..