หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 443 หลัวช่าโลหิตสำแดงพลัง
คฤหาสน์สกุลซาง
ดวงจันทร์ลอยจรดยอดไม้ ประมุขซางนั่งอยู่ในห้องหนังสือ พลิกอ่านแผนการครอบครองหมิงตูซึ่งนายทหารคนหนึ่งมอบให้ นี่คืองานสกุลซือคง แต่สกุลซือคงคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เมื่อใดที่สกุลซางขึ้นมาเป็นราชวงศ์แห่งหมิงตูแทนที่สกุลซือคง ตำแหน่งเจ้าเมืองหมิงตูก็ต้องตกเป็นของเขาวันยังค่ำ
เรื่องบางเรื่อง ปรับตัวล่วงหน้า เตรียมการแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า
ประมุขซางกำลังฮึกเหิม ทันใดนั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งหัวหกก้นขวิดเข้ามา “รายงานท่านประมุข…”
ทันทีที่องครักษ์เริ่มเอ่ยปาก ประมุขซางก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
องครักษ์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังรบกวนเจ้านาย จึงรีบถอยออกไปพร้อมกับกระแอมเบาๆ แล้วรายงานว่า “ท่านประมุข ข้าน้อยขอเข้าพบขอรับ”
สกุลซางเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ มิได้มีธรรมเนียมปฏิบัติมากมายนัก ทว่าในเมื่อกำลังจะเข้ามาแทนที่สกุลซือคง ประมุชซางจึงยกเอากฎระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ซือคงมาใช้ทั้งหมด
ประมุชซางวางตำราในมือลง ดื่มชาหนึ่งตำ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อนว่า “เรื่องอะไร เหตุใดต้องร้อนรนเช่นนี้”
องครักษ์เห็นท่าทีไม่ยี่หระของประมุขซางก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาจึงรีบตอบว่า “เรียนท่านประมุข เกิดเรื่องในเขตหวงห้ามขอรับ”
“เขตหวงห้าม?” มือซึ่งถือถ้วยชาของประมุขซางชะงักไป ในใจนึกอยากบริภาษเขาว่าทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ทว่าคำพูดกลับมาหยุดที่ริมฝีปาก เพราะนึกได้ว่าตนเป็นคนริเริ่มให้ใช้กฎนี้ เขาจึงกระแอมเล็กน้อยแล้วถามว่า “หนอนพิษพลังหยินถูกขโมยไปแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรอีก?”
เขาย่อมไม่คาดคิดว่าหลัวช่าโลหิตจะเกิดเรื่อง อย่างไรเสียหลัวช่าโลหิตก็แข็งแกร่ง ผู้ที่มีโอกาสเกิดเรื่องมากที่สุดในสกุลซางก็คือเขา
องครักษ์ทำใจดีสู้เสือตอบไปว่า “หลัวช่าคลุ้มคลั่ง สังหารยอดฝีมือสกุลซางไปหลายคนแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ?!” ประมุขซางลุกพรวดขึ้นยืน เขาไม่สนตำรับตำราการครองเมืองอีกต่อไป กระวีกระวาดไปยังเขตหวงห้ามในทันที
ในเขตหวงห้าม หลัวช่าโลหิตสังหารราชาซิวหลัวระดับหกไปสามคน และกำลังจะสังหารคนที่สี่ สิ่งที่สำคัญก็คือ แม้ว่ายาของสกุลซางจะเพิ่มระดับพลังของซิวหลัว แต่มิใช่ว่าจะจับสุ่มหน่วยกล้าตายมาเปลี่ยนให้เป็นราชาซิวหลัวได้ง่ายดาย โดยเฉพาะราชาซิวหลัวระดับห้าขึ้นไป หากสังหารไปหนึ่งคน ก็มิใช่ว่าจะสามารถฝึกขึ้นมาได้ใหม่ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
ก่อนหน้านี้ในการต่อสู้กับสกุลซือคงก็สูญเสียไปหลายคน ตอนนี้ก็ต้องมาสูญเสียไปอีกสามคนโดยใช่เหตุ ประมุขซางปวดใจเหลือเกิน!
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ประมุขซางเดินขึ้นไปบนสะพานไม้ ตวาดใส่หลัวช่าโลหิตซึ่งกำลังบิดคอราชาซิวหลัวคนที่สี่
ครึ่งร่างของหลัวช่าโลหิตจมอยู่ในบ่อเลือด ศพของราชาซิวหลัวสามคนลอยล่องอยู่บนบ่อเลือด เลือดของพวกเขาถูกปล่อยลงสู่บ่อเลือดจนร่างซูบซีด กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าช้อนศพของพวกเขาขึ้นมา แม้แต่จะเข้าไปใกล้บ่อเลือดก็ยังไม่กล้า
มีเพียงประมุขซางที่กล้าทำเช่นนี้
น่าเสียดายที่หลัวช่าโลหิตมิได้สนใจเขา
“ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยินรึ?!” ประมุขซางตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ครั้งนี้หลัวช่าโลหิตกลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง มันค่อยๆ หันหลังมา ดวงตาสีเขียวดุจอสูรกายจ้องเขม็งไปยังประ
มุขซาง
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!” ประมุขซางออกคำสั่งอีกครั้ง
หลัวช่าโลหิตปล่อยเขาลง ทว่าทันใดนั้นก็ฉีกเขาเป็นสองซีก
ประมุขซางโมโหจนแทบลมจับ!
เลี้ยงหลัวช่าโลหิตมานานหลายปี หากจะบอกว่าเขาไม่เคยพลั้งมือสังหารคนก็คงเป็นไปไม่ได้ ยามที่พวกเขาให้
อาหารเขาไม่เพียงพอ หลัวช่าโลหิตก็จะจับยอดฝีมือของสกุลซางมาแล้วดื่มเลือดพวกเขา ทว่าหลังจากที่ได้รู้นิสัยของหลัวช่าโลหิตและรู้เรื่องเครื่องสังเวยที่เขาต้องการ สกุลซางก็ไม่เคยเกิดเรื่องขึ้นอีก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาให้อาหารไม่เพียงพอ หลัวช่าโลหิตไม่ได้ดูดเลือดของพวกเขา แต่เขากำลังโกรธ
น่าแปลก มีเรื่องอะไรให้โกรธหรือ?
เมื่อวันก่อนก็เพิ่งให้เครื่องสังเวยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงไปมิใช่หรือ สตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเป็นเครื่องสังเวยที่ดีกว่าหนอนพิษพลังหยินเสียอีก เขาก็ควรจะดีใจ ควรจะพอใจสิ
สกุลซางยังไม่เข้าใจอยู่ดี เขาทำได้เพียงเค้นสมองครุ่นคิด “เจ้าเป็นอะไรไป อยากได้เครื่องสังเวยอีกแล้วหรือ? ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่ารอหลังจากนี้อีกสองสามวันค่อยให้เจ้ากินราชาศักดิ์สิทธิ์?”
ความเดือดดาลปรากฏขึ้นบนใบหน้าอาบเลือด ทันใดนั้น เสียงแหบพร่าฟังไม่ค่อยถนัดหูก็ดังขึ้น “ปล่อย…ข้า…ออก…ไป…”
เสียงนี้ฟังดูไม่ยักเหมือนกับเป็นเสียงมนุษย์จะเปล่งออกมาได้
สกุลซางจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่หลัวช่าโลหิตพูดนั้นคือเมื่อใด สิบปีก่อน? สิบห้าปีก่อน? ไม่พูดมานานถึงเพียงนี้ มิน่าแปลกใจที่เมื่อเขาพูดออกมาแล้วจะฟังดูประหลาดนัก
ประมุขซางใช้เวลานานโขกว่าจะฟังออกแต่ละคำ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ทว่าเขาก็ตั้งสติได้ จึงมองลงไปยังหลัวช่าโลหิต แล้วกล่าวว่า “เจ้าออกไปไม่ได้ เจ้าลืมแล้วหรือ?”
หลัวช่าโลหิตคำรามลั่น สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง!
ความน่าเกรงขามของเขาทำให้เหล่ายอดฝีมือสกุลซางกลัวจนต้องผงะถอยไป มีเพียงประมุขซางเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าราบเรียบ
สกุลซางสะสมขุมกำลังเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ในหมิงตู บ่อเลือดนี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของสกุลซาง ผนังและก้นบ่อทำจากเหล็กนิล ในบ่อมีเส้นทางไปยังเรือนที่หลัวช่าโลหิตอาศัยอยู่ เรือนทำจากโลหะนิล อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นกรงขังก็คงได้ อีกทั้งข้อเท้าขวาของหลัวช่าโลหิตมีโซ่เหล็กนิลล่ามเอาไว้ ตั้งแต่บ่อเลือดจนถึงเรือน มีโซ่เหล็กยาวไปตลอดทาง นี่เป็นประดิษฐกรรมที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ มีเพียงสกุลซางเท่านั้นที่ทำได้
ประมุขซางมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แลดูมิได้เกรงกลัวหรือเห็นใจ “นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าเอง ทั้งบ่อเลือด ทั้งกรงขัง เป็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นมาเอง เจ้าเคยบอกว่าขอเพียงกลายเป็นราชาหลัวช่า เจ้าจึงจะสามารถทำลายโซ่นี้และออกไปจากกรงขังนี้ได้…เรื่องเหล่านี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
หลัวช่าโลหิตคำรามด้วยความโกรธ!
ประมุขซางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หลายปีมานี้ทุกอย่างล้วนราบรื่น ไม่เคยเห็นหลัวช่าโลหิตเป็นเช่นนี้ บัดนี้พลังของเขาห่างจากระดับราชาหลัวช่าโลหิตอีกไม่เท่าไร ไฉนจึงรีบร้อนอยากออกไปนัก!
ประมุขซางเรียกองครักษ์ “พวกเจ้า ออกไปสำรวจเขตหวงห้าม!”
หลัวช่าโลหิตต้องถูกบางอย่างกระตุ้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางทำตัวประหลาดเช่นนี้
“ขอรับ” ประมุขซางเรียกพวกเขาอีกครั้ง เขามองไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อโลหิต ทางนั้นเป็นเขาร้างที่ไม่มีผู้ใดผ่านไปมา ตามหลักแล้วคงไม่มีปัญหา แต่เพื่อความปลอดภัย ตรวจตราไว้ก่อนย่อมดีกว่า “ตรวจสอบด้านในแล้วก็ส่งคนไปตรวจตราบนเขาร้างด้วย
“ขอรับ! ท่านประมุข!” องครักษ์รีบออกไป
สกุลซางมองไปยังหลัวช่าโลหิตซึ่งคลุ้มคลั่ง แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
หลังจากที่ทุกคนออกไป อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่ในถ้ำก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังจากที่ทั้งสองและชิงเหยียนแยกทางกันไป ก็กลับมายังถ้ำนี้อีกครั้ง
เดิมทีพวกเขาคิดจะมาดูว่าสกุลซางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรเมื่อรู้ว่าหลัวช่าโลหิตหายไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาล่วงรู้ความลับสุดยอดเช่นนี้
ครั้งแรกที่เห็นหลัวช่าคนนี้ พวกเขายังคิดเสียอีกว่าหลัวช่าที่ไล่ตามชิงเหยียนไปนั้นกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อฟังจากคำพูดของประมุขซางแล้ว จึงรู้ว่าหลัวช่าคนนี้ออกไปจากถ้ำไม่ได้ หรือกล่าวอย่างง่ายก็คือ สกุลซางเลี้ยงหลัวช่าไว้สองคน!
อีกทั้ง หลัวช่าโลหิตคนนี้…ยินดีที่จะอยู่แบบนี้เอง!
เรื่องที่สามที่ทำให้ทั้งสองตกใจก็คือสกุลซางคล้ายกับจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหลัวช่าอีกคนหนึ่ง ส่วนหลัวช่าคนนี้น่าจะรู้เรื่องนี้ อย่างไรเสียก็เป็นพวกเดียวกัน เขาย่อมต้องสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้
เช่นนั้นที่เขาอยากออกไป ก็เพื่อตามหาหลัวช่าอีกคนหรือ?
คนสกุลซางกำลังจะเข้ามาใกล้แล้ว ทั้งสองไม่อาจอยู่ตรงนี้นาน พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน หมายจะออกไปจากที่นี่ พร้อมกับทำลายร่องรอยของพวกเขาด้วย
ไม่คาดคิดเลยว่าในตอนนั้นเอง หลัวช่าโลหิตก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคย เขาหันหลังมามองในทันใด!
อิ่งลิ่วเห็นหน้าของเขาเต็มสองตา…
……
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันกลับมาถึงเขาหมิงซานในช่วงบ่ายของวันต่อมา ทั้งสองเกือบถูกหลัวช่าโลหิตพบเสียแล้ว โชคดีที่ประมุขซางย้อนกลับมา คล้ายกับว่ามีเรื่องคุยกับหลัวช่าโลหิตอีก พวกเขาจึงถือโอกาสหนีออกมา หลังจากที่พวกเขาจมลงไปในบ่อเลือด ร่างของพวกเขาก็ถูกพลังปราณร้ายเข้าแทรกซึม หนีไปได้เพียงครึ่งทางก็หมดสติไป โชคดีที่ไม่ถูกคนสกุลซางพบเข้า
หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปยังวิหารเจาหยาง ก็ตรงไปหาเยี่ยนจิ่วเฉาทันที เยี่ยนจิ่วเฉากำลังปรึกษาอาม่าเรื่องหลัวช่าโลหิต ชิงเหยียน เยว่โกว และประมุขซือคงล้วนอยู่ตรงนั้น
“พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”
ชิงเหยียนและอิ่งลิ่วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ชิงเหยียนมีสีหน้าขึงขังในทันใด “ยังมีชีวิตอยู่อะไรละ? คิดว่าข้าถูกหลัวช่าโลหิตไล่ตามไม่ทันไรก็จะตายแล้วหรือ? อีกอย่าง พวกเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าอาจตายได้ แต่ก็ยังให้แยกกันหนีอีกรึ! เราไม่ใช่พี่น้องกันหรืออย่างไร?!”
อิ่งลิ่วยกมือขึ้นถูจมูกด้วยความขุ่นเคือง “เหอะ เจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“เสียเวลาเป็นห่วงพวกเจ้าจริงๆ!” ชิงเหยียนกลอกตา คร้านจะสนใจเจ้าสองคนนี้
“เข้าประเด็นเถิด” อิ่งสือซันเอ่ยขึ้น “พวกข้าออกมาจากเขตหวงห้ามของสกุลซางตั้งแต่เมื่อวาน”
ชิงเหยียนตกใจ “อะไรกัน? กว่าจะหนีออกมาได้แทบแย่ แต่พวกเจ้ากลับไปอีกน่ะหรือ? พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าที่นั่นยังมีหลัวช่าอยู่อีกตัวหนึ่ง? ต่อให้ไม่มี ราชาซิวหลัวของสกุลซางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
เพราะฉะนั้น อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันจึงไม่ได้ตามไปช่วยชิงเหยียนที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ทว่ากลับเสี่ยงชีวิตปฏิบัติภารกิจต่อ พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปสืบข้อมูลของสกุลซางมาให้ได้
ปฏิกิริยาของชิงเหยียนทำให้อิ่งลิ่วรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาไม่เพียงไม่กล่าวโทษพวกเขา แต่ยังเป็นห่วงพวกเขาอีกด้วย…
ทันใดนั้นอิ่งลิ่วก็พูดขึ้นว่า “ช้าก่อน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสกุลซางยังมีหลัวช่าโลหิตอีกตัวหนึ่ง”
ชิงเหยียนเลิกคิ้ว “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
อิ่งลิ่ว “เจ้า…”
อิ่งสือซันยังไม่ได้คล้อยตามชิงเหยียน เขาพูดต่อว่า “ข้ารู้สึกว่า หลัวช่าโลหิตที่ข้าพบตอนที่ย้อนกลับไปนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวที่ไล่ตามพวกเรามาอยู่สักหน่อย แล้วก็ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร อยู่ๆ มันก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา”
ชิงเหยียนหัวเราะออกมา “ลูกหายไปทั้งคน ไม่ให้คลุ้มคลั่งได้อย่างไร?”
อิ่งลิ่วชะงักไป “ลูก? เจ้าหมายความว่า…หลัวช่าโลหิตที่ตามพวกเรามา? พวกเขาเป็นพ่อลูกกันหรือ?”
ชิงเหยียนไม่ได้ตอบคำถามของอิ่งลิ่ว เพียงแต่ตบอก “เป็นหลัวช่าเพศชาย เจ้าเปี๊ยกนั่นสวมชุดของสตรี ข้ายังคิดเสียอีกว่าหลัวช่าโลหิตตัวนี้เป็นเด็กผู้หญิง!”
“เจ้าเปี๊ยกนี่หมายความว่าอะไรอีก?” อิ่งลิ่วถามอย่างไม่เข้าใจ เขาหายไปเพียงคืนเดียวไม่ใช่รึ? ทำไมรู้สึกเหมือนพลาดไปทั้งชีวิต!!
ชิงเหยียนเล่าเรื่องที่พวกเขาจับหลัวช่าน้อยให้ทั้งสองฟังอย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองอ้าปากค้าง หลัวช่าอีกคนหนึ่งเป็นหลัวช่าเด็กอย่างนั้นหรือ?
อิ่งลิ่วพูดด้วยความตกใจว่า “เช่นนั้น…คุณชายคิดว่าจะจัดการเขา…มัน…อย่างไรหรือขอรับ?” หากว่ากันตามหลักแล้ว หลัวช่านั้นไม่ใช่คน
“อสูรเช่นนี้ ย่อมต้องกำจัดทิ้ง” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าพูดต่อสิ เจออะไรในเขตหวงห้ามบ้าง”
อิ่งสือซันมีสีหน้าจริงจัง “หลัวช่าตัวนั้นยินยอมที่จะถูกสกุลซางเลี้ยงไว้ ฟังจากน้ำเสียงของประมุขซาง พวกเขาคล้ายกับจะรู้จักกันมานานแล้ว อิ่งลิ่วเห็นว่าลักษณะของมันเป็นอย่างไรขอรับ”
“วาดรูปออกมา” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
“ขอรับ!” อิ่งลิ่วรับพู่กันและกระดาษมาจากอาม่า แล้ววาดรูปออกมาจากความทรงจำของเขา
เมื่อเห็นใบหน้าที่อิ่งลิ่ววาด ทุกคนก็ล้วนแต่ตะลึงงัน
……
ในเรือน ทิวทัศน์งดงาม หมู่นกร้องเพลง มวลบุปผาส่งกลิ่นหอม ลมโชยมาพร้อมกับแสงแดดอ่อน
เด็กๆ วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในลานบ้าน พวกเขาไม่อาจอยู่ในเรือนได้ตลอดเวลา จึงหาโอกาสออกไปวิ่งเล่นในเขาหมิงซาน ซือคงฉางเฟิงทุ่มเทสร้างของเล่นใหม่ให้พวกเขา ทั้งยังผูกชิงช้าให้พวกเขาอีกด้วย
เด็กทั้งสามชื่นชอบชิงช้ามาก
“ถึงตาข้า! ถึงตาข้าแล้ว!” เอ้อร์เป่าเล่นไปสิบครั้งแล้ว จนเสี่ยวเป่าแทบรอไม่ไหว
หลังจากที่เอ้อร์เป่าลงมา ก็ผลัดให้เสี่ยวเป่าเล่นบ้าง ส่วนตนกับต้าเป่าก็ช่วยไกวชิงช้าให้เสี่ยวเป่า
อวี๋หวั่นนั่งอาบแดดอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง เธอใช้มือลูบท้องอย่างแผ่วเบา สายตาจับจ้องไปยังเด็กทั้งสาม พลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้พวกเขา
ข้างกำแพงเรือน หลัวช่าน้อยถูกโซ่เหล็กนิลล่ามไว้ โดยมีราชาซิวหลัวระดับสามของสกุลซือคงคอยเฝ้า
น่าเสียดาย นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว หลัวช่าน้อยไม่กลัวผู้ใด พวกเขาควบคุมมันไม่ได้
หลัวช่าน้อยใช้พลังกดไว้สักพัก ราชาซิวหลัวระดับสามก็หมดสติไป
หลัวช่าน้อยหลุดจากพันธนาการ มันหนีไปยังเรือนของอวี๋หวั่น ร่างเล็กของมันอยู่ด้านหลังประตูวงพระจันทร์ และยื่นหน้าออกมา ดวงตากลมโตของมันมองไปยังอวี๋หวั่นและเด็กน้อยทั้งสามซึ่งกำลังไกวชิงช้ากันอยู่
“ว้าว! สูงมาก! สูงมากๆ เลย!”
เสี่ยวเป่ารู้สึกราวกับตนเองบินได้ จึงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เอาละ เลิกเล่นได้แล้ว มาดื่มน้ำก่อน” อวี๋หวั่นอุ้มเสี่ยวเป่าซึ่งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อลงมาจากชิงช้า แล้วจูงมือเด็กๆ กลับห้องไป
หลัวช่าน้อยรีบปราดไปยังชิงช้านั้น!
หลังจากที่เด็กทั้งสามเดินจากไป ชิงช้าก็ยังแกว่งไปมาเบาๆ หลัวช่าน้อยยื่นนิ้วผอมๆ ออกมา แตะชิงช้าอย่างระมัดระวัง แตะแล้วก็หดกลับมา
หลังจากแตะชิงช้าอยู่หลายรอบ เขาก็เลียริมฝีปาก แล้วขึ้นไปนั่งเลียนแบบเสี่ยวเป่า
ไม่มีใครไกวชิงช้าให้หลัวช่าน้อย
หลัวช่าน้อยใช้พลังภายในไกวชิงช้าไปมา ครั้งแล้วครั้งเล่า…
…………………….