หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 451 หลัวช่าน้อยและราชาหลัวช่า!
พละกำลังความแข็งแกร่งของประมุขซาง ดีร้ายอย่างไรก็เทียบได้กับราชาซิวหลัวระดับสี่ แต่กลับถูกไอ้ตัวเล็กนี่ต่อยกระเด็นในหมัดเดียว เทียบกันแล้วเหตุใดมันต้องตามเขา ทุกคนต่างยิ่งอยากรู้ว่าเจ้าบ้านผู้สูงส่งของพวกเขา ถูกตามไปถึงที่ใดแล้ว
ร่างของประมุขซางลอยคว้างกลางอากาศเป็นเส้นโค้งสวยงาม สายตาทุกคู่ไล่ตามไปจนกระทั่งคนค่อยๆ กลายเป็นจุด และในที่สุดจุดสีดำเล็กๆ ก็หายลับไป
เช่นนั้น ท่านประมุขเล่า?
เหล่ายอดฝีมือสกุลซางตกตะลึงตาค้าง
ชิงเหยียนและอิ่งลิ่วที่ตามมาไม่ไกลก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
“พลัง พลัง…พลังอายุวัฒนะที่คุณชายปิดผนึกไว้บนตัวมัน ไม่มีอีกแล้วใช่หรือไม่?” อิ่งลิ่วตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างหวาดหวั่น “ข้าว่าคงเหลือไม่มากแล้ว”
ไม่เช่นนั้นจะต่อยคนกระเด็นไปสุดหล้าฟ้าเขียวในหมัดเดียวได้อย่างไร
เดิมทีเหล่ายอดฝีมือสกุลซางเตรียมการไว้ก่อนมาแล้ว แต่น่าเสียดาย สถานการณ์ประมุขซางดันพลิกผันขัดจังหวะ พวกเขาที่สูญเสียบุคคลสำคัญไปอย่างกะทันหันพลันแตกตื่นขึ้นในทันใด
หลัวช่าน้อยแยกเขี้ยวมองพวกเขา ราวกับกระบอกปืนเล็กๆ ที่พุ่งใส่พวกเขา!
เหล่ายอดฝีมือผู้ดุดันแห่งหมิงตูถูกต่อยปลิวไปทีละคน ฉากน่าสังเวชที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยังไม่อาจเทียบ
เป็นถึงยอดฝีมือ แม้แต่โอกาสจะเคลื่อนไหวยังไม่มี ถูกต่อยจนบิดามารดาก็หาไม่พบ ช่างอนาถ อนาถยิ่งนัก!
ชิงเหยียนยกมือปิดตาไม่อาจทนมองตรงๆ
ในท้ายที่สุด เมื่อเหลือเพียงองครักษ์ในชุดพ่อค้า เขายื่นมือออกมาอย่างจริงจัง “อย่าเข้ามานะ ข้า…ข้า ข้า ข้า…ข้าบินเอง!”
กล่าวจบ เขาก็ต่อยตนเองลอยละลิ่วไปอย่างไม่ลังเล
ประมุขซางถูกพบบนกิ่งไม้อันไกลโพ้นโดยองครักษ์ที่ออกตามหา ยามที่พบเขา เสื้อผ้าทั่วทั้งร่างขาดวิ่น เขาถูกเถาวัลย์ผูกติดกับกิ่งไม้อย่างน่าอเนจอนาถ สะโพกเปลือยเปล่าโผล่อวดโฉมท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง
องครักษ์ทั้งหมด “…..”
พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น หรือแสร้งทำเป็นไม่เห็นกันนะ?
ประมุขซางกัดฟันกล่าว “มัวยืนบื้ออันใด? ยังไม่รีบพาข้าลงไปอีก?!”
องครักษ์ผู้กล้าหาญสองคนพาเขาลงมา
และแล้วเรือนร่างด้านหน้าก็ถูกมองเห็นแล้วเช่นกัน
ที่แย่ไปกว่านั้น ประมุขซางก็เห็นว่าพวกเขาเห็นแล้ว
องครักษ์ทั้งหมด “…”
แกล้งตาบอดยามนี้ทันหรือไม่…
ประมุขซางใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิต ไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่ร่างกายถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ จิตวิญญาณยังถูกย่ำยีทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็น
คนที่มองเห็นความบัดซบของเขาต้องตายทั้งหมด!
แต่เหตุผลในใจก็บอกกับเขาว่า ยอดฝีมือของเขาตายไปมากแล้ว ไม่อาจทำให้สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์อีก
ประมุขซางฝืนใจข่มอารมณ์ กลับสกุลซางด้วยใบหน้าแดงก่ำ ภายใต้สายตาจ้องมองที่แกล้งตาบอดของทุกคน
“ท่าน…ท่านประมุข” องครักษ์หลี่ที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาในห้อง ยอดฝีมือที่ถูกหลัวช่าน้อยต่อยกระเด็นในวันนี้ ยังคงค้นหาและกอบกู้ต่อไป เขาต่อยตนเองปลิว ยังโชคดีที่เพียงขากะเผลกกลับมา
วันนี้ไม่เพียงแต่อับอายต่อหน้าเหล่าข้าทาสบริวาร ยังต้องเสียหน้าที่จวนสกุลซือคง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ประมุขซางก็อยากเป็นลม แต่สิ่งนี้ยังทำให้เขาตระหนักได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือความแข็งแกร่งของหลัวช่าน้อย หากเก็บมาเป็นพวกตนได้ สกุลซางต้องทะยานราวกับเสือติดปีกเป็นแน่ แต่หากหลัวช่าน้อยตกอยู่ในกำมือของสกุลซือคง สกุลซือคงก็จะมีเบี้ยใช้ต่อรองกับสกุลซาง
ไอ้ตัวกะเปี๊ยกนี่จะสำคัญเกินไปแล้ว!
ประมุขซางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าไปเตรียมตัว คืนนี้จับหลัวช่าน้อยกลับมาให้ข้า!”
องครักษ์หลี่กล่าวอย่างลังเล “ถ้าหาก…จับไม่ได้ละขอรับ?” ไอ้ตัวกะเปี๊ยกนั่นองอาจห้าวหาญเกินไป
ประมุขซางกล่าวว่า “หากจับไม่ได้ ก็กำจัดมันซะ!”
“เอ่อ…” องครักษ์หลี่ตะลึง “หากปรมาจารย์ทราบ…”
ประมุขซางเย้ยหยัน “ปรมาจารย์จะทราบได้อย่างไร? เขาเป็นคนสกุลซาง มีหรือเขาจะเชื่อสกุลซือคงมากกว่าเรา?”
องครักษ์หลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ถึงกระนั้น ข้าน้อยก็ยังรู้สึกว่าการกำจัดหลัวช่าน้อย น่าเสียดายเกินไป”
ประมุขซางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เช่นนั้นก็จับมันซะ! อย่าบังคับให้ข้าต้องฆ่ามัน!”
องครักษ์หลี่คิดหาหนทาง “ท่านประมุข ไยไม่รอปรมาจารย์ออกจากพิธี ให้เขาฆ่าพวกหมิงซานนั่นด้วยตนเอง แล้วชิงตัวหลัวช่าน้อยกลับมาเล่า? ปรมาจารย์ลงมือเองไม่มีทางล้มเหลวแน่”
ประมุขซางกล่าวอย่างไม่อดทน “เจ้าดูไม่ออกหรือว่า หลัวช่าน้อยถูกพวกหมิงซานเกลี้ยกล่อมจนเชื่องแล้ว? เจ้าให้ปรมาจารย์ฆ่า แล้วปรมาจารย์จะไปฆ่า หรือไปเป็นแขกที่จวนมันกันแน่?”
“เอ่อ…” องครักษ์หลี่สำลัก พวกเขาไม่รู้ว่ายามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวช่าน้อยกับปรมาจารย์เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ดูจากท่าทีปรมาจารย์แล้ว เขาห่วงใยหลัวช่าน้อยเป็นอย่างยิ่ง หาก…หลัวช่าน้อยถูกพวกหมิงซานสยบได้จริงๆ เช่นนั้นปรมาจารย์จะถูกหลัวช่าน้อยเชิญไปเข้าหมิงซานด้วยหรือไม่?
ปรมาจารย์หลัวช่าโลหิตเป็นหมากแห่งชัยชนะตัวใหญ่ที่สุดของพวกเขา อย่างไรก็ไม่อาจให้ตกไปอยู่ในมือของสกุลซือคง ไม่เช่นนั้นแผนการวางไว้หลายปีก็จะถูกคนอื่นใช้ประโยชน์แทน!
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม?” ประมุขซางมองดูสีหน้าของเขา
องครักษ์หลี่กำหมัด “ขอรับ! ข้าน้อยจะพาคนไปจัดการพวกหมิงซาน!”
“ช้าก่อน” ประมุขซางเอ่ยรั้งเขาไว้ด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
…
ตกดึก ยอดฝีมือสกุลซางมารวมตัวกันอีกครั้ง เพราะเป็นภารกิจสำคัญครั้งใหญ่ ยอดฝีมือที่จะมุ่งหน้าไปยังสกุลซือคงในครั้งนี้ จึงมีเพียงราชาซิวหลัวระดับเจ็ดขึ้นไป เมื่อพวกเขาปรากฏตัวใกล้เขาหมิงซานอย่างเอิกเกริก ครึ่งหนึ่งของเมืองหมิงตูก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังกดดัน
ประมุขซือคงหารือกับซือคงฉางเฟิงอยู่ในห้องตำรา เกี่ยวกับการรับมือกับสกุลซาง แต่ทันใดนั้นคลื่นพลังกดดันอันทรงพลังก็แผ่ซ่านมาจากทั่วทุกมุม อากาศควบแน่น การหายใจของทั้งสองติดชะงัก
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?” ประมุขซือคงขมวดคิ้ว
ซือคงฉางเฟิงมาที่ประตู มองออกไปในความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ยอดฝีมือสกุลซางมาอีกแล้ว”
ประมุขซือคงโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ “สกุลซางกล้ากบฏอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้หรือ?”
ซือคงฉางเฟิงพึมพำ “เกรงว่าเป็นเช่นนั้น หลัวช่าน้อยตกอยู่ในมือพวกเรา พวกเขารอไม่ไหวอีกแล้ว”
สองบิดาบุตรออกจากจวนซือคงมาถึงประตูจวนหลักด้านนอก เป็นดังคาด ยอดฝีมือสกุลซางกำลังรอพวกเขาอยู่
นำโดยองครักษ์หลี่ คนสนิทของประมุขซาง
เขาอยู่บนหลังม้าฝีเท้าเยี่ยม จ้องมองไปยังจวนสกุลซือคงอย่างเย่อหยิ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าเมืองหมิงตูและคุณชายใหญ่ออกมา ก็หาได้สนใจจะลงไปทำความเคารพ ด้านหลังของเขาคือยอดฝีมือสกุลซางและรถม้าที่ถูกยอดฝีมือปิดล้อมอย่างแน่นหนา ไม่เหลือแม้กระทั่งช่องว่างให้อากาศแทรกผ่าน
ซือคงฉางเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น “อะไร? ผู้นำตระกูลของพวกเจ้า หาพบแล้วรึ?”
เป็นถึงประมุขซาง แต่กลับถูกไอ้ตัวจ้อยต่อยจนปลิว เรื่องน่าขบขันนี้คงถูกเล่าลือในหมิงตูไปนานครึ่งปี
ใบหน้าขององครักษ์หลี่ดูไม่ได้เล็กน้อย เขาคว้าบังเหียนแล้วกล่าวว่า “คนที่นั่งอยู่ในรถม้าหาใช่ผู้นำตระกูลของเรา แต่เป็นคนที่พวกเจ้าคาดไม่ถึง”
ซือคงฉางเฟิงขมวดคิ้ว มองไปยังรถม้าพร้อมกันกับประมุขซือคง
องครักษ์หลี่ควบม้าไปที่รถม้าคนนั้นและใช้หอกแหวกม่านออก มองเห็นเพียงความมืดมิดภายในรถม้า ซือคงอวิ๋นถูกมัดปมไว้อย่างแน่นหนา ปากถูกปิดด้วยผ้า ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโกรธแค้น
ประมุขซือคงใบหน้าถอดสี “อวิ๋นเอ๋อร์!”
องครักษ์หลี่หัวเราะเยาะ “มอบหลัวช่าน้อยมา แล้วข้าจะคืนบุตรชายให้เจ้า”
ประมุขซือคงถมึงตามองด้วยความโกรธ “เขาเป็นนายท่านสกุลซางของพวกเจ้า!”
องครักษ์หลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มร้าย “แล้วก็เป็นคุณชายสกุลซือคงของพวกเจ้าเช่นกัน! หากเจ้าต้องการชีวิตบุตรชายของเจ้า ก็ส่งหลัวช่าน้อยมาแลกเปลี่ยน! ข้าจะนับถึงสิบ หากถึงสิบแล้วยังไม่เห็นหลัวช่าน้อย ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะทำอะไรกับคุณชาย”
ประมุขซือคงโกรธจนตัวสั่น!
ต่ำช้า!
น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
แม้แต่หลานนอกไส้ก็ยังใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่ลังเล แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่อาจยกมาเทียบ!
องครักษ์หลี่ชูนิ้วขึ้นนับอย่างช้าๆ “หนึ่ง สอง สาม…”
“อื้อ——อื้อ——” ซือคงอวิ๋นมองบิดาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ประมุขซือคงร้อนรนกระวนกระวาย “หลัวช่าน้อยมิได้อยู่ในมือข้า! มันอยู่ที่หมิงชาน บุตรชายข้าเคยมีเรื่องขัดแย้งกับพวกหมิงซาน พวกเขาไม่มีทางมอบหลัวช่าน้อยเพื่อช่วยบุตรชายข้า!”
องครักษ์หลี่กล่าวอย่างเฉยเมย “นั่นเป็นธุระของเจ้า หาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่ ข้ารู้เพียงหลังจากนับถึงสิบ ชะตาบุตรชายของเจ้าอาจจะขาดสะบั้น…สี่! ห้า!”
“สิบ!” ซือคงฉางเฟิงเอ่ยคำสุดท้ายแทนเขา แล้วชักดาบมุ่งตรงไปหาซือคงอวิ๋นที่อยู่ภายในรถม้า
สีหน้าประมุขซือคงพลันแปรเปลี่ยน!
แม้แต่ยอดฝีมือสกุลซางก็ไม่คิดว่า ซือคงฉางเฟิงจะจู่โจมน้องชายของตนขึ้นมาเฉยๆ เช่นนี้ หรือจะเป็นเช่นข่าวลือว่า สองพี่น้องมีปัญหาขัดแย้งกันมาเนิ่นนาน จนอยากฆ่าฟันกันเอง?
ซือคงอวิ๋นเป็นเครื่องต่อรองของพวกเขา ก่อนที่ประมุขซือคงจะแสดงออกชัดเจนแล้วว่าจะละทิ้งเขา องครักษ์หลี่ไม่อนุญาตให้เขาเป็นอะไรไปเสียก่อน ทันทีที่ซือคงฉางเฟิงชักดาบออก เขาก็หยุดนับและกวัดแกว่งหอกในมือต่อสู้กับซือคงฉางเฟิง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ประมุขซือคงพลันออกคำสั่ง “ทั้งหมดฟังข้า! ฆ่าพวกมันซะ!”
ยอดฝีมือสกุลซือคงทุ่มกำลังบุกโจมตี!
ฉากการแสดงกดดันที่ดำเนินไปอยู่ดีๆ กลับถูกซือคงฉางเฟิงก่อความยุ่งยาก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทว่าด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่อาจเทียบกันได้ ความวุ่นวายนี้ก็เกิดได้เพียงไม่นาน ยอดฝีมือสกุลซือคงทั้งหมดถูกราชาซิวหลัวจากสกุลซางกดควบคุมไว้
“ข้าจะนับครั้งสุดท้าย!” หอกขององครักษ์หลี่จ่อลำคอของซือคงฉางเฟิง “…สิบ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ประมุขซือคงเหยียดมือออก กำลังจะกล่าวว่า ‘ช้าก่อน’ นึกไม่ถึงว่าขณะนี้เอง เงาเล็กร่างหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทิ้งเงาค้างกลางอากาศ พุ่งเข้าใส่องครักษ์หลี่
องครักษ์หลี่ไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้อง หมดลมหายใจและเรี่ยวแรงล้มลงกับพื้น
เงานั่นไม่หยุดแค่นี้ ยังคงกระเพื่อมเคลื่อนไหวไปมารอบๆ ด้วยความเร็วที่ยากจะจับ
หากไม่ใช่เพราะร่างองครักษ์หลี่ล้มตึงลงต่อหน้า ทุกคนคงไม่เชื่อว่าเงาที่ค้างอยู่นั้นเป็นของจริง
“อ๊า——”
ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดอีกตนล้มลง
นี่เป็นถึงระดับเจ็ด ระดับเจ็ดเชียวนะ!
“อ๊า——”
ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดอีกตนล้มลง ราชาซิวหลัวตนนี้มาถึงจุดสูงสุดของระดับเจ็ดแล้ว ห่างจากระดับแปดอีกเพียงก้าวเดียว ทว่าแม้แต่โอกาสใช้เพลงยุทธ์ก็ยังไม่มี ตายลงด้วยเงื้อมมือของเงาร่างนั้น
ถึงตอนนี้ เหล่ายอดฝีมือสกุลซางต่างรู้สึกตระหนกเกินกว่าจะบรรยายขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย
ทันใดนั้น ราชาซิวหลัวระดับแปดก็ก้าวไปด้านหน้า!
เขาปลดปล่อยพลังกดดันรุนแรงสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา กำลังภายในอันทรงพลังแผ่ไปทั่วบริเวณ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ประมุขซือคงไม่เคยรู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บทรวงอก เลือดไหลออกเจ็ดทวาร…
ซือคงฉางเฟิงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง กระดูกซี่โครงของเขาถูกบดขยี้
ยอดฝีมือสกุลซือคงทั้งหมดล้มลงแทบจะในทันที
ราชาซิวหลัวระดับแปด ไม่ต่างจากราชาราชาศักดิ์สิทธิ์ที่โตเต็มวัยเท่าใดนัก พลังอำนาจของเขาแค่คิดก็รู้ ในที่สุดร่างเล็กก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลง
เมื่อราชาซิวหลัวเห็นว่าตนสกัดเขาได้สำเร็จ ก็เผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ยกฝ่ามือตบร่างเล็กอย่างโหดเหี้ยม!
เขาจะฆ่าไอ้เปี๊ยกนี่!
ฝ่ามือของราชาซิวหลัวระดับแปดตบลงไปแล้วจริง และถูกหลัวช่าน้อย แต่ในวินาทีถัดมา หลัวช่าน้อยก็ราวกับกระบอกปืนเล็กๆ เจาะทะลวงร่างอันไร้เทียมทานของเขาเป็นรู!
ราชาซิวหลัวระดับแปดก้มลงมองด้วยสายตาเหลือเชื่อ เห็นรูขนาดใหญ่บนหน้าอก จากนั้นก็ล้มลงพร้อมกับเสียงดังสนั่น…
ประมุขซือคงขาทั้งสองข้างอ่อนแรง แทบทรุดลงกับพื้น!
นี่คือราชาซิวหลัวระดับแปด ซึ่งใกล้เคียงกับราชาศักดิ์สิทธิ์ซิวหลัวที่เล่าลือกัน กลับถูกเจ้าเปี๊ยกนี่โค่นลงด้วยเพลงยุทธ์เพียงครั้งเดียว
ไม่ นั่นไม่ใช่เพลงยุทธ์
มันไม่มีเพลงยุทธ์
ประมุขซือคงปาดเหงื่อเย็นที่ผุดพรายออกจากหน้าผาก กลืนน้ำลาย ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในยามนี้อย่างไร โชคดีที่เจ้าเปี๊ยกนี่ไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา ไม่เช่นนั้น…
ราชาซิวหลัวระดับแปดทั้งหมดตายสิ้น เหล่ายอดฝีมือสกุลซางก็แตกตื่นหนีกระเจิงไปทีละคน หลัวช่าน้อยแยกเขี้ยวดุดันไล่ตามพวกเขาไปด้วยความเร็ว!
ขณะกำลังจะบดขยี้ราชาซิวหลัวระดับสูงอีกตน จู่ๆ สิ่งที่คล้ายกับเสียงคำรามก็ดังมาจากทิศทางของจวนสกุลซาง กลิ่นคาวเลือดหนาแน่นก่อตัวขึ้นในอากาศ
หลัวช่าน้อยหยุดชะงักกลางคัน หันมองไปยังทิศของจวนสกุลซางพลางร้องเสียงครวญ
เสียงคำรามต่ำใกล้เข้ามา กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นขึ้นเป็นทวีคูณ เมฆสีดำบนท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดง บรรยากาศรอบด้านคล้ายกับจมอยู่ในทะเลเลือด
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?” ซือคงฉางเฟิงรู้สึกหายใจไม่ออก
ประมุขซือคงตื่นตกใจ “แย่แล้ว! หลัวช่าโลหิต…ไม่สิ ราชาหลัวช่า…ราชาหลัวช่าออกมาแล้ว!”
…………………