หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 471 ยายหลานพบหน้า เบาะแสเผ่าพ่อมด
ในวันที่อากาศสดใส ซือคงเย่รู้สึกสดชื่น ไม่เพียงเพราะเขาหายจากอาการบาดเจ็บ แต่ความแข็งแกร่งยังฟื้นตัวจากเดิมขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้วด้วย และเพราะในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกับราชาหลัวช่า แน่นอนสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ หลานรักเจียงซูของเขามาแล้ว!
ยามได้ยินว่าบุตรสาวและหลานสาวอยู่ในหนานจ้าวที่แสนห่างไกล เขาเคยคิดว่าตนเองต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาหลายพันหลี่เป็นเวลานานเพื่อไปพบพวกนาง ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ อาซูน้อยก็มาถึงหมิงซานด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นนี้!
เพื่อไม่ให้อาซูน้อยเป็นกังวล เขาอดทนที่จะไม่พบนาง บัดนี้อาการเขาหายดีแล้ว ในที่สุดก็สามารถไปพบอาซูน้อยของเขาได้อย่างมีความสุข!
อวี๋หวั่นเคยบอกไว้ แม้ว่าอาซูจะเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว ทว่านางเติบโตมาในเผ่าปีศาจตั้งแต่เล็ก ต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อย ทั้งยังผอมบางร่างกายอ่อนแอ ทุกครั้งที่เขาคิดเรื่องนี้ก็ปวดใจไม่สิ้นสุด แต่ไม่เป็นไร เขาจะปกป้องอาซูให้ดี!
ด้วยระดับพลังและความแข็งแกร่งของเขา แม้จะสูญเสียเน่ยตันไปครึ่งหนึ่ง ทว่าก็ยังคงเป็นผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่สุดแห่งหมิงตู!
ซือคงเย่รีบจ้ำอ้าวไปยังห้องฝั่งใต้ด้วยความเร็วที่ไม่ไว้หน้าผู้ใด!
ไม่นึกว่าขณะนั้นเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็กำลังออกจากห้องนั้นอย่างลับๆ ล่อๆ อวี๋เซ่าชิงถูกนางทำอย่างนั้นอย่างนี้จนผล็อยหลับไปในที่สุด นางวางแผนจะออกไปเล่นกับหลัวช่าโลหิตที่ถูกขังอยู่ในสุสานสักหน่อย เมื่อผ่านทางเดิน ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของราชาหลัวช่าในอากาศ
…นอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับราชาหลัวช่ามานานเกินไป จนติดลมหายใจอันมีค่าของอีกฝ่ายมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดวงตาของเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์เปล่งประกายสีเขียว!
“ย่ะ!”
นางปล่อยหมัดเล็กพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย!
ซือคงเย่ที่สาบานว่าจะใช้ร่างกายที่แข็งแรงกำยำและพลังอันแข็งแกร่งของตน ปกป้องอาซูน้อยไปชั่วชีวิต ถูกอา (เจียง) ซู (ป้า) น้อย (เทียน) ต่อยจนล้มลง…
ราชาหลัวช่าที่ผ่านมาได้พบกับฉากนี้โดยบังเอิญ มองเห็นความอับอายของซือคงเย่ พลันรู้สึกว่าความอึดอัดคับแค้นใจหลายทศวรรษที่ผ่านมาของตนถูกระบายออกจนหมดสิ้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะสนั่นลั่นฟ้า “ฮ่าๆๆๆๆ….”
ปัง!
ราชาหลัวช่าก็ล้มลงเช่นกัน…
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลูกศิษย์ทั้งหมดในวิหารเจาหยางเห็นปรมาจารย์ทั้งสองที่อุตส่าห์รักษาจนหายดีด้วยความยากลำบาก และสาบานว่าจะไม่อยู่ด้วยกันอีกในชีวิตนี้ ช่วยพยุงกัน ลากขาชราที่แข็งทื่อ กะโผลกกะเผลกกลับห้องด้วยใบหน้าบวมช้ำ
…
สกุลซางที่หาเรื่องใส่ตัวหลายครั้งติดต่อกัน ต่อให้เป็นเทพเซียนเทวดาที่มาจุติก็จับความผิดของพวกเขาไม่ได้ ประมุขซือคงนำคนไปยังสกุลซางเพื่อรวบรวมหลักฐาน และสอบปากคำองครักษ์และข้ารับใช้ข้างกายซางฉงหวา เมื่อมีพยานหลายคน สกุลซางก็ไม่มีที่ว่างแม้แต่จะโต้แย้ง
ความทะเยอทะยานของสกุลซางไม่ใช่ว่าไร้วี่แวว เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลซางและข้ารับใช้ข่มเหงรังแกชาวบ้านในหมิงตูมานานเพียงใดแล้ว เพราะมีสายสัมพันธ์สะใภ้ของสกุลซือคง จึงไม่มีผู้ใดกล้านำความผิดของสกุลซางไปแจ้งต่อจวนซือคง และแม้ว่าจะนำเรื่องไปบอก ภายในจวนซือคงก็ยังมีสายของสกุลซางที่คอยสอดส่อง กำจัดผู้คนอย่างเงียบๆ เรื่องจึงไม่อาจไปถึงหูประมุขซือคงได้
ดึงหัวไชเท้าจากดินโคลนย่อมติดขึ้นมา ผู้ที่คอยประสานในจวนซือคงก็ค่อยๆ ถูกแยกออกมาทีละคนเช่นกัน
ประมุขซือคงไม่เคยส่งเสริมการกระทำชั่ว แต่คราวนี้เขาโกรธมาก จึงตัดสินให้ลงโทษขั้นสูงสุดกับบรรดาทาสที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา
สกุลซางถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์ ลูกหลานสกุลซางถูกไล่ออกจากหมิงตู ไม่อาจเหยียบเข้ามาที่เผ่าปีศาจได้อีกตลอดไป!
ยามที่ฮูหยินซือคงทราบข่าว สองพี่น้องซือคงอวิ๋นก็กำลังนำทหารไปเก็บกวาดจวนสกุลซาง ซือคงอวิ๋นถูกซางฉงหวาลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง เกือบไม่มีชีวิตรอด เขานับว่ามองเห็นความทะเยอทะยานของท่านตาผู้นี้ได้ชัดเจน เมื่อถึงคราวยึดทรัพย์สกุลซางจึงลงมือได้อย่างไร้ความปรานี
ฮูหยินซือคงโกรธจนเป็นลม เมื่อรู้ว่าบุตรชายคนเล็กได้ยึดทรัพย์สกุลซางเองกับมือ
“ท่านแม่ ท่านไม่เห็นหรือว่าเขาทำกับข้าเช่นไร! เขาเกือบจะฆ่าข้าแล้ว!” หลังจากกลับมาที่จวน ซือคงอวิ๋นเปิดคอเสื้อของตน เผยให้เห็นรอยช้ำเป็นวงกลม “นี่เป็นรอยที่ข้าถูกเขาบีบ! ท่านแม่ หากข้าโชคดีน้อยกว่านี้ คงตายในเงื้อมมือพวกเขาไปแล้ว!”
ฮูหยินซือคงจะกล่าวอย่างไรได้? บ้านภรรยาจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด จะใหญ่ไปกว่าบุตรชายกับสามีได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นความผิดของบ้านภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ฆ่าล้างสกุลซางก็นับว่าเป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสกุลซือคงแล้ว
ยามบุกค้นบ้าน อาม่าและชิงเหยียนก็ไปด้วย พวกเขาพบสิ่งของหลายอย่างที่ราชาหลัวช่าได้ขโมยไปจากสกุลซือคงในตอนนั้น นอกจากเวทโลหิตแล้ว ยังมีคัมภีร์ลับวิธีการเผายาและการฝึกฝนกู่หยินที่ตกทอดมาจากเผ่าพ่อมดอีกไม่น้อย
ชิงเหยียนเข้าใจในทันที “มิน่าละ กู่หยินของสกุลซางถึงทรงพลังเช่นนั้น ที่แท้ก็ฉกฉวยประโยชน์จากสกุลซือคง”
สกุลซือคงมีหนังสือตำรามากมาย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าในห้องตำรามีคัมภีร์ลับในการสร้างอาวุธอยู่ ราชาหลัวช่าหยิบไปโดยไม่ได้เจาะจง หลังจากนำไปก็ต้องการเพียงวิชาอสูรโลหิต อย่างอื่นเขาไม่แม้แต่พลิกเปิด ก็โยนเข้าเตาไฟ
เพียงแต่ว่ามันกลับไม่ติดไฟ และถูกข้ารับใช้ของสกุลซางค้นพบ จึงนำคัมภีร์ลับและวิธีการเผายาไป
แต่ทว่าคัมภีร์ลับในการสร้างอาวุธของสกุลซางนั้นสืบทอดมาจากบรรพชน
“จุ๊ๆๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคัมภีร์ลับเล่มนี้หาเงินให้สกุลซางได้เท่าใด?” ชิงเหยียนถามเยว่โกวพร้อมกับ ‘คัมภีร์อาวุธ’ ในมือ
“เท่าใด?” เยว่โกวถาม
ชิงเหยียนเยาะเย้ย “จะบอกเจ้าเช่นนี้แล้วกัน หากไม่ค้นบ้าน ข้าคงไม่รู้ว่าสกุลซางมั่งคั่งยิ่งกว่าสกุลซือคง ทว่าเงินของสกุลซางก็มิใช่ว่าตักตวงมาจากเศรษฐีร่ำรวยเสียทั้งหมด”
อันที่จริง สกุลซางอาศัยอำนาจรังแกคนอื่นมาไม่น้อย แต่หากกล่าวว่าเงินของสกุลซางมาจากการรีดไถก็ไม่ถูกต้องนัก
ชิงเหยียนกล่าวว่า “เก้าส่วนของทรัพย์สินสกุลซางมาจากคัมภีร์เล่มนี้”
“เยอะ เยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” เยว่โกวตกตะลึง
ชิงเหยียนหันมองรอบๆ ก่อนจะซ่อน ‘คัมภีร์อาวุธ’ ไว้ในอ้อมแขนของเยว่โกวอย่างแนบเนียน
“ทำอะไรน่ะ?” เยว่โกวก้มมองอ้อมแขนของตนและถามอย่างไร้เดียงสา
ชิงเหยียนโน้มตัวเข้ามาใกล้และกระซิบว่า “เจ้าโง่เอ๊ย กวาดล้างสกุลซางคราวนี้ เรานับว่าได้ทำความดีขั้นสูงสุด อย่างไรก็ต้องมีข้อดีบ้างสักหน่อย เก็บสิ่งนี้ไว้ ภายภาคหน้าอาจเป็นประโยชน์กับจิ่วเฉาและอาหวั่น!”
“อ้อ” เมื่อได้ยินว่าเพื่อเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น เยว่โกวผู้ซื่อสัตย์ยอมละทิ้งความซื่อสัตย์อย่างเด็ดขาด เขาเอามือปิดหน้าอก แอบนำคัมภีร์ลับออกจากสกุลซาง
ความมั่งคั่งของสกุลซาง ยิ่งค้นก็ยิ่งน่าตกใจ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับพวกชิงเหยียนอีกแล้ว อาม่าค้นหอเก็บหนังสือของสกุลซาง ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์มากนัก จึงพาชิงเหยียนกลับไปยังหมิงซาน
ระหว่างทาง สีหน้าอาม่าดูไม่สู้ดีนัก
“อาม่า ท่านกังวลเรื่องพิษในตัวเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?” ชิงเหยียนถาม
อาม่าพยักหน้า “ยามนี้ขาดวัตถุดิบยาอีกเพียงอย่างเดียว ทว่ามันกลับหายากที่สุด ข้าค้นทั่วหอเก็บหนังสือของสกุลซือคง ก็ไม่พบที่อยู่ของเผ่าพ่อมด เดิมที่คิดว่าที่สกุลซางอาจมีเบาะแสบางอย่าง ไม่นึกว่าจะไม่มีสิ่งใดเลย”
ชิงเหยียนหยุดชะงักและกล่าวว่า “คนจงหยวนมักกล่าวว่า คนดีสวรรค์เมตตา เยี่ยนจิ่วเฉาจะต้องไม่เป็นไรแน่”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าเวลาของเยี่ยนจิ่วเฉาเหลือไม่ถึงครึ่งปี อย่างน้อยที่สุด อาจเหลือเพียงสองเดือน พวกเขาต้องรีบทำเวลา
หลังจากกลับมาที่เรือน ทั้งสามก็เห็นหลัวช่าน้อยและไข่ดำน้อยวิ่งเล่นอยู่ในลาน นางเจียงและอวี๋เซ่าชิงนั่งอยู่ที่ระเบียง นางเจียงพิงศีรษะกับไหล่ของอวี๋เซ่าชิงมองดูเหล่าไข่น้อยของตน ส่วนอวี๋หวั่นก็กำลังตากสมุนไพรอยู่ทางด้านข้าง เยี่ยนจิ่วเฉาคุณชายผู้สูงส่งก็เป็นผู้ช่วยให้เธอด้วยความเต็มใจ
ไม่มีผู้ใดทำใจยอมสูญเสียใครคนหนึ่งในครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ได้
หลังจากมื้อเย็น ราชาหลัวช่าก็ไปที่เขตหวงห้ามของสกุลซาง เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็มีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
มันคือกล่องเหล็กที่สลักตราสัญลักษณ์นกหลวน ภายนอกดูไม่ธรรมดา แต่ภายในไม่แน่ ทุกคนรู้สึกว่ากล่องในนี้มีบางสิ่งพิเศษ
อวี๋เซ่าชิงไปทำอาหารมื้อเย็นให้หลัวช่าน้อยและไข่ดำน้อยที่ห้องครัว นอกจากเขาแล้ว ทุกคนล้วนอยู่
อวี๋หวั่นหยิบกล่องขึ้นพลิกดูไปมา “ช่างเป็นกล่องที่ประหลาดยิ่งนัก ข้างในมีสิ่งใดอยู่หรือ?”
ราชาหลัวช่าพยักหน้าแล้วก็ส่ายหัว
พยักหน้านั้นคือเห็นด้วยกับอวี๋หวั่นว่ามันเป็นกล่องที่ประหลาดจริงๆ ตอนแรกที่เขาแอบเข้าไปในหอเก็บหนังสือของสกุลซือคง ทันทีที่มองเห็นมันเขาก็ถูกดึงดูด หากจะบอกว่าชอบ…ก็ไม่ใช่ หากจะบอกว่าไม่ชอบ ก็ปล่อยไม่ลง
เขาจึงตัดสินใจนำกล่องออกไป
แต่เขาก็ไม่เคยเปิดมันได้สำเร็จ เขาจึงส่ายหัวเพราะไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน
อวี๋หวั่นหยิบกริชออกมา พยายามแงะมันออก
อาม่ากล่าวว่า “กล่องใบนี้มีกลไก หากเจ้าฝืนแงะมัน ทุกอย่างในนั้นก็จะถูกทำลาย”
ราชาหลัวช่าส่งเสียงอื้อ เขาก็คิดเช่นนั้น จึงไม่ใช้กำลังฝืนเปิดมัน
“แต่อย่างไรก็ไม่มีทางอื่นแล้วมิใช่หรือ?” อวี๋หวั่นถาม
อาม่าทอดถอนใจ “กลไกของกล่องเช่นนี้มีแพร่หลายในตลาดมานานแล้ว หากบอกว่าไม่มีทางก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพียงแต่ต้องตามหาช่างที่สร้างกล่องใบนี้ น่าเสียดาย กล่องนี้มีประวัติศาสตร์มากกว่าร้อยปี เกรงว่าเขาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้น ก็ดูกันว่าจะตามหาลูกหลานของเขาพบหรือไม่ บางทีอาจยังมีโอกาส—”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็หยิบกล่องไป ใช้สองมือทุบมัน ตึง——ตึง—— ตึง ลงกับพื้น!
ไม่รู้ว่าทุบไปกี่ครั้ง ท้ายที่สุดกล่องก็สั่นไหวและเปิดออก เผยให้เห็นลูกปัดแวววาว
มุมปากของทุกคนกระตุก “…”
แบบนี้ ก็ได้ หรือ?!
………………………