หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 474.2 เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ขโมยไข่! พ่อลูกพบหน้า! (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 474.2 เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ขโมยไข่! พ่อลูกพบหน้า! (2)
ผ่านมาหลายปี ภูมิประเทศเปลี่ยนไปไม่น้อย โชคดีที่อิ่งลิ่วเป็นหน่วยสอดแนมที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดในใต้หล้า เยี่ยนจิ่วเฉาและอิ่งสือซันก็เป็นผู้ช่วยที่บอกทิศทางได้อย่างดี คนทั้งกลุ่มใจสู้ดิ้นรน และใกล้ไปถึงอาณาเขตของเผ่าพ่อมดบนแผนที่ได้จริงๆ
“ข้ามทะเลนี้ไป” อิ่งลิ่วชี้แผนที่ ทะเลนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หาดน้ำตื่นที่รกร้างได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นดินแดนของประเทศมรกต
ประเทศเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หากไม่ได้มาเยือนด้วยตนเอง ไหนเลยจะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง?
อิ่งลิ่วเปิดบันทึกลายมือ จดเส้นทางอย่างละเอียด
“เจ้าจดมันไปไย?” ชุยเฒ่าถามอย่างสงสัย
“มันจะเป็นประโยชน์ วันหน้ากลับต้าโจว ก็สามารถใช้เป็นแผนที่ได้ ไม่ดีหรือ?” อิ่งลิ่วกล่าว
อวี๋หวั่นเหลือบมองอิ่งลิ่วด้วยความชื่นชม อิ่งลิ่วเป็นเด็กที่มีความกระตือรือร้นยิ่งนัก เรื่องที่พวกเขานึกไม่ถึง เขากลับคิดอย่างรอบคอบไม่ขาดตกบกพร่อง เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจว ยิ่งรู้จักแผ่นดินใหญ่เท่าใด ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับเบี้ยต่อรองมากเท่านั้น
หลายคนกำลังรออยู่ที่ท่าเทียบเรือที่มีการสัญจรวุ่นวาย
ทันใดนั้น อิ่งสือซันที่ไปสืบข่าวก็กลับมารายงานเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น “เรือข้ามฟากจะมาทุกสิบวัน ครั้งหนึ่งมีสองลำ ดีที่วันนี้ยังเหลือลำสุดท้าย แต่ทว่า…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็แสดงสีหน้าลำบากใจ
“แต่ทว่าอะไร?” อวี๋หวั่นถาม
อิ่งสือซันกล่าวว่า “พวกเขารับเฉพาะคนของประเทศมรกตและผู้ที่ถือเอกสารการค้าของประเทศมรกต พวกเราไม่มี จึงไม่สามารถขึ้นเรือได้”
“เอกสารการค้าทำที่ใด?” อวี๋หวั่นถาม
อิ่งสือซันก็สืบเรื่องนี้มาเช่นกัน “เข้าเมืองจ่ายเงินเพื่อจัดทำ แต่วันนี้ไม่อาจทำได้”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้วมุ่น “ก็หมายความว่าวันนี้เราไม่อาจขึ้นเรือได้ แต่หากเราพลาดเรือเที่ยวนี้ ก็ต้องรออีกสิบวัน ไม่ได้ พวกเราไม่อาจรอนานเช่นนั้นได้!”
อิ่งสือซันกระชับดาบในมือแน่น “หรือไม่——”
“คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้านี่หุนหันพลันแล่น มีอะไรเจรจากันดีๆ มิได้หรือ? เหตุใดต้องใช้กำลัง?” อวี๋เซ่าชิงที่นิ่งเงียบมาตลอดทางเอ่ยปาก แม้ว่าอวี๋เซ่าชิงจะเป็นแม่ทัพ แต่ทำสงครามเพื่อปกป้องประเทศชาติและครอบครัว โดยส่วนตัวเขาไม่ใช่คนที่มีปัญหาเมื่อใดก็ใช้กำลัง
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะไปคุยกับพวกเขา บอกเหตุผลกับพวกเขาดีๆ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะให้เราขึ้นเรือ”
อวี๋เซ่าชิงไปทำอย่างที่ตนคิดไว้
เขามาถึงท่าจอดเรือ และถามเด็กที่กำลังขนสินค้า “ขอโทษนะ หัวหน้าของเจ้าอยู่ที่ใด?”
เด็กรับใช้ก็ชี้ไป
“ขอบใจมาก” อวี๋เซ่าชิงเดินตามทิศที่เขาชี้ไปถึงโรงน้ำชาเล็กๆ ใกล้ท่าเรือ
วันนี้เป็นวันเดินทางออกทะเล โรงน้ำชาจึงมีผู้คนแออัด เจ้าของร้านยุ่งเกินกว่าจะดูแลอวี๋เซ่าชิงที่กำลังเดินมาหาเขา
อวี๋เซ่าชิงถามว่า “ขอโทษที เจ้าของเรือลำนั้นอยู่หรือไม่?”
เจ้าของร้านไม่สนใจ
อวี๋เซ่าชิงหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง
เจ้าของร้านรับเงินไปแล้ว ถึงใช้สายตามองอวี๋เซ่าชิงตรงๆ เขาอยู่มาครี่งชีวิต อ่านคนมานับไม่ถ้วน ไม่เคยเห็นบุรุษที่หล่อเหลากำยำ ดูไม่ธรรมดาเช่นนี้มาก่อน เจ้าของร้านชี้ ไปที่ห้องข้างห้องหนึ่งที่โถงใหญ่ และกระซิบว่า “นายเรือใหญ่ไม่อยู่ เจ้าไปหานายเรือรองแล้วกัน แล้วอย่าบอกว่าข้าบอกเจ้าละ”
“ขอบใจมาก!” อวี๋เซ่าชิงขอบคุณเขาอย่างจริงใจและเดินไปที่ห้องข้างๆ
เมื่อเขาเดินจากไปไกล ผู้ช่วยอีกคนก็โน้มตัวเข้าไปกล่าวกับเจ้าของร้านว่า “นายเรือรองเกลียดไอ้หน้าขาวนุ่มนิ่มเช่นนี้ที่สุด เจ้าส่งเขาไป มิใช่ปล่อยเขาไปตายหรือ?”
ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่ประสบในค่ายทหารของอวี๋เซ่าชิง ถูกเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ดูแลจนหายเป็นปลิดทิ้งนานแล้ว ผิวพรรณขาวผ่องนวลเนียน หากกล่าวว่ายังไม่ถึงสามสิบคงไม่มีผู้ใดไม่เชื่อ
เจ้าของร้านชั่งน้ำหนักเงินในมือ “เขารนหาที่ตายเอง จะโทษข้าได้อย่างไร?”
อวี๋เซ่าชิงไม่รู้ว่าตนกำลังก้าวเข้าถ้ำเสือ เขาเห็นประตูเปิดกว้าง บนเก้าอี้ทรงหมวกขุนนางมีชายไว้หนวดเคราหนา รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่
เขาเดินไปอย่างสุภาพแล้วกล่าวว่า “ขอถาม ใช่นายเรือรองหรือไม่?”
ชายคนนั้นเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ดวงตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย
อวี๋เซ่าชิงยกมือคำนับแล้วกล่าวว่า “ข้ากับครอบครัวมีเรื่องเร่งด่วนต้องออกทะเล เพราะไม่ทราบสถานการณ์ตลาดของที่นี่ก่อนจึงทำเอกสารการค้าไม่ทัน หวังว่านายเรือรองจะช่วยเหลือ ครั้งหน้าเราจะทำเอกสารการค้ามาชดใช้ เรื่องราคาเราจะไม่เอาเปรียบนายเรือรองแน่”
นายเรือรองมองใบหน้าที่หล่อเหลาของอวี๋เซ่าชิง กำหมัดแน่นจนส่งเสียงลั่น
เมื่อเห็นว่าน้ำบนเตาเดือดได้ที่ อวี๋เซ่าชิงจึงหยิบกาต้มน้ำหันไปชงชาให้นายเรือรอง “อีกอย่างคนในครอบครัวข้ารู้วิชาการแพทย์ หากผู้โดยสารบนเรือไม่สบายระหว่างทาง ครอบครัวข้าก็สามารถรักษาและให้ยาโดยไม่คิดค่าตอบแทน”
นายเรือรองย่อมไม่ตกลง ผู้โดยสารเรืออะไร? ป่วยก็ป่วย ตายก็ตาย จำเป็นต้องช่วยหรือ?
ไอ้หน้าขาวนี่ ตัวเป็นคนนิสัยเป็นหมา ไร้มารยาท น่าหงุดหงิดยิ่งนัก ขณะที่นายเรือรองคิดจะใช้หมัดกับอวี๋เซ่าชิง จู่ๆ มือเปล่าจากด้านหลังเก้าอี้ก็ยื่นมาจับคอเสื้อเขาลากออกไปจากห้อง!
อวี๋เซ่าชิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายเรือรอง แต่เมื่อหันกลับมานายเรือรองก็หายไปแล้ว
เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง นายเรือรองก็กลับมานั่งบนเก้าอี้แล้ว
เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ร่างกายนายเรือรองคล้ายกับสั่นระริก…
“อาหวั่น!”
ครึ่งชั่วยามต่อมา อวี๋เซ่าชิงกลับมาอย่างสดชื่น
ด้านหลังตามมาด้วยนายเรือรอง นายเรือสาม และนายเรือที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งท้องทะเลที่ร่างกายสั่นเทา
อวี๋หวั่นมองบิดา และบุรุษที่แข็งแรงที่มากับเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านพ่อ พวกเขาเป็นใคร?”
อวี๋เซ่าชิงกล่าวอย่างหัวเราะชอบใจ “ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก พวกเขาก็คือนายเรือใหญ่ นายเรือรองและนายเรือสามของเรือลำนี้ พวกเขามาเพื่อเชิญเราขึ้นเรือ! ผู้ใดบอกว่าพวกเขาไร้น้ำใจ? เข้าใจพวกเขาผิดแล้ว พวกเขาเป็นคนดีมาก ได้ยินว่าพวกเรามีเรื่องด่วนต้องออกทะเล แม้แต่เงินก็ไม่เก็บพวกเรา ยังมาช่วยพวกเราขนสัมภาระถึงที่นี่!”
ปากของอิ่งสือซันกระตุกอย่างรุนแรง “…”
แน่ใจหรือว่าคนที่เขาพบกับนายท่านพบ เป็นกลุ่มเดียวกัน?
พวกอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาถูกเชิญขึ้นเรืออย่างมีเกียรติ เป็นอย่างที่อวี๋เซ่าชิงกล่าว พวกเขาไม่เก็บค่าโดยสารเรือแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมอบห้องพักหรูหราของตนให้พวกเขาด้วย
อวี๋หวั่นตกตะลึง “นี่ไม่เหมาะสมกระมัง? จะไม่ลำบากเกินไปหรือ?”
ทั้งสามส่ายหัวราวกับของเล่นป๋องแป๋ง “ไม่ลำบากๆ!”
อวี๋หวั่นยิ้มเล็กน้อย “พวกเราไปอยู่ห้องเล็กดีกว่า ได้รับการยกเว้นให้ขึ้นเรือก็เสียมารยาทมากพอแล้ว หากยึดห้องของพวกท่านอีก…”
ทั้งสามกล่าวประสานเสียง จนแทบจะคุกเข่าต่ออวี๋หวั่น “ไม่ๆๆ! ได้โปรด คุณหนูใหญ่อย่าไปอยู่ที่ห้องเล็กเลย!”
หากเจ้าไปอยู่ห้องเล็ก พวกเราคงต้องไปอยู่ห้องผีสิง!
ฮือๆๆ สตรีผู้นั้นช่างน่ากลัว!
นายเรือใหญ่ “พวกเราชาวมรกตต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี!”
นายเรือรอง “ใช่แล้ว! แขกต่างชาติมาเยือน! ไม่อาจให้เสียหน้าประเทศมรกต!”
นายเรือสาม “พวกเจ้าอยู่ไปเถอะ!”
“เอ่อ…” อวี๋หวั่นหันมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง “ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญ พวกเราจะอยู่ก็แล้วกัน”
ทั้งสามโล่งใจ!
ขณะที่พวกอวี๋หวั่นขึ้นเรือออกทะเล อีกด้านหนึ่ง ซือคงเย่ก็มาถึงเมืองหลวงของหนานจ้าว
องค์ประมุขยังคงไม่ทราบว่าท่านพ่อตาของตนได้เดินทางหลายพันหลี่มาถึงหนานจ้าวแล้ว เขากำลังหงุดหงิดอวิ๋นเฟย ผ่านมาหลายวัน อวิ๋นเฟยก็ยังร้องจะแยกห่างจากตน
เขาแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาแล้ว นางยังต้องการเช่นไรอีก?
“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงโยนมงกุฎหงส์กับตราทองคำออกมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ… ฮองเฮาตรัสว่า จะให้นางเป็นฮองเฮา ยังไม่สู้ให้ฝ่าบาททรงฝันเลย…” ขันทีกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“งี่เง่า! นี่เป็นวาจาที่ภรรยาประมุขควรเอ่ยรึ? ข้าตามใจนางมากเกินไปใช่หรือไม่? หากข้ายอมนางอีกครั้ง นางคงคิดว่าโอรสสวรรค์เป็นเรื่องตลกไปแล้วใช่หรือไม่?!” องค์ประมุขโกรธกริ้ว สะบัดแขนเสื้อเสด็จไปยังตำหนักอวิ๋นเฟย
ประตูตำหนักถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา
องค์ประมุขเอ่ยเสียงขรึม “เปิดประตูให้ข้า!”
ครืน ประตูเปิดออก
ทว่าสิ่งแรกที่เขาเห็นกลับไม่ใช่เสิ่นอวิ๋น ฮองเฮาองค์ใหม่ที่เพิ่งได้รับการสถาปนา กลับเป็นบุรุษที่มีเส้นผมทั้งหัวเป็นสีเงิน รูปร่างสูงใหญ่ เผยรัศมีดุจดั่งเทพเซียนที่จุติในโลกมนุษย์
“เจ้าคือ…” องค์ประมุขตกตะลึงไปชั่วครู่
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้านี่ก็คือคนที่รังแกเจ้ากับอาซูน้อยรึ?” ซือคงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยกำลังภายใน องค์ประมุขที่หมายจะลงโทษอวิ๋นเฟยคุกเข่าลง!
……………………………