หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 479.2 พี่จิ่วทำเพื่อภรรยา (2)
ทว่าขณะที่กำลังย้ายของ โจวอวี่เยี่ยนก็กลับคำ “ห้องนั้นไกลเกินไป ข้าไม่ย้าย ยกห้องของพวกเขาสองคนให้ข้า! ข้าจะอยู่ห้องของพวกเขา!”
อิ่งลิ่วมุมปากกระตุก
อิ่งสือซันเหลือบมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผิงเอ๋อร์นึกในใจว่า แย่แล้ว ดันไปล่วงเกินองครักษ์ของคุณชายกับฮูหยินน้อย ฮูหยินต้องสั่งฆ่านางเป็นแน่!
อวี๋หวั่นยิ้ม “ได้ ทำอย่างที่เจ้าต้องการ”
โจวอวี่เยี่ยนได้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่ตนปรารถนาสมใจ
ขณะที่มู่ชิงและศิษย์พี่เก็บห้องให้นาง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงนี่น้า ท่านทำตามความเหมาะสมก็พอนะขอรับ อย่ามากเกินไป”
โจวอวี่เยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าทำมากเกินไปตรงไหนกัน? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ห้องสามสี่ห้องนั้นถึงเป็นห้องที่แสงส่องดีที่สุด ห้องที่ซื้อมาจากแขกคนนั้นเป็นห้องชั้นรอง เอาห้องโกโรโกโสพรรค์นั้นมาให้ข้า คิดว่าข้าเป็นขอทานหรืออย่างไร?”
“สภาพของพวกเราตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน…” มู่ชิงพึมพำ
มู่ถิงส่งสายตาให้เขา บอกเป็นนัยว่าให้สงบปากสงบคำเสีย อย่าได้ทำให้โจวอวี่เยี่ยนโมโห
ที่พวกเขามีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะอาจารย์เก็บพวกเขามาเลี้ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ต้องตายไปก็เพราะมู่ชิงนำพามา เมื่อพิจารณาจากทั้งความรู้สึกและเหตุแล้ว พวกเขาควรจะดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของอาจารย์ให้ดีที่สุด
“เฮ้อ” มู่ชิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
มู่ถิงตบไหล่ของเขา พร้อมกับกระซิบว่า “ศิษย์น้องอย่าได้กังวลใจไป พวกเราและพวกเขาเดิมทีก็มีข้อตกลงซึ่งกันและกัน ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณพวกเขา ยิ่งพวกเขายอมจ่ายเงินมากเท่าใด ย่อมหมายความหมายความว่าพวกเขามีแผนการที่ร้ายกาจมากเท่านั้น พวกเราใช้ชีวิตเดิมพัน นำทางให้พวกเขา ให้ศิษย์น้องหญิงได้ใช้ชีวิตสบายสักหน่อยแล้วอย่างไร? มีอะไรเสียหายหรือ?”
มู่ชิงรู้สึกว่าศิษย์พี่ของเขากล่าวได้ถูกต้อง แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก “ศิษย์พี่ พวกเขา…ไม่เหมือนกับคนข้างนอก”
มู่ถิงไม่เห็นด้วย “มีอะไรไม่เหมือน? เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ตกใจกลัวเนตรหยินหยางของเจ้า เจ้าจึงไว้ใจพวกเขาหรือ? เจ้าอย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับพวกเขาก็เป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เมื่อใดที่พวกเราหมดประโยชน์แล้ว เจ้าก็รอดูเองแล้วกันว่าพวกเขาจะยังสนใจพวกเราอยู่ไหม”
มู่ชิงอ้าปากพะงาบคล้ายกับจะพูด
มู่ถิงจึงพูดตัดบทขึ้นมาว่า “เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าเพียงเตือนตัวเองไว้เสมอว่าพวกข้าเป็นคนที่เจ้าสนิทที่สุด เจ้ากับศิษย์น้องเล็กอย่าได้เชื่อใจใครง่ายๆ นอกจากข้ากับศิษย์พี่หญิง”
“อ้อ” มู่ชิงพยักหน้าหงึก
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นเรียกมู่ชิงไปยังห้องของอาม่าและชุยเฒ่า
อวี๋หวั่นพูดอย่างเปิดเผยว่า “ศิษย์น้องของเจ้ายังไม่ตื่น น่าจะเป็นเพราะพิษเข้าไปกระตุ้นพลังของพ่อมด วิธีเดียวที่จะทำให้เขาฟื้นขึ้นได้ก็คือต้องกำจัดพลังพ่อมดในร่างของเขาออกไป เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่ามีวิธีกำจัดพลังนี้อย่างไร”
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าเมื่อถึงเผ่าพ่อมดแล้ว ค่อยหาคนช่วยกำจัดพลังให้เด็กคนนี้ แต่หากเขานอนไม่ฟื้นสักที เกรงว่าพวกเขาคงเข้าไปในเขตของเผ่าพ่อมดไม่ได้ด้วยซ้ำ
มู่ชิงครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด พลังพ่อมดนี้มาจากพ่อมดใหญ่คนหนึ่ง ต้องตามหาพ่อมดที่มีระดับเท่ากัน จึงจะสามารถคลายผนึกพลังในร่างของเขาได้”
อวี๋หวั่นทำจ้องเขม็ง “อะไรนะ? เจ้าหมายความว่า พ่อมดระดับตี้เท่านั้นจึงจะคลายผนึกพลังของเขาได้ เช่นนั้นเขาจะยังเป็นราชาพ่อมดอยู่ไหม?”
มู่ชิงรีบอธิบายว่า “ศิษย์น้องของข้ายินดีที่จะถูกผนึกพลังด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ต่อให้ระดับพลังของอีกฝ่ายด้อยว่าเขา ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา”
ความหมายก็คือ ระดับพลังของศิษย์น้องของเขาอาจเหนือกว่าอีกฝ่าย ทว่าหากจะเอ่ยถึงราชาพ่อมด ก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปสักหน่อย…
“จะหาพ่อมดระดับเทียนได้จากไหนหรือ?” อวี๋หวั่นโบกพัดช้าๆ
“บนเกาะที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ขังนักโทษ” มู่ชิงตอบ
“ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้” อวี๋หวั่นโวยขึ้นทันใด!
มู่ชิงสัมผัสได้ถึงโทสะของอวี๋หวั่นโดยไม่ทันตั้งตัว เขาตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง “ก็ข้าไม่รู้นี่ พวกท่านไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะตามหาราชาพ่อมด! ทั้งยังสงสัยว่าศิษย์น้องของข้าเป็นราชาพ่อมดอีก…”
อวี๋หวั่นโบกพัดเร็วขึ้น “เจ้าตัวเล็กนั่นถูกผนึกพลัง ทำให้มีพลังของพ่อมดระดับตี้ ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นราชาพ่อมด หรือว่า…จะหันหัวเรือกลับ?”
“ไม่จำเป็น” มู่ถิงเดินเข้ามา
อวี๋หวั่น มู่ชิง และอาม่าซึ่งอยู่ในห้องหันไปมองเขาทันใด เขาอายุมากกว่ามู่ชิงสามปี องคาพยพบนใบหน้าเป็นผู้ใหญ่ รูปร่างสูง ท่าทางสง่าผ่าเผย นับว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามในประเทศมรกต
เพียงแต่ว่า พวกเขาเห็นความงามของเยี่ยนจิ่วเฉาจนชิน บุรุษรูปงามอย่างมู่ถิงย่อมมิได้เข้าตาพวกเขาเท่าไร
สีหน้าของพวกเขาเรียบเฉย
มู่ถิงกระแอม แล้วกล่าวว่า “ข้ากับอาจารย์เคยออกทะเลมาก่อน รู้ว่าแถวนี้มีเกาะร้างแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าบนเกาะมี พ่อมดระดับเทียนคนหนึ่ง หากหาเขาพบ ก็จะสามารถกำจัดผนึกพลังในร่างของศิษย์น้องเล็กได้”
“ข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่?” มู่ชิงถาม
มู่ถิงตอบว่า “ข้าฟังอาจารย์เล่า อาจารย์ฟังคนอื่นมาอีกที”
“อ่า…” มู่ชิงพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ถ้าหากมีพ่อมดใหญ่อยู่จริง ทำไมเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นไปจับพวกเขาเลยละ”
มู่ถิงมีสีหน้าจริงจัง “พลังของพ่อมดระดับเทียนนั้นเหนือกว่าที่พวกเราจินตนาการได้ ไม่มียอดฝีมือคนใดจับเขาได้”
“เช่นนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นเก็บพัด เธอลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปยังประตู
มู่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ฮูหยินน้อยเยี่ยนจะไปไหนหรือ”
อวี๋หวั่นชี้ไปยังผืนน้ำ “เจ้าบอกว่าแถวนี้มีเกาะร้างไม่ใช่หรือ? ข้าจะไปเตรียมตัวลงจากเรือ”
“จะ…จะไปจริงหรือ?” มู่ถิงตกใจ
อวี๋หวั่นยักไหล่ “ถ้าไม่ไป แล้วเจ้าจะบอกข้าทำไม พูดเล่นอย่างนั้นหรือ?”
มู่ถิงตอบด้วยความอับอายว่า “ข้าปากไวไปหน่อย แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะอันตรายไปสักหน่อย ฮูหยินน้อยเยี่ยนไม่รู้วาบนเกาะมีคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จับตาดูอยู่หรือไม่ แต่ผู้ที่ไปเยือนเกาะแห่งนั้นล้วนแต่ไม่มีผู้ใดกลับมา นานวันเข้า ก็ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป ที่อาจารย์เล่าให้ข้าฟังก็เพื่อเตือนข้าว่าหากวันใดพบเกาะร้างแห่งนี้ ให้รีบหนีไปให้ไกล”
อวี๋หวั่นคล้ายกับจะเข้าใจ “เช่นนั้นก็ยิ่งต้องไป”
มู่ถิง “…”
“สือซัน เสี่ยวลิ่ว คุณชายของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน” อวี๋หวั่นเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน
เรื่องจอดเรือ เป็นอวี๋เซ่าชิงที่ไปเจรจากับนายเรือใหญ่
“จจจ…เจ้าบอกว่าเกาะอะไรนะ?” นายเรือใหญ่กำลังสัปหงก เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋เซ่าชิง ตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา!
อวี๋เซ่าชิงพูดด้วยความเกรงใจว่า “เกาะร้าง อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ข้าอยากขอให้นายเรือใหญ่ช่วยจอดเรือสักหน่อย พวกข้าจะได้ขึ้นไปทำธุระบนเกาะ ไม่เสียเวลาท่านมากหรอก ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะมาขึ้นเรือตามเวลาที่กำหนด”
“เป็นไปได้อย่างไร…” นายเรือใหญ่ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าด้านหลังของตนถูกบิด เจ็บจนกระโดดโหยง ถามว่าออกมา “ไม่ได้หรือ?”
“โอ๊ยๆๆๆ” นายเรือใหญ่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“เช่นนั้น นายเรือใหญ่ก็ตกลงแล้ว?” อวี๋เซ่าชิงยกมือขึ้นประสานกัน “นายเรือใหญ่ใจกว้างยิ่งนัก! ข้าขอคำนับ!”
เขาพูดไปพลางตบไหล่นายเรือใหญ่เบาๆ “นายเรือใหญ่ ท่านตกลงแล้วนะ! ข้าว่าท่านน่าจะอายุมากกว่าข้า เพราะฉะนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่ใหญ่!”
“ไม่หรอก ไม่หรอก…” นายเรือใหญ่น้ำตาไหลพรากด้วยความซาบ(ชอก)ซึ้ง(ช้ำ)
นายเรือทั้งสามเดินทางอยู่กลางทะเลมานานหลายปี พายุลมฝนประเภทใดล้วนแต่เคยผ่านมาหมด แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เกาะแห่งนี้สักครั้ง ไม่ใช่เพราะตำนานที่เล่าขนาน หากแต่เป็นเพราะพี่ใหญ่ของพวกเขาเคยเข้าไปในเกาะนี้
สุดท้ายพวกเขาก็ไม่กลับมา
พวกเขาส่งคนออกตามหา แต่ก็ไร้ผล หากจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวกว่าสตรีคนนั้น ก็เห็นจะเป็นเกาะร้างแห่งนี้นี่เอง
ตอนเที่ยงพอดิบพอดี พวกเขานำเรือเข้าเทียบท่าที่เกาะ นายเรือทั้งสามไม่กล้านำเรือเข้าใกล้ชายฝั่งมากเกินไป จึงนำเรือเล็กลงมาให้พวกเขานั่งเข้าไป
บนเกาะมีกลิ่นอายของหนอนพิษรุนแรง อวี๋หวั่นก้าวขึ้นบนเรือเล็ก
เธอเงยหน้าขึ้น แล้วบอกกับมู่ชิงว่า “มู่ชิง เจ้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้ารออยู่บนเรือ อิ่งลิ่วเจ้าก็ด้วย”
อิ่งลิ่วพยักหน้า
ต้องมีคนคอยเฝ้า เผื่อว่ามีใครนำเรือออก
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สือซัน เจ้าแบกโจวจิ่นลงมา”
“ขอรับ!” อิ่งสือซันทะยานเข้าไปในห้องของโจวจิ่นซึ่งกำลังหลับไหล และพาเขาลงไปยังเรือเล็ก
โจวอวี่เยี่ยนคิดจะเข้ามาขวางแต่ก็ขวางไว้ไม่ได้ นางมองไปยังพวกเขา “นี่! พวกเจ้าทำอะไรกัน บนเกาะนั้นอันตราย ถ้าศิษย์น้องเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใส่ใจนาง
อวี๋หวั่นมองนางด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากศิษย์พี่ของเจ้าไม่ได้โกหก บนเกาะนี้ต้องมีพ่อมดใหญ่คนหนึ่ง และพวกข้าก็จะให้เขาถอนผนึกพลังให้ศิษย์น้องของเจ้า แต่ถ้าหากศิษย์พี่มู่ถิงของเจ้าจงใจหลอกให้พวกข้ามายังสถานที่ที่อาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป เช่นนั้นพวกข้าก็คงทำได้เพียงฝังศพศิษย์น้องเจ้าไปพร้อมกัน!”
“เจ้า!” โจวอวี่เยี่ยนโมโหจนแทบลมจับ!
มู่ชิงมองไปยังมู่ถิงด้วยความตื่นตระหนก “ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้โกหกหรอกใช่ไหม? บนเกาะมีพ่อมดใหญ่จริงใช่ไหม?”
มู่ถิงกำหมัดแน่น กัดฟันพูดออกมาทีละคำว่า “ข้าไม่ได้โกหก!”
เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด
บนเกาะมีพ่อมดใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าไม่ใช่พ่อมดขาวที่ช่วยเหลือคน หากแต่เป็นพ่อมดดำที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่นต่างหาก!
คนกลุ่มนี้ที่มาที่ไปไม่แน่ชัด แต่กลับอยากบุกเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าพ่อมด มู่ถิงไม่อยากให้พวกตนโดนหางเลขไปด้วย จึงใช้วิธีตัดไฟแต่ต้นลม เขารู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ต้องขึ้นไปบนเกาะ ส่วนคนที่เหลืออยู่นั้น เขาสามารถรับมือได้
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ คนพวกนั้นพาตัวศิษย์น้องของเขาไปด้วย!
“ข้าจะไปด้วย!” มู่ถิงไต่เชือกลงเรือไป
“ข้าไปด้วย!”
“ข้าไปด้วย!”
มู่ชิงและโจวอวี่เยี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
อวี๋หวั่นยิ้ม “น่าเสียดาย เรือเล็กสองลำนี้เต็มแล้ว ในพวกเขาสองคน ไปได้อีกเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“เจ้ารออยู่บนเรือ!” โจวอวี่เยี่ยนหันไปบอกมู่ชิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ นางไม่ใช่แม่มด แต่นางมีวรยุทธ์ อีกทั้งวรยุทธ์ของนางก็ไม่แย่ นางแตะเท้าเพียงเล็กน้อยก็เหยียบลงบนเรือซึ่งอิ่งสือซันและศิษย์น้องเล็กของนางอยู่ มู่ถิงก็กระโดดลงไปในเรือเช่นกัน
อวี๋เซ่าชิงลงเรือลำเดียวกับลูกสาวและลูกเขย
อวี๋เซ่าชิงและเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนพายเรือ ส่วนบนเรืออีกลำหนึ่ง อิ่งสือซันและมู่ถิงรับหน้าที่ฝีพายคู่ ไม่นานเรือทั้งสองลำก็เคลื่อนมาจอดบนชายหาด
ที่นี่เป็นเกาะร้างไม่ผิดแน่ โดยรอบนับสิบหลี่ปราศจากเงาของผู้คน
พวกเขาจอดเรือ จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวเกาะ
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมืออวบอ้วนของอวี๋หวั่นไว้
กลัวเธอหายไปอย่างนั้นหรือ? อวี๋หวั่นถาม
อวี๋เซ่าชิงมองลูกสาวและลูกเขยเดินกระหนุงกระหนิงกัน ในใจก็รู้สึกปวดร้าวเหลือเกิน
วันแรกที่อาซูไม่อยู่ คิดถึง
วันที่สองที่อาซูไม่อยู่ คิดถึง คิดถึง
วันที่สามสิบเก้าที่อาซูไม่อยู่…
“เกาะใหญ่ถึงเพียงนี้ อาจารย์ของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าพ่อมดใหญ่อยู่ที่ไหน?”
เสียงใสของอวี๋หวั่นดังขึ้นขัดห้วงความคิดของอวี๋เซ่าชิง เขามองไปยังมู่ถิง เจ้านี่วางมาดเหลือเกิน ไม่น่าคบหาเหมือนมู่ชิง!
“พวกเจ้าดู มีหมอกลอยขึ้นมา!”
“นั่นไม่ใช่หมอก นั่นคือควันพรางตา” นัยน์ตาของอวี๋หวั่นกระตุกวูบหนึ่ง หยิบขวดยาใบเล็กขึ้นมาสามสี่ขวด แล้วโยนให้มู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยน “เม็ดละหนึ่งชั่วยาม! ป้อนให้ศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าด้วย!”
อวี๋หวั่นเหลือบมองพวกเขา “กินไปตั้งแต่ก่อนขึ้นจากเรือแล้ว เป็นยาป้องกันพิษร้อยชนิด กินไปเถอะ!”
โจวอวี่เยี่ยนไม่อยากกิน
มู่ถิงกลับกลืนยาลงไปทันใด
“ศิษย์พี่!” โจวอวี่เยี่ยนร้อง
มู่ถิงอธิบายว่า “พวกเขาไม่มีทางทำร้ายศิษย์น้อง ศิษย์น้องกินได้ พวกเราก็กินได้”
โจวอวี่เยี่ยนเบ้ปาก แล้วกินยาลงไปอย่างไม่เต็มใจ
อวี๋หวั่นยิ้ม มองไปทางมู่ถิง “ในเมื่อบนเกาะมีควัน ก็แสดงว่ามีคนอาศัยอยู่ ดูแล้วโชคเข้าข้างพวกเรา อาจได้พบกับพ่อมดใหญ่จริงๆ ก็เป็นได้”
มู่ถิงไม่ได้พูดอะไร เขาเบือนหน้าหนี มองไปด้านหน้าอย่างระแวดระวัง
อิ่งสือซันส่งโจวจิ่นให้อวี๋เซ่าชิง “ควันพรางตามาจากทางนั้น นายท่าน คุณชาย ฮูหยินน้อย พวกท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปสำรวจเส้นทางก่อน”
“เจ้าเองก็ระวังด้วย” อวี๋เซ่าชิงรับเด็กชายมา
อิ่งสือซันพยักหน้า แล้วสำแดงวิชาตัวเบาหายวับไป
ไม่ไกลออกไปมีโขดหินก้อนหนึ่ง โจวอวี่เยี่ยนยืนจนเมื่อยขา จึงเดินเข้าไปนั่ง แต่ยังไม่ทันได้นั่งก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบดังขึ้นเหนือศีรษะ ‘ถอยไป’
เสียงนี้น่าฟังจนบอกไม่ถูก แต่ก็น่ากลัวจนเสียวสันหลังวาบ
โจวอวี่เยี่ยนตัวสั่น พร้อมกับก้าวถอยออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมือของอวี๋หวั่น แล้วให้เธอนั่งลงบนโขดหิน
เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าแย่งที่นั่งของโจวอวี่เยี่ยนไปต่อหน้าต่อตา! ยังคิดเสียอีกว่าเป็นอะไร ที่แท้ก็จะให้สตรีผู้นี้นั่ง
!
มีสิทธิ์อะไร?!
ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน?!
อิ่งสือซันออกไปได้ไม่เท่าไร ควันพรางตาก็เริ่มหนาขึ้น ทำให้พวกเขามองเห็นในระยะเจ็ดฉื่อเท่านั้น
มู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยนจำต้องขยับเข้าไปใกล้พวกอวี๋หวั่น
โจวอวี่เยี่ยนไม่มีเวลาจะมาหัวเสีย นางมองไปยังควันที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ความวิตกค่อยๆ ท่วมท้นขึ้นในใจ “เป็นไปได้อย่างไร องครักษ์ของพวกเจ้าเล่า? เขาไม่เป็นไรกระมัง?”
อวี๋หวั่นหยิบขวดหยกโปร่งแสงใบหนึ่งออกมา แล้วแตะหนอนพิษตัวน้อยซึ่งส่องแสงสว่างด้านใน “หนอนพิษของเขายังอยู่ ของพวกเจ้าก็ยังอยู่”
พูดจบ เธอก็หยิบขวดหยกออกมาหลายใบ ทุกใบมีหนอนพิษตัวน้อยส่องแสงวับวาบอยู่ด้านใน
โจวอวี่เยี่ยนกดหน้าอกของตนเองไว้ “เจ้า…เจ้าปล่อยหนอนพิษใส่พวกข้ารึ?”
“ถ้าหากไม่ปล่อยหนอนพิษใส่พวกเจ้า ประเดี๋ยวข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่” ทันทีที่เธอพูดออกไป ร่างของโจวอวี่เยี่ยนและมู่ถิงก็ถูกควันพรางตากลืนเข้าไปจนมองไม่เห็น ราวกับหายลับไปในกลีบเมฆก็มิปาน
อวี๋หวั่นมองไปยังหนอนพิษน้อยในขวด “ข้าพูดเช่นนี้ถูกต้องไหม? เยี่ยนจิ่วเฉา?”
เธอหันหน้าไปมองรอบๆ “เยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉา…เยี่ยนจิ่วเฉา!”
…………………….