หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 481.2 พี่จิ่วออกโรง (2)
ในป่าเชียวชอุ่ม สายน้ำไหลเอื่อย ทิวทัศน์งดงาม เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ริมลำธาร มองไปยังน้ำตกสูงซึ่งอยู่ไกลออกไป เขาพลัดหลงกับอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ จึงเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ หมู่นกร้องเพลง แสงแดดสาดส่อง
เขาเดินไปเรื่อยๆ ก็พบกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับที่พำนักของเหล่าเทพเซียน
น้ำในลำธารนั้นใสจนมองเห็นก้นลำธาร ปลาขนาดเท่าฝ่ามือแหวกว่ายไปมา ก้อนหินใต้น้ำถูกกระแสน้ำซัดเซาะจนเงา แสงสะท้อนของดวงตะวันวับวาบขึ้นมาจากสายน้ำ
เยี่ยนจิ่วเฉาค้อมกาย นิ้วเรียวยาวจิ้มลงไปในน้ำ น้ำในลำธารนั้นหนาวเหน็บจนปวดกระดูก ปลาซึ่งก่อนหน้านี้ว่ายวนเวียนอยู่ในน้ำก็เตลิดหนีไป!
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบก้อนกรวดขนาดเท่าไข่นกพิราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง จับไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโยนลงไปในน้ำ
ไม่ไกลออกไป ท่ามกลางมวลบุปผาบานสะพรั่ง กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมา
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังป่าท้อซึ่งเป็นต้นควัน ในป่าท้อนั้นมีบ้านคน รั้วไม้ไผ่แหลมสูงครึ่งตัวคน ล้อมรอบเรือนซึ่งดูเรียบง่าย
รั้วซึ่งทำจากไม้ไผ่แหลมเปิดอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาเดินสาวเท้าเข้าไป
กระนั้นขณะที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ลูกศรเย็นเฉียบก็พุ่งเข้ามาหาเขา!
มันกำลังจะพุ่งเข้าทะลุอกของเยี่ยนจิ่วเฉา เขากลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด และปล่อยให้ศรธนูผ่านร่างของตนไป!
“กระจอก”
คุณชายเยี่ยนไม่ยี่หระต่ออาคมใดๆ เขาเดินเข้าไปในเรือนอันเย็นยะเยือก
จากนั้นก็มีศรธนูอีกจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามา เขามิได้ขยับหลบ แต่เดินไปตามระเบียงทางเดิน ดอกแล้วดอกเล่า แต่ในครั้งนี้เยี่ยนจิ่วเฉาลงมือแล้ว นัยน์ตาของเขากระตุกวูบ พลังภายในแข็งแกร่งปะทุออกมา ระเบิดศรธนูแหลกเป็นจุณ!
ลูกศรระลอกแรกเป็นอาคม ระลอกหลังเป็นของจริง แต่เมื่อถูกหลอกเข้าครั้งแรก คนทั่วไปมักจะคิดว่าระลอกหลังเป็นของปลอมเช่นกัน ไม่เพียงเพราะความเคยชิน แต่ยังเป็นเพราะไม่มีเวลายั้งคิดอีกด้วย
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามองอาคมของข้าออกได้อย่างไร”
ในห้อง เสียงของบุรุษชราฟังดูแหบพร่าราวกับระฆังโบราณ
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไป เรือนซึ่งเดิมทีอยู่ท่ามกลางดอกท้อบานสะพรั่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นเรือนมืดในป่าทึบ แสงแดดจ้าก็พลันกลายเป็นบรรยากาศขมุกขมัว เส้นขอบฟ้าหมดลง ราวกับฟ้ากำลังจะถล่ม
เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตากระตุกวูบ ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เหวี่ยงเปิดออก
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปอย่างไม่รอช้า
“เจ้ายังกล้าเข้ามาอีกหรือ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีก
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “ไม่เข้าไป แล้วข้าจะจับเจ้าออกมาได้อย่างไร?”
“เจ้าคิดจะจับข้าอย่างนั้นหรือ?” เจ้าของเสียงเอ่ยถามราวกับกำลังฟังเรื่องตลก ในห้องมีเสียงหัวเราะลั่น เป็นเสียงดังเย็นเยียบประหนึ่งเสียงของยมทูตจากขุมนรก
กระนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็มิได้ตกใจกลัว เขาเพียงแต่มองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เรือนของเจ้าอัปลักษณ์เหลือเกิน คุณชายอย่างข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เจ้าออกมาเองเถิด หรือจะให้ข้าจับเจ้าออกไป?”
“ข้าไม่ได้พบคนที่หยิ่งผยองอย่างเจ้ามานานแล้ว เจ้ามาถึงที่นี่ได้ นับว่ามีความสามารถพอตัว แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ว่าแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่บุกรุกเข้ามาบนเกาะแห่งนี้ล้วนแต่ตายทุกคน! เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ ข้าสังหารเจ้าไม่ลงคอ เอาอย่างนี้ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่จะดีกว่า เจ้าโขกศีรษะให้ข้าสามครั้ง แล้วข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์!”
“เป็นลูกศิษย์ของเจ้า ดีตรงไหนกัน?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นั่นล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าก็ยินดีจะถ่ายทอดความสามารถของข้าให้กับเจ้า”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘อ้อ! ’ ออกมา “เจ้าหมายถึงอาคมไร้ประโยชน์พวกนี้น่ะหรือ?”
“เจ้าเด็กบ้า!” ผู้เฒ่าโทสะพลุ่งพล่าน ผนังห้องโถงมืดทึบก็เปิดออก ศรพิษจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาสะบัดแขนเสื้อ ระเบิดศรพิษจนกระจุยกระจาย
“วิชาอายุวัฒนะ? เจ้าเด็กบ้า! เจ้าเป็นคนเผ่าพ่อมดรึ? ไม่สิ บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์! เจ้า…เจ้าเกี่ยวข้องกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างไร?!”
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
“คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์บุกเข้ามาถึงอาณาเขตของข้า ดูแล้วแค่สั่งสอนให้หลาบจำน่าจะยังไม่พอ! ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้ามีดีกว่าคนอื่น จึงอยากรับไว้เป็นศิษย์ แต่เจ้ากลับเป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อาจปล่อยเจ้ามีชีวิตรอดไปได้”
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบก้อนหินบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในกำอุ้งมือ กล่าวว่า “เจ้าแก่ เลิกอ้อมค้อมสักที จะสู้ก็มาสู้กัน หากจะไม่สู้ก็คุกเข่าลงเสีย”
“เจ้าเด็กโอหัง!!!”
ผู้เฒ่าโมโหสุดขีด เขาตวาดเสียงดัง พลังปะทุออกไป ในตอนนั้นเอง ในห้องโถงก็มีเงาสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา ผู้เฒ่าผมสีขาวโพลนคนหนึ่งปรากฏกายออกมา เขานั่งอยู่บนรถเข็น รถเข็นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
เมื่อได้ยินเสียงของเขา ย่อมต้องเดาว่าเขาอายุอานามประมาณเจ็ดแปดสิบ แต่ใบหน้าของเขาแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่คิด คล้ายกับอายุห้าหกสิบเห็นจะได้
เขาถลึงตาใส่เยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความโกรธเกรี้ยว
เยี่ยนจิ่วเฉาหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ ทั้งยังรูปร่างสูงสง่าจนเขาต้องหรี่ตา
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังท่อนไม้ซึ่งวางเรียงอยู่ที่กำแพง “นี่คือคนที่ถูกเจ้าดูดวรยุทธ์ใช่ไหม? จึงทำให้เจ้าอายุยืนถึงเพียงนี้”
ทันทีที่เขาพูดออกไป ท่อนไม้เหล่านั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นโครงกระดูก
สายตาของผู้เฒ่านั้นลึกล้ำ “อาคมของข้าปิดเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเย่อหยิ่งว่า “อาคม เข้าใจแล้ว ก็คือวิชาอำพรางตา ทั้งยังใช้ยาแฝด ทำให้คนเกิดภาพหลอน มองออกยากตรงไหน? ยาแฝดของเจ้า อวี๋อาหวั่นบ้านข้าทำออกมาได้เป็นอ่าง หากเจ้าอยากได้ ข้าจะให้”
“เจ้า!” ผู้เฒ่าเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
คนที่เขาพูดถึงนั้นทำออกมาได้จริงหรือไม่ ผู้เฒ่าไม่รู้ เขารู้เพียงแต่ว่าความสำเร็จของเขากำลังถูกท้าทาย เขาสูดหายใจเข้าลึก กดระงับความปรารถนาจะอัดเจ้าเด็กเวรตะไลนี่ให้ตาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นเยียบ “ข้าเสียดายความสามารถของเจ้าเหลือเกิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากเจ้าชนะ ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าหากเจ้าแพ้ ข้าก็จะเอาชีวิตเจ้า!”
“ได้สิ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบตกลง
ผู้เฒ่าพิจารณาสีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะต่อรองกับข้าว่า ถ้าหากข้าแพ้ ก็จะยอมไปกับเจ้าแต่โดยดี”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้เฒ่าเริ่มหมดความอดทน “เจ้าไม่ได้มาจับข้าหรอกหรือ?”
“อ่า เรื่องนั้นน่ะหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “เจ้าจะยินดีหรือไม่ ข้าก็จะจับเจ้าอยู่ดี”
ผู้เฒ่ามุมปากกระตุก!
เคยพบคนที่โอหัง แต่ไม่เคยพบที่เย่อหยิ่งเช่นนี้มาก่อน เจ้าเด็กนี่คงจะไม่รู้สินะว่าเขาเป็นพ่อมดระดับเทียน อาคมเมื่อครู่เป็นเพียงลูกไม้หลอกเด็ก เขายังไม่ได้สำแดงพลังที่แท้จริงเลยสักนิด!
ผู้เฒ่าดันรถเข็นไปถึงโต๊ะหิน จากนั้นจึงใช้พลังภายในนำถ้วยสามใบออกมาจากห้อง แล้วนำศิลาเวทซึ่งขนาดใกล้เคียงกับเหรียญใส่ลงไป จากนั้นจึงคว่ำแก้วทั้งสามลง
เขามองเข้าไปในดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉา “ดูให้ดี เจ้าหนุ่ม ห้ามกะพริบตา”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ‘อืม’ เบาๆ
ผู้เฒ่าเริ่มลงมือสลับแก้ว เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเพียงเงา หลังจากนั้นเขาก็หยุดลง แล้วถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ศิลาเวทอยู่ในแก้วใบไหน เจ้ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า”
“ไม่ต้องคิดหรอก” เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองเขา เมื่อถูกท้าทาย เยี่ยนจิ่วเฉาจึงยื่นนิ้วเรียวยาวออกมา จิ้มเข้าไปในเบ้าตาของผู้เฒ่า แล้วควักลูกตาขวาของเขาออกมา
แต่แล้วเขาก็พบว่าดวงตากลายเป็นเพียงศิลาเวทชุ่มเลือดก้อนหนึ่ง ผู้เฒ่าตรงหน้าล้มลงกับพื้นดัง ‘โครม’ กลายเป็นหุ่นฟางสวมเสื้อผ้าเท่านั้น
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยความขยะแขยงว่า “ชิ ข้ายังคิดเสียอีกว่าเป็นวิชาอำพรางตาที่เก่งกาจ มีแค่นี้เองรึ แม้แต่
ลูกข้ายังมองออกเลย”
พ่อมดใหญ่โทสะพลุ่งพล่าน พลังรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ซัดเข้าหาเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกไม่สนุกเอาเสียเลย เขาคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าแก่นั่น จึงทะยานขึ้นฟ้า แล้วพุ่งเข้าไปในห้องโถง คว้าคอของผู้เฒ่า แล้วดึงเขาขึ้นมา
แต่เรื่องก็มิได้จบลงเพียงเท่านี้ ทันทีที่พ่อมดดำถูกจับออกมาจากห้อง พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวรุนแรง ตามมาด้วยเสียงร้องของอวี๋หวั่นและโจวจิ่นซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
“เหอะๆ…” พ่อมดดำหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เจ้าจับข้าได้แล้ว ประเสริฐนัก ตอนนี้เจ้าได้เปิดค่ายกลลับแล้ว! พวกเขาทั้งสอง มีเพียงคนเดียวที่รอดไปได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องตาย ตายด้วยกันทั้งหมด!”
หลังจากที่อวี๋หวั่น อิ่งสือซัน และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของโจวอวี่เยี่ยนเดินทางผ่านป่ามาแล้ว ก็พบว่ามีบ่อน้ำลึกแห่งหนึ่งด้านล่างน้ำตก อวี๋หวั่นเห็นรอยเท้าของเยี่ยนจิ่วเฉา ขณะที่กำลังจะเดินตามรอยเท้านั้นไป ก็มีตาข่ายร่วงลงมาจากต้นไม้
โจวอวี่เยี่ยนเกือบถูกตาข่ายร่วงลงมาทับ ทว่ามู่ถิงเข้าไปผลักนาง แม้ว่านางจะหลบออกมาได้ แต่โจวจิ่นบนหลัง
ของอิ่งสือซันกลับได้รับบาดเจ็บหนัก
ตาข่ายนั้นมีหนามแหลมคม ตัดเข้าไปยังเชือกซึ่งใช้มัดโจวจิ่นไว้
แน่นอนว่าสภาพของอิ่งสือซันและโจวอวี่เยี่ยน รวมไปถึงมู่ถิงเองก็มิได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร หลังจากที่ค่ายกลถูกเปิด พื้นดินก็แยกออก ขาทั้งสองข้างของพวกเขาจมลงไปในทรายดูด ยิ่งขยับก็ยิ่งจมลงไปลึก ถ้าหากจมลงไปลึกกว่านี้ก็คงใช้พลังภายในไม่ได้แล้ว
ไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉาก็พบว่าสิ่งที่กำลังถูกกลืนลงไปไม่ได้มีเพียงเม็ดทราย แต่เรือนหลังนี้ก็กำลังเคลื่อนต่ำลงๆ และถูกดูดลงไปในทราย
พ่อมดดำหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาชี้ไปยังบ่อน้ำใต้เท้าของอวี๋หวั่น “เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นคือดวงตาค่ายกล พวกเขาสองคน ต้องมีหนึ่งคนที่ตกลงไปขัดดวงตานั้นไว้ มิเช่นนั้น ทั้งเกาะนี้ก็จะจมลง!”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตา “เจ้าหมายความว่า…พวกเขาทั้งสอง ลงไปเพียงคนเดียวก็พอแล้วใช่ไหม?”
พ่อมดดำชะงักไปครู่หนึ่ง คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?
“เจ้าคิดว่าการตัดสินใจนี้ยากมากเลยหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
พ่อมดดำหัวเราะ “เจ้าหนุ่ม อย่างแสร้งทำเป็นใจเย็นไปหน่อยเลย เจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกหรือว่าเจ้ามีพิษอยู่ในร่าง? เจ้าต้องการใช้เด็กคนนั้นถอนพิษให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่อาจยอมทิ้งสตรีคนนั้นได้ เจ้าว่าชีวิตของเจ้าสำคัญ หรือว่าชีวิตของสตรีคนนั้นสำคัญกว่ากัน? อา ใช่แล้ว เจ้าเลือกอะไรไม่สำคัญ สตรีผู้นั้นพกมีดสั้น เพียงตัดเชือกของตนเอง นางก็จะตกลงไปในดวงตาของค่ายกลแล้ว!”
“ดูเหมือนว่าต้องมีใครลงไปขัดดวงตาของค่ายกลจริงๆ สินะ” เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มเย็นชา แล้วคว้าพ่อมดดำเหวี่ยงลงไปในดวงตาค่ายกล!
พ่อมดดำถลึงตาอย่างไม่อยากเชื่อ “จจจ…เจ้ายังต้องการข้า…อั่กก…กกก…”
ยังพูดไม่ทันจบ พ่อมดดำก็จมลงไปในน้ำ พริบตาเดียวก็ถูกดูดลงไปในดวงตาค่ายกลแล้ว
เหตุการณ์บนเกาะหยุดลงทันใด เยี่ยนจิ่วเฉาเหาะขึ้นข้างบน แล้วดึงอวี๋หวั่นกับโจวจิ่นขึ้นมา อวี๋หวั่นถูกเขากอดไว้ แต่โจวจิ่นกลับไม่ได้โชคดีปานนั้น เขากระแทกลงบนร่างของโจวอวี่เยี่ยนดังอั่ก!
“โอ๊ย~” โจวอวี่เยี่ยนน้ำตาไหลอาบแก้ม
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงอิ่งสือซันขึ้นมา อิ่งสือซันเข้าไปดึงมู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยนขึ้นมาอีกที
“เกือบไปแล้ว” มู่ถิงลูบหน้าผากซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อครู่คิดว่าตนเองกำลังจะตาย มิน่าเล่าทุกคนที่มายังเกาะนี้ต่างก็ไม่มีใครกลับออกมา เจ้าพ่อมดดำนั้นน่ากลัวเหลือเกิน
“แต่ว่า” มู่ถิงมองไปยังบ่อน้ำลึกซึ่งหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว “คนผู้นั้น…คือพ่อมดใหญ่บนเกาะนี้หรือ? เจ้าฆ่าเขาไปแล้ว แล้วใครจะกำจัดผนึกพลังในร่างศิษย์น้องข้าเล่า”
อวี๋หวั่นและอิ่งสือซันเดินไปหาเยี่ยนจิ่วเฉาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่มีทางยอมสังเวยชีวิตของอวี๋หวั่นหรือชีวิตของเด็กไม่ประสีประสาคนหนึ่งเพื่อแลกกับชีวิตของตนเอง
“ต้องโทษเจ้านั่นแหละ!” อวี๋หวั่นจ้องมู่ถิงเขม็ง
“โทษข้าเรื่องอะไร” มู่ถิงตกใจ
อวี๋หวั่นตอบว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าชักช้า พวกเราคงเข้าไปในเรือนนั่นตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมาเจอดวงตาค่ายกลเช่นนี้หรอก!”
“อะแฮ่ม!” มู่ถิงยกกำปั้นขึ้นกระแอม เขาตั้งใจถ่วงเวลาจริง แต่ไม่ใช่เพื่อทำร้ายทุกคน ตั้งแต่ขึ้นมาบนเกาะ พวกเขาทุกคนก็นับว่าขึ้นเรือลำเดียวกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์น้องทั้งสองของเขาอยู่ที่นี่ ไหนเลยเขาจะทำร้ายพวกเขาได้ลงคอ? เขาเพียงแต่รู้ว่ามีพ่อมดดำบนเกาะ เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใกล้พ่อมดดำมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหวาดกลัว สัญชาตญาณทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
อวี๋หวั่นหรี่ตามองเขา “มู่ถิง เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าบนเกาะมีพ่อมดดำ? เจ้าพาพวกข้ามาที่นี่ เป็นเพราะอยากให้พวกข้าติดอยู่ที่นี่ตลอดไปใช่ไหม พวกข้าจะได้ไม่เป็นภาระของพวกเจ้า ใช่ไหมเล่า?”
“ข้าเปล่า!” มู่ถิงปฏิเสธทันควัน!
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจเขา เธอคว้ามือของเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
จบสิ้นแล้ว ไม่มีพ่อมดใหญ่แล้ว…
“ออกมาเถิด” เยี่ยนจิ่วเฉาลูบศีรษะของอวี๋หวั่น มองไปยังเรือนหลังนั้น
“หืม?” อวี๋หวั่นหันหน้าไปด้วยความสงสัย ก็พบว่ามีเงาหนึ่งโผล่ออกมาจากเรือนโกโรโกโสหลังนั้น
อวี๋หวั่นอ้าปากค้าง “นั่นคือ…”
เจ้าของร่างเดินโซไปเซมาจนถึงเบื้องหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา พยายามสุดแรงเกิดเพื่อค้อมกาย เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นว่า “ข้าถูกเจ้าเดรัจฉานนั่นขังไว้ยี่สิบปีแล้ว…ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้ออกมาเห็นแสงตะวันอีกครั้งหนึ่ง…ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต…”
ที่แท้ก็เป็นคนที่ถูกเจ้านั่นขังไว้นั่นเอง ถูกขังไว้นานถึงเพียงนี้ น่าสงสารเหลือเกิน อวี๋หวั่นมองเขาอย่างพิจารณา แล้วถามว่า “ท่านเป็นใครหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างอ่อนแรง แล้วยกมือขึ้นประสานกัน “ข้าเป็นคนสกุลเว่ยแห่งเจียงตู นามว่าหานหลิน”
“เว่ย…หานหลิน?” มู่ถิงเข่าอ่อน เขาทรุดลงคุกเข่าในทันที
………………………….