หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 505 นางเจียงเปิดศึก!
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นอ่อนแอและเอาชนะได้ง่าย นางเจียงจึงปล่อยมือจากหลัวช่าทหาร
หลัวช่าทหารสับเท้าวิ่งหนีไปทันที!
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยก็คือ อยู่ๆ คนที่เดิมทีเคยอยู่ด้านหลังของเขาก็มาปราฏตัวด้านหน้าของเขา ความเร็วในการหนีของเขาราวกับกำลังจะไปเกิดใหม่ หากจะจับเขานั้นแทบเป็นไปไม่ได้
“ไอ้หยาาา” นางเจียงร้องออกมา
หลัวช่าทหารก็เห็นว่าสตรีคนนั้นถูกตนเองชนจนกระเด็น
เอ๊ะ…
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจริง แต่เขาไม่ได้ใช้พลังภายในสักหน่อย ชนไปเพียงนิดเดียว ไม่ถึงกับกระเด็นได้
หรอกกระมัง…
นางเจียงรีบพยักหน้าหงึก ใช่แล้วๆ ข้าอ่อนแอมากๆ!
แต่นางอ่อนแอถึงเพียงนี้ เหตุใดเขายังต้องหนีด้วยเล่า?
นางเจียงปราดเข้ามาด้านหน้าของเขาอีก ครั้งนี้นางจะต้องกระเด็นไปไกลกว่าเดิม!
หลัวช่าหนีไม่พ้น จึงชนเข้ากับนางอีก
“ไอ้หยาาาาาา” นางเจียงลอยออกไปไกลด้วยท่าทางงดงาม
หลัวช่าทหารซึ่งสงสัยว่าตนเองไม่ได้ใช้แรง ไม่มีทางชนนางจนกระเด็นออกไปได้ไกลถึงเพียงนั้น “…”
อย่าดูถูกสติปัญญาของหลัวช่าทหารได้ไหมเล่า?
แม้แต่เขาเองใช้วิชาตัวเบาลอยออกไปเร็วและไกลขนาดนี้ไม่ได้เลย! อย่างนางน่ะหรือเรียกว่าอ่อนแอ?!
อีกด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นซึ่งรู้ว่าราชินีแม่มดจับแพะรับบาปมาก็ยังคงไม่เข้าใจ ตามหลักแล้ว เธอเข้าวังไปด้วยใบหน้า
จริง ภาพวาดที่ราชินีแม่มดให้คนนำมาก็เป็นภาพของเธอเอง เป็นเพราะความสามารถของศิลปินหรืออย่างไร ถึงวาดเธอออกมาไม่เหมือน? หรือว่าองครักษ์จะสายตาฝ้าฟาง จับมาผิดคน?
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ พักก่อน ให้ต๋าหว่ากลับไปสืบความจริงในวังหลวง”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ราชินีแม่มดอาจปล่อยสัญญาณลวงเพื่อให้พวกเราตายใจ หรือไม่ก็ให้พวกเราเกิดความสงสัยและไปสืบความในวังหลวง จากนั้นก็ติดกับพวกเขา”
ทุกคนขึ้นไปบนรถม้าที่ต๋าหว่าจัดหามา
ตอนนี้ทุกที่ในเมืองหลวงล้วนแต่อันตราย พวกเขาไม่มีที่ไป สถานที่ซึ่งราชินีแม่มดกุมอำนาจไว้ก็คือสกุลเวิน แต่ในขณะเดียวกัน สกุลเวินก็เป็นสถานที่ซึ่งหลบหนีจากการตรวจค้นได้ดีที่สด
ต๋าหว่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าไปสืบมาแล้ว ฮูหยินรองชอบดูการแสดง ในสวนด้านตะวันตกของของสกุลเวินมีโรงละครอยู่หลังหนึ่ง สร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ บางครั้งนางก็จะซื้อคณะละครมาอยู่ในนั้น ตอนนี้ในโรงละครมีคณะละครเพียงคณะเดียว ข้าจะลอบพาคนพวกนั้นออกมา แล้วพวกเจ้าก็เข้าไปอยู่”
โจวอวี่เยี่ยนอยู่บนรถม้าคันนั้นด้วย เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ถ้าหากคนในคณะละครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปจะทำอย่างไร”
“ข้าเป็นพ่อมด จะถึงกับจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เชียวหรือ? วางใจเถิด คนธรรมดาข้าจัดการได้” ต๋าหว่าพูดพลางเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่น ลอบคิดในใจว่าสองคนนี้ท่าทางแปลกไปหรือเปล่า?
แผนการนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ต๋าหว่าเบนความสนใจขององครักษ์เฝ้าประตูไป แล้วเรียกคณะละครออกมา พาพวกเขาขึ้นรถม้า จากนั้นก็ให้อวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉา และคนอื่นๆ เข้าไปด้านใน
คณะละครไม่ใช่เจ้านาย จึงไม่มีบ่าวในสกุลเวินคอยรับใช้ แต่ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้พวกอวี๋หวั่นสามารถปกปิดตัวตนได้แนบเนียนขึ้น
หลังจากที่เข้าไปในห้องโถงกลาง อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็นั่งลง
อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา “ทีนี้พวกเรายังต้องแลกเปลี่ยนคนกับราชินีแม่มดอยู่ไหม?”
เยี่ยยางอยู่ในเงื้อมมือพวกเขา ราชาพ่อมดอยู่ในเงื้อมมือของราชินีแม่มด หากทั้งสองฝ่ายตกลงแลกเปลี่ยนกัน ก็นับว่ายุติธรรมทีเดียว
เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดห่อผ้าออก แล้วหยิบกล่องขนมออกมาส่งให้อวี๋หวั่น “ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อรู้ตัวแพะรับบาปแล้วค่อยว่ากัน”
ต๋าหว่ารีบพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะเข้าวัง”
แสดงมามากแล้ว ต๋าหว่าคิดว่าตนเองเข้าถึงบทมากขึ้นเรื่อยๆ กล้าหาญมากขึ้นเสียด้วย!
เพียงแต่สิ่งที่ต๋าหว่าไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ออกจากจวน ก็พบกับเรื่องเหนือความคาดหมาย
เขาออกมาทางด้านหลังของสวน ตรงไปยังคอกม้า ก่อนหน้านี้ขี่ม้ามาตลอดทั้งวัน จึงรู้สึกเหนื่อยล้า เขาคิดจะเลือกม้าดีๆ มีพละกำลังสักตัว ไหนเลยจะรู้ว่าขณะที่เดินผ่านสระบัว ก็ได้ยินฮูหยินหลานและฮูหยินเหมยกำลังทะเลาะกัน
อนุภรรยาสองคนทะเลาะกันยังไม่เท่าไร ต๋าหว่ามิได้นำมาใส่ใจ ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นเอง ฮูหยินรองก็เข้ามา
วันนี้นางออกไปข้างนอกเพื่อซื้อกุญแจอายุยืนให้หลานชาย ระหว่างทางจึงซื้อภาพเขียนอักษรโบราณมาให้ท่านปู่และพ่อสามี
“โอ้! ฮูหยินรองไม่ใช่หรือ? ฮูหยินรอง” ฮูหยินหลานหยุดฮูหยินรองไว้ระหว่างทาง และคำนับด้วยท่าทีประหลาด
ตั้งแต่ที่รู้ว่าฮูหยินรองนอนในห้องของเวินซวี่หนึ่งคืน ฮูหยินหลานก็ยิ่งไม่พอใจ พาลไม่ชอบหน้าฮูหยินรองยิ่งกว่าเดิม
“ฮูหยินรอง” ฮูหยินเหมยคำนับ ท่าทีของนางแลดูมีกาลเทศะกว่าฮูหยินหลานมาก
ฮูหยินรองพยักหน้าน้อยๆ “พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่หรือ แดดแรงเหลือเกิน อย่าอยู่ที่นี่นาน ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”
เดิมทีนางพูดคำประโยคนี้ด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกฮูหยินหลานแปลเป็นอีกความหมายหนึ่ง ฮูหยินหลานหัวเราะ แล้วพูดว่า “ฮูหยินรองรีบไล่ให้พวกข้ากลับเรือนเช่นนี้ เป็นเพราะกังวลว่าพวกข้าจะแย่งนายท่านรองไปใช่ไหมเจ้าคะ?”
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร!” สาวใช้ของฮูหยินรองเอ่ยปาก
ฮูหยินหลานยกมือขึ้นหมายจะฟาดลงไป “ข้าพูดอยู่ ขี้ข้าอย่างเจ้าอย่ามาสอด!”
เพียะ!
ฮูหยินรองตบหน้านาง!
ในตอนนั้น ไม่ใช่ฮูหยินหลานเพียงคนเดียวที่ตกใจ แม้แต่ฮูหยินเหมยก็พูดไม่ออก
ฮูหยินรองกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “คนของข้า ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างเจ้ามาสั่งสอนเหมือนกัน!”
ฮูหยินหลานโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เดิมทีนางคิดว่าฮูหยินรองอ่อนต่อโลก รังแกง่าย ไม่คิดเลยว่านางจะเข้มแข็งเช่นนี้ หากถามว่าเหตุใดจึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นั่นก็เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินรองมิได้เป็นที่เอ็นดูของนายท่านรอง ฮูหยินหลานจึงคร้านจะใส่ใจนาง แต่บัดนี้เวินซวี่เห็นแก่หน้าฮูหยินรองกว่าเดิมมาก ฮูหยินหลานรับไม่ได้ และรู้สึกริษยาขึ้นมา ทำให้นางตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับฮูหยินรอง
“ไปกันเถิด!” ฮูหยินรองบอกกับสาวใช้
“…เจ้าค่ะ!” สาวใช้กอดของขวัญไว้แน่น แล้วสาวเท้าตามฮูหยินรองไป
ฮูหยินหลานหายใจหอบด้วยความโกรธ คนบางคนเมื่อเห็นนางในจุดตกต่ำ ก็ไม่ยินดีที่เห็นยามที่นางลุกขึ้นสู้ “เข้าไปนอนในห้องของนายท่านรองเพียงคืนเดียวไม่ใช่รึ? จะเป็นที่โปรดปรานแค่ไหนกันเชียว?”
ฮูหยินเหมยลอบส่ายหน้า ฮูหยินรองไม่ได้กลายเป็นคนเย่อหยิ่งเพียงเพราะเวินซวี่ไว้หน้านาง นางทระนงเฉกเช่นภรรยาหลวงเช่นนี้มาตลอด เพียงแต่หากไม่ระรานนาง นางย่อมไม่ระรานผู้ใด นางไม่ได้รักเวินซวี่ เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดจะทะเลาะเบาะแว้งกับอนุภรรยาของเวินซวี่ แต่เมื่อใดที่หาเรื่องนางก่อน นางก็จะไม่ยอมปล่อยไป
ฮูหยินรองอยู่ในสกุลเวินมานานถึงเพียงนี้ เป็นเพราะได้รับความโปรดปรานจากเวินซวี่หรืออย่างไร?
นั่นเป็นเพียงความคิดของคนเบาปัญญา โดยไม่ได้คำนึงถึงชาติกำเนิดของภรรยา นางเป็นถึงไข่มุกในมือ[1]ของผู้อาวุโสสาม!
อย่างไรเสียฮูหยินหลานก็อายุน้อย ไม่ทันได้นึกถึงเรื่องนี้ คิดเพียงแต่ว่าฮูหยินรองริษยานางมานาน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่กล้าเผชิญหน้ากับนาง นายท่านรองเอ็นดูเข้าสักหน่อย ก็เคลิบเคลิ้มจนคิดจะมาสู้กับนาง
น่าขัน คิดว่านางรังแกง่ายหรือ?
ขณะที่ฮูหยินรองเดินสวนกับฮูหยินหลานนั้นเอง ฮูหยินหลานก็ยื่นเท้าออกมา แล้วเหยียบเข้าที่ชายกระโปรงของฮูหยินรอง
ฮูหยินรองสะดุด และโซเซตกลงไปในสระบัว
ฮูหยินเหมยยื่นมือออกไปจับนางไว้ ทว่าแรงของนางไม่มากพอ จึงถูกลากลงไปด้วย ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง มืออีกข้างหนึ่งของนางก็คว้าฮูหยินหลาน
ฮูหยินหลานไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกดึงลงไปในน้ำเสียแล้ว
ครานี้ สตรีทั้งสามคนล้วนแต่ตกลงไปในน้ำ
“ใครก็ได้ ช่วยด้วย ฮูหยินรองตกลงไปในน้ำ!” สาวใช้ของฮูหยินรองตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก
ทั้งสามคนว่ายน้ำไม่เป็น จึงกระเสือกกระสนตีแขนขาเพื่อไม่ให้ตนจมลงไป
ต๋าหว่าเป็นคนแรกที่กระโดดลงไป
ทันทีที่เห็นร่างของนายท่านรองปรากฏต่อหน้า ฮูหยินหลานก็ดีใจจนแทบร้องไห้
นายท่านรองงงงง
ฮูหยินหลานยื่นมือออกไปหาต๋าหว่า
หลีกไป!
ต๋าหว่าปัดมือของนางออกด้วยความรังเกียจ แล้วว่ายน้ำผ่านหน้านางไปเพื่อช่วยฮูหยินรองซึ่งกำลังจะหายใจไม่ออกขึ้นมาบนฝั่ง
ต๋าหว่าเองก็ไม่นับว่าว่ายน้ำเก่ง หลังจากที่ช่วยฮูหยินรองขึ้นมา ขาของเขาก็ล้าจนขยับไม่ไหว
ทันใดนั้นเอง บ่าวซึ่งอยู่ใกล้เคียงได้ยิน จึงรีบตามมาช่วยฮูหยินเหมยและฮูหยินหลานขึ้นจากน้ำ จากนั้นก็มีบ่าวบางคนกุลีกุจอเข้าส่งเสื้อคลุมและผ้าเช็ดตัวให้ แต่ส่งให้เพียงเวินซวี่ ฮูหยินเหมย และฮูหยินหลาน
บรรดาบ่าวในจวนล้วนเคยชินกับการประจบประแจง พวกเขารู้ว่าเวินซวี่ไม่ชอบภรรยาเอก รักแต่เพียงฮูหยินเหมยและฮูหยินหลาน
ต๋าหว่าเห็นว่ามีสาวใช้ประคองฮูหยินรองขึ้นมาโดยลำพัง นางหนาวจนตัวสั่นเทิ้ม
ไม่รู้ว่าทำไม ต๋าหว่าถึงรู้สึกโมโห!
“นายท่านรองขอรับ!” บ่าวคนหนึ่งส่งผ้าสะอาดให้ต๋าหว่า
ต๋าหว่าจ้องเขาเขม็ง แล้วรับผ้ามา เขาเดินไปตรงหน้าฮูหยินหลานและฮูหยินเหมย ฮูหยินหลานมองเขาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “นายท่านรอง เมื่อครู่ท่านจำคนผิดไป…”
ต๋าหว่าแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก แล้วแย่งผ้าคลุมซึ่งบ่าวกำลังจะนำมาคลุมให้นาง จากนั้นก็เดินไปหาฮูหยินรอง เขาก้มลงคลุมผ้าให้ฮูหยินรอง จากนั้นก็ยื่นผ้าสะอาดให้นาง
ฮูหยินรองเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่านางไม่ยื่นมือมารับ ต๋าหว่าก็กระแอม จากนั้นก็คุกเข่าลง กำผ้าขนหนูแน่น แล้วค่อยๆ เช็ดใบหน้าซึ่ง
เปียกชุ่มและขาวซีดของฮูหยินรอง
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ล้วนแต่อ้าปากค้าง พวกเขาไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม? นายท่านรองอ่อนโยนกับฮูหยินรองถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ตอนที่นายท่านรองช่วยฮูหยินรองขึ้นมา พวกเขายังคิดเสียอีกว่านายท่านรองรีบร้อนจนช่วยขึ้นมาผิดคน กระนั้นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะอธิบายว่าอย่างไร?
“ข้า…ข้าทำเอง” ฮูหยินรองหลุบตาลง แล้วรับผ้ามาจากต๋าหว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดตกใจจนต้องรุดมาถึงที่
ผู้อาวุโสสูงสุดกวาดสายตาไปยังฝูงชน เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ฮูหยินหลานและฮูหยินเหมยต่างคุกเข่าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ฮูหยินรองลุกขึ้นยืน แล้วคำนับอย่างรู้มารยาท “เรียนท่านปู่ เมื่อครู่ข้าไม่ระวัง จึงพลัดตกลงไปในน้ำ ฮูหยินหลานและฮูหยินเหมยจะเข้ามาช่วยข้า แต่ก็ตกน้ำลงไปด้วย”
ฮูหยินหลานก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
ฮูหยินเหมยกังวลว่าความหวังดีของนางจะถูกผู้อาวุโสสูงสุดสงสัย
ไหนเลยจะรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดไม่แม้แต่จะเหลือบมองทั้งสองคน แต่กลับเรียกต๋าหว่าไปถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าไม่ได้ต้องออกไปจับคนร้ายหรอกหรือ? กลับจวนมาทำอะไร”
“ข้า…” ต๋าหว่านัยน์ตากระตุกวูบ แย่แล้วๆ ครั้งนี้ไม่ได้ท่องบทมา จะแสดงอย่างไรดีละทีนี้
“ม้าข้าเหนื่อยน่ะขอรับ!” ปฏิภาณไหวพริบของเขาทำงานในทันใด “ข้าผ่านจวนมาพอดี จึงเข้ามาเปลี่ยนม้า”
คอกมาอยู่ใกล้ๆ ที่นี่
สายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสมองไปที่เขา สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ตะไคร่บนรองเท้าของเขา “เจ้าไปโรงละครมาหรือ?”
ต๋าหว่าใจเต้นโครมคราม!
เรื่องนี้ก็มองออกรึ?
ฮูหยินรองมองไปยังรองเท้าของต๋าหว่า ก็พบว่าบนรองเท้าของเขามีตะไคร่สีเขียวอมเหลือง ซึ่งพบได้เพียงที่โรงละคร ที่อื่นมีตะไคร่น้อย ย่อมไม่มีทางเห็นเป็นสีเช่นนี้
ตะไคร่ชนิดนี้ค่อนข้างเหนียว แช่น้ำแล้วก็ยังล้างไม่ออก
เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของต๋าหว่า จบสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดสายตาทะลุปรุโปร่งเหลือเกิน มองออกแล้วว่าเขา ‘ซ่อน’ ใครไว้ เขายังไม่ทันได้ไปบอกเรื่องนี้กับพวกเยี่ยนจิ่วเฉาเลย ถ้าหากผู้อาวุโสสูงสุดตามไป ทุกคนจะต้องถูกจับเป็นแน่!
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น” ฮูหยินรองมองไปยังต๋าหว่า “ข้าไม่ได้ต้องกินพุทราที่โรงละครเดี๋ยวนี้สักหน่อย”
เดิมทีที่โรงละครมีสวนผลไม้อยู่แห่งหนึ่ง ภายหลังสร้างโรงละครขึ้นมา จึงเก็บสวนผลไม้บางส่วนไว้
ต๋าหว่าต่อบทได้ในทันใด “ก็ข้าเห็นว่าสวนผลไม้อยู่ไม่ไกล จึงจะไปเก็บให้ระหว่างทาง”
ฮูหยินรองมองไปยังผิวน้ำซึ่งยังคงกระเพื่อมอยู่ แล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “แต่ก็มาตกน้ำเสียก่อน”
ราวกับว่าเมื่อครู่ต๋าหว่าเก็บพุทรามาเป็นกอบเป็นกำ!
ต๋าหว่าตบอกแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร! ไว้ข้าจะไปเก็บให้ใหม่!”
ฮูหยินรองส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก นายท่านรองมีราชกิจต้องไปทำ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้บ่าวไปเก็บก็ได้ หงอวี้
ประเดี๋ยวเจ้าไปเก็บพุทรามา แล้วนำไปส่งที่เรือนของผู้อาวุโสสูงสุดกับนายท่านใหญ่ด้วย”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างฉลาดเฉลียว
ผู้อาวุโสสูงสุดมองไปยังฮูหยินรอง ฮูหยินรองสบตาเขาด้วยความจริงใจ
สุดท้ายผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้พูดอะไร สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
“พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถิด” ฮูหยินรองบอกกับฮูหยินเหมยและฮูหยินหลาน
“เจ้าค่ะ!” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
ฮูหยินหลานแข้งขาไร้เรี่ยวแรง แต่กลับถูกฮูหยินเหมยลากกลับเรือน
บ่าวคนอื่นก็แยกย้ายกันออกไป
ต๋าหว่าพาฮูหยินรองกลับเรือน
ระหว่างทาง ไม่มีใครพูดอะไร
ต๋าหว่าอาจไม่รู้ หลังจากที่ฮูหยินรองแต่งเข้ามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่สามีเดินมาเป็นเพื่อนนาง
ต๋าหว่าหยุดฝีเท้าหน้าประตู “ถึงแล้ว เจ้าเข้าไปเถิด รีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ประเดี๋ยวจะเป็นไข้”
เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่ม ยามที่เขาขยับตัว ก็จะมีน้ำหยดไปตามทาง
“ช้าก่อน”
ฮูหยินรองเรียกเขา
“หืม?” ต๋าหว่าหันหลังมา
“ท่าน…” ฮูหยินรองเอ่ยปาก “โรงละครไม่ปลอดภัย หากนายท่านรองต้องการซ่อนคน ไม่สู้มาซ่อนไว้ที่เรือนของข้าดีกว่าหรือ”
…………………………………………….
[1] ไข่มุกในมือ เปรียบเปรยว่าเป็นลูกหลานหัวแก้วหัวแหวน