หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 104-1 ค้นหาความจริง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด เรื่องอื่นมีให้พูดเล่นมากมายไม่พูด แต่กลับไปพูดเรื่องนั้นเสียได้ ตอนออกจากบ้านเขาไม่ได้เปิดปฏิทินดูก่อนสินะถึงได้ซวยเช่นนี้ ขืนเฟิ่งชิงเกอรู้เข้าคงต้องด่าเขาเป็นการใหญ่แน่!
“นายน้อย เมื่อครู่ข้ามิได้พูดอันใดทั้งสิ้น ท่านได้ยินผิดแล้วขอรับ” เขาหัวเราะฝืดๆ
จีหมิงซิวมองเขาด้วยสายตานิ่งสนิท “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้ามีเรื่องปิดบังข้า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกล่าวอย่างมีพิรุธ “ไม่ๆ ไม่ๆ ข้าจะกล้าปิดบังท่านได้อย่างไร ข้าพูดโดยไม่ยั้งคิด พูดไร้สาระเท่านั้นขอรับ! ท่านอย่าใส่ใจเลย!”
“เยี่ยนเฟยเจวี๋ย!”
เสียงของจีหมิงซิวเข้มขึ้นในฉับพลัน หัวใจของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระตุกวูบหนึ่ง ไม่กล้าทำไขสืออีก “ท่าน…เอ่อ…เมื่อห้าปีก่อนท่านหายตัวไปสามวันมิใช่หรือ ข้าคิดว่าท่านไปหาคนรักคนไหนสักคน จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นท่านไปหาคนรักใช่หรือไม่ขอรับ”
เขาไม่มีคนรัก!
หากมีจริง คงให้กำเนิดอัครมหาเสนาบดีตัวน้อยๆ ได้เป็นโหลแล้ว
สายตาคมกริบของจีหมิงซิวจับจ้องใบหน้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เลิกเลี่ยงประเด็นเสียที”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกสายตาดุดันของจีหมิงซิวเพ่งมองจนหัวใจเต้นประหนึ่งรัวกลอง ร้ายดีอย่างไรเขาก็เคยเป็นเจ้าสำนักของสำนักด้านมืดมาก่อน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายน้อยเขากลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าเขาโดยไม่รู้ตัว จะต้องเป็นเพราะคำสาบานเลือดแน่ๆ ที่ทำให้สายเลือดของนายน้อยมีอำนาจเหนือพวกเขา อนิจจา ตอนนั้นเขาโง่เง่าเองถึงได้ยอมอยู่ใต้อำนาจเด็กเช่นนี้ เวรกรรมแท้ๆ
“ข้า…ข้า คือว่าข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าไม่ได้เป็นคนแรกที่หาท่านพบเสียหน่อย! หากท่านสงสัยก็ไปถามเฟิ่งชิงเกอ นางรู้ดีกว่าข้า!”
ดวงตาลึกล้ำของจีหมิงซิวทอประกายเย็นเยียบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยู่ต่อไม่ได้แล้ว ถึงยามนี้นายน้อยจะไร้วรยุทธ์ แต่อย่าคิดว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับเหล่าผู้เฒ่าเจนโลกอย่างพวกเขา หากนายน้อยต้องการทรมานใครสักคน เขามีหลายพันวิธีที่จะทำให้คนผู้นั้นร้องขอความตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ เขานึกเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นเห็นดีเห็นงามกับเจ้าเด็กพวกนั้น ตอนนี้เป็นเช่นไรเล่า เรื่องแดงออกมาหมดแล้ว!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอามือกุมท้อง “นายน้อยขอรับ ข้า…ข้าท้องเสีย! ขอไปเข้าห้องส้วมก่อน! หมิงอัน! นายน้อยจะออกไปข้างนอก! เจ้าไปขับรถม้า!”
“ขอรับ มาแล้วๆ!” หมิงอันวิ่งออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
หมิงอันเป็นเด็กรับใช้ หากจะพูดให้ดูดีขึ้นหน่อยก็อาจเรียกว่าผู้ติดตามคนสนิท เขาคอยดูแลรับใช้เรื่องจิปาถะของจีหมิงซิวยามอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาไม่ทราบความลับและเรื่องสำคัญบางอย่าง อาทิ เจ็ดยอดฝีมือ เขาก็เคยพบเพียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชี ทว่าแม้เป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ทราบที่มาอันแน่ชัดของทั้งสองคน คิดเพียงว่าทั้งสองเป็นองครักษ์กับองครักษ์เงาที่นายท่านว่าจ้างมาจากข้างนอกด้วยค่าตอบแทนสูงเท่านั้น
หลายวันมานี้ยามนายท่านออกไปข้างนอกล้วนพาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปผู้เดียว แต่มิพาเขาไปด้วย ทำให้เขาเกือบจะคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการแล้ว
ตอนนี้มีโอกาสได้แสดงความสามารถ แล้วเขาจะพลาดได้อย่างไร
เขามองจีหมิงซิวแล้วส่งยิ้มให้อย่างสดใส “นายท่าน เราจะไปที่ใดกันขอรับ”
…
ทางฝั่งหรงจี้
หลังจากเฉียวเวยไล่ตัวหลัวจื่ออวี้ออกไป แล้วเดินออกจากห้อง นางก็เห็นคนยืนหน้าสลอนกันอยู่ด้านข้าง ใบหน้าแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น อยากใช้สิ่วเจาะประตูส่องดูให้รู้แล้วรู้รอด
เฉียวเวยกวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาเย็นชา “ทำอันใดกัน แต่ละคนมายืนขวาง เป็นเทพเฝ้าประตูกันหรือ”
เสี่ยวลิ่วเกาศีรษะแกรกๆ ยิ้มเหมือนจะร้องไห้ “พี่เฉียว ผู้ชายของท่านยังไม่ตายหรือ แล้วยังอยากจะรับท่านกลับไปด้วยหรือ”
หากเป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนที่เขาวางยาคุณชายสวมหน้ากากท่านนั้นย่อมเป็นเรื่องผิดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขากับพี่เฉียวได้ฮุยเลฮุยกันแล้วหรือไม่ ขอสวรรค์บันดาลให้ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นด้วยเถิด ไม่เช่นนั้นมิกลายเป็นความผิดของเขาหรือไร
เฉียวเวยกอดอกหลวมๆ “ตายแล้วเช่นไร ไม่ตายแล้วจะเป็นเช่นไร ทำไม เจ้าสนใจขนาดนี้ เจ้าอยากแต่งงานกับเขาหรือ”
เสี่ยวลิ่วสำลักอย่างรุนแรง “พี่เฉียว ท่าน…ท่านเหยียบเรือสองแคม”
เถ้าแก่หรงตบศีรษะเขาดังป้าบ “พูดอะไรของเจ้า นี่เรียกว่าเหยียบเรือสองแคมอย่างนั้นหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นดอกซิ่งแดงยื่นล้ำกำแพง !”
เฉียวเวยยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินประโยคแรก แต่เมื่อได้ยินประโยคที่สองนางก็มีสีหน้าถมึงทึงทันที “ว่างมากขนาดนี้ ทำทุกอย่างเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ฝึกทำอาหารจานใหม่จนชำนาญแล้วหรือ”
พ่อครัวเหอเดินหนี
“โต๊ะด้านล่างก็เช็ดถูเรียบร้อยแล้วสิ”
เสี่ยวลิ่วเผ่นแน่บ
“กวาดถูห้องส้วมแล้วใช่หรือไม่”
ลูกจ้างทำงานจิปาถะสองคนหลบออกไป
สุดท้ายจึงเหลือแต่เถ้าแก่หรง เถ้าแก่หรงเชิดหน้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ยืนอยู่ตรงนี้มันเหนื่อย ไม่กลัวหรือว่ากลับบ้านไปคืนนี้จะไม่มีแรงฟัดกับภรรยา”
เถ้าแก่หรงอ้าปากแล้วก็หุบ พูดคำใดมิออก เขาชี้หน้าเฉียวเวย จากนั้นเดินกลับไปห้องบัญชีของตนทั้งอับอายและเก้อเขิน
เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ นางยิ้มเย็นชาขณะมองดูถ้วยชาบนโต๊ะที่ตัวหลัวจื่ออวี้ไม่ได้แตะ
ว่ากันว่าคบคนเช่นไรย่อมเป็นคนเช่นนั้น ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวหลัวจื่ออวี้แต่งให้ยิ่นอ๋องเหมือนดอกไม้ปักบนมูลวัว แต่ตอนนี้ดูแล้ว นี่มันคู่สร้างคู่สมชัดๆ!
ผัวร้องเมียรับ เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย!
เสียสติไปแล้วหรือไร!
ลูกๆ ของนางเกี่ยวอะไรกับพวกเขา
ตอนนางท้องยิ่นอ๋องอยู่ที่ไหน ตัวหลัวจื่ออวี้อยู่ที่ไหน
ตอนนางคลอดลูก พวกเขาอยู่ที่ไหน
ตอนนางกับลูกๆ กำลังจะหิวตาย หนาวตายหรือแม้แต่กำลังจะถูกคนฆ่าตาย พวกเขาไปอยู่ที่ไหน
ไม่เคยเป็นที่พักพิงกำบังลมฝนให้นางสักวัน มาถึงก็เอ่ยปากบอกว่าจะพรากลูกของนางไป แล้วยังพูดด้วยถ้อยคำสวยหรูว่า ‘เลี้ยงดูแทนนาง’ ทำแทนกับผีสิ!
ถ้ามีปัญญาก็คลอดลูกแทนนางสิ!
ไม่เคยลำบากแทนนางแม้แต่วันเดียว แต่พอเด็กๆ ต่างเติบใหญ่ รู้ความ มีอนาคตที่ดีแล้วกลับรีบเสนอหน้ามานับญาติ มันสายเกินไปแล้ว!
นางไม่สนว่า ‘ตนเอง’ กับยิ่นอ๋องจะมีความสัมพันธ์ที่บอกผู้อื่นมิได้จริงๆ หรือไม่ นั่นเป็นหนี้รักของเจ้าของร่างเดิม และเจ้าของร่างเดิมก็ชดใช้ด้วยชีวิตไปแล้ว ดังนั้นนางกับยิ่นอ๋องจึงเป็นเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก!
ทางด้านตัวหลัวจื่ออวี้ หลังออกมาจากหรงจี้ ไหล่ทั้งคู่ของนางก็สั่นระริก บอกไม่ถูกว่าเพราะกลัวเฉียวเวยหรือเพราะโกรธเฉียวเวยกันแน่
จินจือพยุงนางขึ้นรถม้า จากนั้นเปิดช่องเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านข้าง หยิบขวดบรรจุน้ำค้างสำหรับใช้ยามต้องการเรียกความสดชื่นออกมา แล้วเทมาเช็ดตรงขมับของนางเบาๆ “คุณหนู ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
ตัวหลัวจื่ออวี้หวนนึกถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่นาบบนลำคอ หัวใจยังหวาดหวั่นไม่หาย “ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะชักมีดออกมา”
“นางเป็นคนหยาบคาย พฤติกรรมย่อมต่ำช้าหยาบกระด้างเป็นธรรมดา คุณหนู หลังจากนี้พวกเราอย่าไปแหย่นางจะดีกว่า นางจะได้มิกลายเป็นสุนัขจนตรอก ทำสิ่งที่ย้อนกลับมาแก้ไขอันใดมิได้กับท่าน” จินจือกล่าวอย่างจริงจัง
“เมื่อก่อนนางมิได้เป็นเช่นนี้…” ตัวหลัวจื่ออวี้นึกถึงตอนเห็นคุณหนูใหญ่เฉียวจากบนเรือ เป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อมโยงหญิงสาวผู้งดงามบอบบางน่าทะนุถนอมดุจดอกสาลี่ต้องหยาดฝนคนนั้นกับหญิงชาวบ้านผู้ห้าวหาญคนนี้ “อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมานางต้องทนทุกข์ทรมานมามาก นิสัยจึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้กระมัง จินจือ เจ้าคิดว่าข้าทำผิดไปหรือไม่”
จินจือเบ้ปากพลางพูดว่า “ท่านทำสิ่งใดผิดหรือเจ้าคะ ท่านเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพ ฐานะสูงส่งกว่านางตั้งเท่าไร ท่านยินดีจะเลี้ยงดูลูกของนาง นั่นเป็นวาสนาของนางกับลูกแล้ว! ท่านดูท่าทางดุร้ายป่าเถื่อนของนางสิเจ้าคะ เหมือนสตรีที่มีจิตใจดีงามตรงไหน ขืนให้เด็กอยู่กับนาง ไม่รู้ว่าจะสั่งสอนกันจนกลายเป็นเช่นไร”
ตัวหลัวจื่ออวี้ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาว่าลูกชายของนางเป็นทั่นฮวาน้อยในการสอบเสินถง ถ้านางไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกจริงๆ ลูกของนางคงไม่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
จินจือส่งเสียงหึในลำคอ “นั่นเป็นเพราะเด็กฉลาด สืบทอดความฉลาดมาจากท่านเขยของพวกเรา! เกี่ยวอันใดกับนางเจ้าคะ”
ตัวหลัวจื่ออวี้เอ่ยปราม “อย่าต่อว่านางเช่นนั้น”
จินจือพูดอย่างเศร้าใจ “ข้าพูดเช่นนั้นก็เพราะเกรงว่าท่านจะได้รับความไม่เป็นธรรม ยังไม่ทันแต่งเข้าเรือนก็มีลูกอนุถึงสองคน ท่านอุตส่าห์ยอมรับนางด้วยความหวังดี แต่นางกลับไม่ยอมรับไมตรี”
ตัวหลัวจื่ออวี้ถอนหายใจ “ข้าไม่ได้ยอมรับนาง แต่จะยอมรับเด็กสองคนนั้นต่างหาก ถึงอย่างไรเด็กก็เป็นผู้บริสุทธิ์”
จินจือพูดอย่างจนปัญญา “ท่านใจดีเกินไป! ในจวนมีคุณหนูทั้งหมดสามคน ท่านเป็นคนที่จิตใจดีมีเมตตาที่สุด คุณหนูสามไม่เคยยอมเสียเปรียบ หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นคุณหนูสาม เกรงว่านางคงฆ่าคนตายไปแล้ว ส่วนคุณหนูรองร่างกายอ่อนแอ แต่ความจริงกลับเป็นคนที่มีหัวคิดมากที่สุด มีแต่ท่านที่คิดแทนคนอื่น เมื่อใดท่านจะคิดทำเพื่อตัวเองบ้างเจ้าคะ”
จินจือคิดว่าคุณหนูใหญ่เฉียวผู้นั้นหูตามืดบอดจึงไม่ยอมฟังคำแนะนำของคุณหนู ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณหนูทำเพื่อผลประโยชน์ของนางเองตั้งแต่แรก แต่ถึงจะไม่ใช่เช่นนั้น การที่นางล่วงเกินคุณหนูของตนนั้นมีประโยชน์อะไร รอให้เข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง คนที่เป็นแค่อนุจะมีอำนาจเท่าไรกันเชียว สุดท้ายแล้วก็ต้องจำนนต่อสิ่งที่คุณหนูของนางพูดอยู่ดี!
ตัวหลัวจื่ออวี้ไม่อยากขบคิดเรื่องนี้อีกแล้ว นางคิดว่าความคิดของนางมิใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะกะทันหันเกินไปจึงทำให้คุณหนูใหญ่เฉียวตั้งรับไม่ทันเท่านั้น ให้เวลาคุณหนูใหญ่เฉียวอีกหน่อย เมื่อคิดตกแล้วบางทีอีกฝ่ายอาจเข้าใจความปรารถนาดีของนาง
ขณะที่นายบ่าวสองคนกำลังครุ่นคิดกันคนละสิ่ง รถม้าหลังคาสีแดงตัวรถสีน้ำตาลเทียมอาชาสองตัวคันหนึ่งก็เคลื่อนผ่านไป สายลมโชยพัดผ้าม่านของอีกฝ่ายให้พลิ้วเปิด เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาดุจเทพบุตร แม้สวมหน้ากากอยู่ แต่ก็แลเห็นจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากและคางงามวิจิตรราวกับถูกแกะสลักจากช่างฝีมือดี
เขานั่นเอง
สามีที่ท่านพ่อหมายตาไว้ให้ตน
น่าเสียดายที่เขาบอกปัดว่ามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้ว จึงปฏิเสธการแต่งงานกับนาง
ตัวนางไม่ได้คิดอันใดกับเขา สาเหตุที่นางนึกสนใจเขาก็เพราะเขากล้าปฏิเสธการแต่งงานกับจวนแม่ทัพเท่านั้นเอง
“คุณหนู นั่นอัครมหาเสนาบดีมิใช่หรือเจ้าคะ” จินจือประหลาดใจ “อัครมหาเสนาบดีไปจัดการปัญหาเรื่องน้ำที่เจียงหนานมิใช่หรือ เหตุใดเขาจึงปรากฏตัวในเมืองหลวง”
ตัวหลัวจื่ออวี้เอ่ยตอบเสียงเบา “ได้ยินมาว่าจู่ๆ เขาก็ล้มป่วยเป็นโรคร้ายกะทันหันจึงจำต้องเดินทางกลับมา ราชสำนักจึงส่งขุนนางผู้อื่นไปแทน”
จินจือพึมพำเบาๆ “เขาดูเหมือนคนป่วยที่ใดกันเจ้าคะ”
“พวกเราอย่าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นดีกว่า”
จินจือกระซิบ “บ่าวได้ยินมาว่าเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับท่านเขยเจ้าค่ะ”
ตัวหลัวจื่ออวี้วางหน้าจริงจัง “นั่นเป็นเรื่องของพวกบุรุษ พวกเราที่เป็นสตรีอย่าเข้าไปยุ่ง”
จินจือก้มศีรษะลง “เจ้าค่ะ”
…
ด้านเฉียวเวยที่ถูกรบกวนจากตัวหลัวจื่ออวี้ ไม่มีอารมณ์ทำอาหารแล้ว นางจึงนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ใน ‘สำนักงาน’ เพียงลำพัง
จีหมิงซิวเปิดประตูเข้าไปด้านใน เห็นนางสีหน้าดำทะมึนเหมือนก้นหม้อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม “ผู้ใดมาหาเรื่องเจ้าหรือ”
เฉียวเวยหันมามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ยิ่นอ๋องกับคุณหนูตัวหลัว พวกคนสารเลว! ต่างจะมาแย่งลูกของข้า! แล้วยังเอาฮ่องเต้มากดดันข้าอีก! ฮ่องเต้แล้วอย่างไร เป็นฮ่องเต้แล้วแย่งลูกคนอื่นได้เช่นนั้นหรือ”
จีหมิงซิวพูดเย้าว่า “หากเจ้าบอกว่าเป็นลูกของข้า ฮ่องเต้ก็ไม่มาแย่งแล้ว”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ท่านฝันไปเถอะ!”
จีหมิงซิวนั่งลงตรงข้ามกับนาง พอเห็นถ้วยชาเย็นชืดบนโต๊ะจึงถามว่า “ของข้าหรือของผู้อื่น”
เฉียวเวยตอบอย่างเฉยเมย “ของคุณหนูตัวหลัว หากท่านมิรังเกียจก็เชิญ นางยังไม่ได้จิบสักคำ”
จีหมิงซิวรังเกียจเป็นอย่างมาก เขาเอื้อมมือเรียวยาวราวกับหยกไปหยิบถ้วยชาของเฉียวเวย ยกถ้วยชาที่เฉียวเวยดื่มเหลือไว้ครึ่งถ้วยขึ้นมาดื่มมันจนหมด
“อาการบาดเจ็บของท่านเป็นเช่นไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
“ดีขึ้นมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดื่มสุราได้แล้วสิ” เฉียวเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางยังจำเหตุการณ์ตอนดวลสุราได้ จีหมิงซิวเสแสร้งเก่งนักจริงๆ มิว่าอย่างไรนางก็ดูไม่ออกว่าจีหมิงซิวเมาหรือไม่ คิดว่าเขาเป็นเหมือนตนเองที่ดื่มพันจอกไม่เมาหมื่นจอกไม่ล้ม
จีหมิงซิวมองนางอย่างมีเลศนัย “คิดจะมอมสุราข้าอีกแล้วหรือ”
เฉียวเวยเปิดตู้ หยิบโถที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำขึ้นเป็นพิเศษออกมา “ใช่เสียที่ไหน ข้าเพียงอยากจะบอกท่านว่า ท่านมาผิดเวลา ข้ายังบ่มสุรามิได้ที่เลย”
จีหมิงซิวตบโถ “เจ้าต้องการสิ่งนี้มาบ่มสุราหรือ”
“ถูกต้องแล้ว” เฉียวเวยพยักหน้า “ความจริงแล้วน้ำขมๆ ที่ท่านดื่มไปหนก่อนคือสุราชนิดหนึ่ง แต่มันยังขาดฟองอากาศ จึงต้องเติมน้ำตาลแล้วปิดผนึกทำการหมักบ่มอีกเป็นหนที่สอง แม้ผลที่ได้อาจไม่ดีเท่ากับการเติมด้วยเครื่องจักร แต่รสชาติเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอน”
“เครื่องจักรคือสิ่งใด” จีหมิงซิวมองนางอย่างฉงน ตัวเขานับได้ว่าเป็นผู้รอบรู้คนหนึ่ง ทว่ามักจะได้ยินคำที่ตนไม่เคยได้ยินออกมาจากปากของนางอยู่บ่อยครั้ง
เฉียวเวยขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะเข้าใจว่าเป็นเครื่องมือก็ได้ แต่เครื่องจักรที่ข้ากำลังพูดถึงนั้น ล้ำหน้ากว่าเครื่องมือของรัชสมัยต้าเหลียง”
เฉียวเวยครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นหยิบกระดาษกับพู่กันออกมาวาดภาพประกอบ อธิบายเครื่องจักรในครัวเรือนนานาชนิดให้จีหมิงซิวฟัง “…นี่คือเครื่องดูดฝุ่น…นี่คือเครื่องล้างจาน…”
จีหมิงซิวได้ฟังก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ “บ้านเกิดที่เจ้ากล่าวถึงคือเมืองเตียนตูหรือ” เมืองเตียนตูมีสิ่งมหัศจรรย์ปานนี้เชียวหรือ
เฉียวเวยเกาใบหูน้อยๆ ของตนเองเบาๆ “ไม่ใช่เมืองเตียนตู แต่เป็นเมืองที่อยู่ไกลมากๆ ต่อให้นั่งรถม้าก็ไปไม่ถึง”
เรือเหาะก็ไปไม่ถึง หากอยากกลับไปจริงๆ เกรงว่าคงต้องขึ้นไทม์แมชชีนไป
สาเหตุที่จีหมิงซิวคิดว่าบ้านเกิดของนางอยู่ที่เมืองเตียนตู เพราะว่าหุบเขาสมุนไพรที่เป็นบ้านเกิดมารดาของนางก็อยู่ในเมืองเตียนตูเช่นกัน แม้นางจะปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันแปลก บางทีมารดาของนางอาจมาจากที่อื่นก็เป็นได้ เพียงแต่ว่า…
“เจ้าความจำเสื่อมมิใช่หรือ เหตุใดถึงจำเรื่องเหล่านี้ได้” เขาเอ่ยถาม
เฉียวเวยยิ้มแก้เก้อ “ข้าจำได้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้”
จีหมิงซิวปรายตามองนาง แววตาเหมือนมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง จนเฉียวเวยเกือบคิดว่าเขามองออกว่านางทะลุมิติมา เขาชี้ภาพวาด “นอกจากเครื่องล้างจาน เครื่องดูดฝุ่น เครื่องเป่าผม แล้วยังมีเครื่องอะไรอีก”
เฉียวเวยเล่าให้เขาฟังถึงเครื่องจักรอีกหลายชนิดที่นาง ‘จำได้’ เล่าอย่างตื่นเต้นด้วยแววตาเป็นประกาย เพียงพริบตาเดียวก็ขจัดอารมณ์อึมครึมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปจนหมด แม้แต่ความไม่สบายใจที่ตัวหลัวจื่ออวี้มาก่อกวนก็มลายหายไปราวกับฝุ่นควัน ทั้งร่างราวกับกำลังเปล่งประกายงดงามสะกดสายตา
จีหมิงซิวเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้สึกอารมณ์ดีตามโดยไม่รูตัว
เฉียวเวยเล่าอยู่นานสองนาน พูดจนคอแห้ง จีหมิงซิวจึงรินน้ำชาให้นาง นางจิบชาก่อนที่จะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “อ้อ ข้าลืมถามว่าท่านทานอาหารมาหรือยัง”
“ข้าไม่ได้มาทานอาหาร” จีหมิงซิวกล่าว
“อ๋อ” เฉียวเวยจับปอยผมสีดำขลับขึ้นทัดใบหู จากนั้นมือทั้งสองข้างจึงยกขึ้นเท้าคาง แล้วคลี่ยิ้มหวาน “แล้วท่านมาทำสิ่งใดที่นี่ ตั้งใจมาหาข้าหรือ”
จีหมิงซิวมองนางอย่างขบขัน “ข้ามาที่นี่เพื่อบอกลา”
เฉียวเวยหน้าเสีย “ท่านจะไปที่ใด”
“เจียงหนาน”
“งานราชการหรือ”
“งานส่วนตัว”
เฉียวเวยพยักหน้า ไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ เขาตั้งใจมากล่าวลานางก่อนออกเดินทางก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเขาไปทำสิ่งใดเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา นางไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง
“ไปประมาณกี่วันหรือ” นางถาม
จีหมิงซิวลูบไล้มือของนาง “ถ้าเสร็จเร็วต้นเดือนก็กลับมาแล้ว” เดินทางไปเจียงหนานต้องเดินทางด้วยทางน้ำ เมื่อล่องเรือตามกระแสน้ำย่อมเดินทางได้รวดเร็วยิ่ง