หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 106-1 ซาลาเปาน้อยแสดงพลัง ต่อต้านยิ่นอ๋อง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 106-1 ซาลาเปาน้อยแสดงพลัง ต่อต้านยิ่นอ๋อง
ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่ได้
คนที่มุงดูเรื่องครึกครื้นสังเกตเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไป จากเดิมที่มุงดูอยู่รอบๆ พวกเขาทั้งหมดจึงค่อยๆ ถอยออกไป กระทั่งตรอกที่มีเสียงดังพลันเงียบสงัด เมื่อเสียงดังขึ้นอีกครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าเสียงการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ยิ่นอ๋องไม่ได้หวังว่าคำพูดของเขาจะทำให้ผู้หญิงใจกล้าบ้าบิ่นคนนี้หวาดกลัวจริงๆ ผู้หญิงคนนี้มีความกล้าเหมือนเสือดาว ไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ใด ขอให้ได้หาเรื่องก่อนค่อยว่ากัน สิ่งที่น่าทึ่งคือนางสามารถจัดการกับผลที่ตามมาได้ทุกครั้ง หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่เชื่อว่ามีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ในโลก
แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาส่งหน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยทั้งหมดออกมา นั่นมากเกินพอที่จะจัดการกับสตรีนางหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีนางนี้กำลังจูงแขนลูกเล็กทั้งสองคนไว้ด้วย…
ต่อให้มีเพียงพอนขาวช่วย มันก็ไร้ประโยชน์
เสี่ยวไป๋เป็นเพียงพอนที่เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี หลังจากถูกกลุ้มรุมโจมตีครั้งหนึ่ง เสี่ยวไป๋ก็พัฒนาฝีมือขึ้นจนไม่ถูกจับได้ง่ายๆ อีก มันตวัดกรงเล็บอันแหลมคม ตวัดเมื่อใดเป็นโดน ทำให้หน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยต้องร้องครวญครางเป็นกอง
เฉียวเวยพาลูกวิ่งหนี!
ดวงตาของยิ่นอ๋องเบิกกว้าง คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!
ยิ่นอ๋องใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นบนฟ้า แล้วสะบัดฝ่ามือกลางอากาศใส่เฉียวเวยอย่างรุนแรง!
ได้ยินเสียง พลั่ก! ดังขึ้นหนหนึ่ง ร่างหนึ่งถูกกระแทกเข้ากับแผงลอยขายลูกท้อที่เก็บร้านหนีไม่ทัน แผงลอยถูกกระแทกพังยับเกิดเสียงโครมดังสนั่น จากนั้นลูกท้อหลายลูกก็กลิ้งกระจัดกระจายบนพื้น มีหลายลูกกลิ้งไปชนเฉียวเวย
เฉียวเวยหันกลับไปเพ่งมองก็เห็นสวี่ซื่อเจี๋ยกุมหน้าอก นอนล้มอยู่บนกองลูกท้อที่ถูกทับแหลกกับแผ่นไม้กระดานแตกหัก
กลิ่นลูกท้อเปรี้ยวๆ หวานๆ ลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
พ่อค้าเจ้าของแผงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเก็บลูกท้อพลางร้องไห้คร่ำครวญ “ลูกท้อของข้า! ลูกท้อของข้า…”
ยิ่นอ๋องโยนทองคำให้เขาแท่งหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาแล้วกัด เมื่อแน่ใจว่าเป็นของจริงก็ ระเบิดเสียงหัวเราะในทันที ไม่ต้องเก็บลูกท้อแล้ว รถก็ไม่ต้องการ เขาจากไปอย่างมีความสุข
ยามมองแผ่นหลังของพ่อค้าผู้นั้น ดวงตาของเฉียวเวยก็มืดหม่นลงเล็กน้อย ยิ่นอ๋องยิ้มหยัน “ดูสิ นี่ก็คือศักดิ์ศรีของชาวบ้านต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า! เด็กๆ! พาคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยกลับจวน!”
องครักษ์ชุดสีแดงหลายนายเหินลงมาจากฟ้า ฝีมือของคนเหล่านี้แม้แต่หน่วยองครักษ์ชิงอีเวยก็เทียบไม่ติด
เฉียวเวยดึงมีดสั้นออกมา ไม่มีโอกาสชนะแล้วจะทำไม อย่างมากก็เพียงสู้จนตัวตาย!
สวี่ซื่อเจี๋ยลุกพรวดขึ้นมาขวางหน้าเฉียวเวย เขาโค้งคำนับให้ยิ่นอ๋อง “น้อมส่งท่านอ๋อง! น้อมส่งคุณชายน้อย! น้อมส่งคุณหนูน้อย!” ยิ่นอ๋องพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา พาองครักษ์กลุ่มใหญ่ออกไปจากตรอกของร้านคนโปรด
หัวใจของเฉียวเวยเหมือนถูกสูบออกไปจนว่างเปล่า
สวี่ซื่อเจี๋ยถูหน้าอกที่เจ็บปวด โชคดีที่หมอนั่นไม่ได้หมายเอาชีวิตของเฉียวเวย ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องตายอย่างอเนจอนาถ “เจ้าน่ะอย่าหุนหันพลันแล่นนักเลย เขามีลูกน้องมากมาย เจ้าคนเดียวสู้กับคนมากมาย ไม่มีโอกาสชนะหรอก”
ทำไมเฉียวเวยถึงจะไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ เพียงแต่ในฐานะมารดา ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจยามต้องเบิ่งตามองลูกถูกพรากไป ผู้ใดเล่าจะเข้าใจ น่าสงสารก็แต่เด็กสองคนนั้น เพราะกลัวว่านางจะเสียใจจึงไม่ร้องไห้ด้วยซ้ำ
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นท่านอ๋อง” สวี่ซื่อเจี๋ยนึกหวาดผวาย้อนหลัง โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้กลอุบายอะไรกับอีกฝ่าย แถมยังหวังดีไปแบ่งปันความลับเรื่องที่เฉียวซื่อ ‘เลี้ยงหนุ่มน้อยหน้าขาว’ กับอีกฝ่ายด้วย สิ่งเหล่านี้คงเพียงพอชดเชยการกระทำไม่ให้เกียรติต่างๆ นานาก่อนหน้านั้นของเขาแล้วกระมัง “เหตุใดไม่บอกตั้งแต่แรกเล่าว่าผู้ชายของเจ้าเป็นถึงท่านอ๋อง”
ถ้าบอกก่อนตั้งแต่แรก เขาคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้การได้สินเดิมสูงเสียดฟ้าจะดีที่สุด มีภรรยากับลูกก็ดี แต่เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเสพสุขกับมันก่อนสิ!
“ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อครู่”
สวี่ซื่อเจี๋ยคิดว่าเฉียวเวยจะพูดว่า ‘ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ข้าจะหาโอกาสตอบแทนเจ้าในภายหน้า’ เสียอีก แต่เฉียวเวยกลับกล่าวว่า “ถือว่าหายกันกับเรื่องที่เจ้ามาต้มตุ๋นก่อนหน้านี้ นับแต่นี้ทางใครทางมัน ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก”
ผู้หญิงคนนี้ใจแข็งอย่างไม่ธรรมดาจริงๆ…
เฉียวเวยอุ้มเสี่ยวไป๋พาเดินออกจากตรอก
คนที่แย่งลูกของนางไปต้องชดใช้อย่างสาสม
ยิ่นอ๋อง ท่านทำให้ข้าโกรธแล้วจริงๆ!
…
จวนอ๋องวิจิตรบรรจงและหรูหรา หมู่หินเรียงสลับซับซ้อนกันขึ้นเป็นวังน้ำ ขื่อแกะสลักและทาสีงดงาม ศาลาห้องหอต่างๆ ตั้งเรียงรายงามวิจิตร เมื่อมาถึงเรือนหลังหนึ่งมีป้ายเขียนติดไว้ว่า ‘หอชิงฮุย’ ยิ่นอ๋องก็หยุดและกล่าวกับผู้มาใหม่ทั้งสองว่า “เสด็จพ่อให้คนมาทำความสะอาดเรือนหลังนี้เรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าก็พักอยู่ที่หอชิงฮุยนี่ มา เสด็จพ่อจะพาพวกเจ้าเข้าไป”
พูดจบก็ผายมือออก ตั้งใจจะจับมือเด็กน่ารักทั้งสองคน
วั่งซูหดตัวถอยหนี หลบเลี่ยงมือของเขา
จิ่งอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ขยับตัวแต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยง
มุมปากของยิ่นอ๋องยกโค้งขึ้นด้วยความยินดี ลูกชายดีกว่าเพราะไม่ปฏิเสธเขา แต่ลูกสาวก็น่ารัก คิดว่าคงทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยมาก “วั่งซูไม่ต้องกลัว เสด็จพ่อไม่ใช่คนไม่ดี ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาบังคับพาตัวเองมา วั่งซูก็จำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทางเข้าหมู่บ้าน ผู้ชายคนที่บอกว่าเป็นเสด็จพ่อผู้นี้ก็คือคนเลวที่หน้าตาคล้ายลุงหมิง
ที่แท้เขาไม่ได้สกุลหลี่…
“ท่านลุงเสด็จพ่อ ท่านพาข้ากลับบ้านได้หรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูถามอย่างระมัดระวัง
ท่านลุงเสด็จพ่อ? คำเรียกบ้าบออันใด
สีหน้าของยิ่นอ๋องเริ่มแปลกใจเล็กน้อย
วั่งซูกล่าวเสียงนุ่มนิ่ม “ท่านลุงเสด็จพ่อ ถ้าข้าเชื่อฟังท่าน ท่านช่วยส่งข้ากลับบ้านไปหาแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ยิ่นอ๋องลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง “วั่งซู ที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า”
วั่งซูมองไปรอบๆ “ท่านแม่อยู่ที่ใด”
ที่ใดมีท่านแม่ถึงจะเรียกว่าบ้าน
จู่ๆ ยิ่นอ๋องก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้จับนางมาด้วย ถ้ารู้แต่แรกว่าเด็กๆ ติดนางมากขนาดนี้ เขาควรจะอดทนมากกว่านี้ รับนางเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องด้วยกันก่อน เมื่อเด็กๆ คุ้นเคยดีแล้วค่อยไล่นางกลับชนบท ขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัว
หากไปรับนางตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่
ช่างเถิด ดูจากนิสัยของนางที่เห็นวันนี้ นางต้องไม่มีทางยอมรับความหวังดีจากเขาแน่
“วั่งซู จากนี้ไปเจ้าจะอยู่กับเสด็จพ่อ” เขาพูดอย่างอ่อนโยน
วั่งซูเบือนหน้าหนี “ท่านแม่เล่าเจ้าคะ นางไม่มาหรือ เหตุใดท่านไม่ให้นางมา”
คำถามนี้ทำเอายิ่นอ๋องหยุดชะงัก คำตอบนั้นง่ายมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กไร้เดียงสาสองคน เขาก็ยากที่จะเอ่ยปาก หันไปส่งสายตาให้ขันทีหลิว
ขันทีหลิวรีบไปหาขนมจากห้องครัวมาอย่างรวดเร็ว ขนมที่ยกมาคือขนมเผือกกรอบพันชั้น เปลือกนอกเป็นสีม่วงอ่อน พับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับปุยเมฆ ยามที่กัดเข้าไปก็ละลายในปาก รสชาติหวานแต่ไม่เลี่ยน เขายื่นมาตรงหน้าของวั่งซู แล้วพูดด้วยรอยยิ้มระรื่น “คุณหนู ท่านลองชิมสักหน่อยดีหรือไม่”
วั่งซูหิวอยู่บ้างเหมือนกัน นางหยิบขนมเผือกกรอบพันชั้นมาชิ้นหนึ่ง ปากสีแดงเล็กๆ ของนางกัดเข้าไปคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยความรังเกียจว่า “ไม่อร่อยเท่าฝีมือของท่านแม่!”
ขันทีหลิวมองยิ่นอ๋องอย่างลำบากใจ ยิ่นอ๋องโบกมือ ขันทีหลิวจึงถือจานขนมเผือกกรอบพันชั้นออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นเนยแข็งที่นำมาจากชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เล็กๆ ทางตอนเหนือ เนยแข็งสีเหลืองนวลถูกวางไว้บนกลีบดอกบัวเป็นเส้นๆ กลิ่นหอมของเนยแข็งเข้ากันกับกลิ่นหอมของดอกบัว ทำให้นึกอยากลิ้มลองรสชาติ
วั่งซูกลืนน้ำลายดังเอื้อก
ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างแผ่วเบา “ทานสิ เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก”
วั่งซูต้องอดทน ห้ามกินอะไรมั่วๆ ห้ามกินอะไรมั่วๆ ห้ามกินอะไรมั่วๆ กินอะไร กิน…
กิน
ยิ่นอ๋องยิ้มเล็กน้อย “หวานหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” วั่งซูพยักหน้า “แต่ถึงท่านจะให้ข้ากินของอร่อย แต่ท่านก็ยังเป็นท่านลุงคนเลว”
จิตใจของยิ่นอ๋องไม่คับแคบถึงขนาดที่จะไปถือสาหาความกับเด็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งที่เขาทำในอดีตนั้นไม่ชวนให้ชื่นชอบจริงๆ เขาจึงไม่ได้พูดอะไร เขาพาเด็กสองคนเข้าไปในเรือน เมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ถามขันทีหลิว “สองห้องไหนที่เป็นห้องของพวกเขา”
ขันทีหลิวชี้ไปยังห้องที่สว่างโล่งสองห้อง พวกมันเป็นห้องที่หันหน้าไปทางทิศใต้ “ห้องด้านซ้ายเป็นของคุณชายน้อย ห้องด้านขวาเป็นของคุณหนูน้อยขอรับ”
เมื่อวั่งซูได้ยินว่ามีห้องสองห้อง นางก็รีบวางเนยแข็งที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งกลับคืนที่ถาดเดิม “ข้าไม่อยากนอนแยกกับท่านพี่ อันนี้เอาคืนไป ข้าไม่กินแล้ว”
ขันทีหลิวมองยิ่นอ๋องด้วยความลำบากใจ “นี่…”
ใบหน้าของยิ่นอ๋องเยียบเย็นลงเล็กน้อย
ขันทีหลิวกระแอม อธิบายกับวั่งซูว่า “คุณหนู ท่านโตแล้ว ควรจะนอนคนเดียวได้แล้วขอรับ”
“ข้าไม่เอา!” วั่งซูกอดพี่ชายแน่น
จิ่งอวิ๋นเงยหน้าขึ้น มองไปยังยิ่นอ๋องและกล่าวว่า “ตอนที่อยู่บ้านพวกเรานอนกับท่านแม่ทุกคืน ให้น้องสาวคุ้นชินก่อนค่อยแยกห้องดีกว่าขอรับ”
ดังนั้นหมายความว่าลูกชายยอมรับ สิ่งที่ตนเองจัดแจงไว้ให้ได้รับการยอมรับจากลูกชาย เรื่องนี้ทำให้ยิ่นอ๋องมีความสุขมาก ในขณะเดียวกันเขาก็ดูแคลนวิธีการเลี้ยงดูลูกของสตรีผู้นั้นด้วย เจ็ดขวบชายหญิงก็แยกเสื่อนั่งกันแล้ว ตอนนี้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอายุห้าขวบ แต่ยังนอนกับนางอีกกระนั้นหรือ นางจะยากจนเกินไปกระมัง แม้แต่ห้องให้ลูกนอนก็ยังไม่มีปัญญาสร้าง โชคดีที่ตัวเองรับลูกแฝดชายหญิงสองคนนี้กลับเข้าจวน ถ้าขืนปล่อยให้อยู่กับนาง ไม่รู้ว่าเด็กต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมอะไรบ้าง
หลังจากคิดอย่างเข้าข้างตัวเองจบ ยิ่นอ๋องก็ตกลงตามคำขอของลูกชาย
เจ้าก้อนซาลาเปาสองคนถูกย้ายให้มานอนในห้องของจิ่งอวิ๋นก่อนชั่วคราว
ความโชคดีในความโชคร้ายก็คือ ยิ่นอ๋องไม่ได้สมองพิการจนถึงขั้นจัดสาวใช้ให้คอยปรนนิบัติอยู่ในห้อง แต่ให้คนคอยรับใช้อยู่ภายในเรือน เมื่อใดที่เจ้านายน้อยทั้งสองคนเรียกหา พวกเขาก็พร้อมรับบัญชาทันที
ขันทีหลิวไปที่ห้องครัวด้วยตนเอง เขาควบคุมเหล่าพ่อครัวให้ทำอาหารอันประณีตเลิศรสเต็มโต๊ะ
เมื่อมองไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสที่กำลังร้อนๆ อยู่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จอมตะกละวั่งซูไม่รู้สึกอยากอาหาร นางเม้มปาก รู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ข้าคิดถึงท่านแม่”
จิ่งอวิ๋นพูดอย่างใจเย็น “ข้าก็คิดถึงเหมือนกัน แต่เราก็ต้องกินอะไรบ้าง เมื่อเราอิ่มแล้วจะได้มีเรี่ยวแรงรอให้ท่านแม่มารับ”
“ท่านแม่จะมารับพวกเราหรือไม่” วั่งซูถามด้วยดวงตาใสซื่อ
จิ่งอวิ๋นหยิบถ้วยกับช้อนขึ้นมาแล้วคีบหมูตุ๋นน้ำแดงป้อนเข้าปากของวั่งซู “มาแน่นอน”
…
หลังจากแยกกับสวี่ซื่อเจี๋ยแล้ว เฉียวเวยก็ไปที่พรรคชิงหลง
เมื่อเฉินต้าเตารู้ว่าคุณชายน้อยของอัครมหาเสนาบดีถูกคนพาตัวไป เขาก็ทุบโต๊ะอย่างโกรธจัด “ปัดโธ่โว้ย! แม้แต่เด็กก็ยังจับไป! แต่ว่าหัวหน้าพรรค เด็กไม่ใช่ลูกของใต้เท้าจริงหรือขอรับ”
ตั้งแต่จีหมิงซิวเรียกเฉียวเวยว่าหัวหน้าพรรคเฉียว เฉินต้าเตาก็เรียกนางว่าหัวหน้าพรรคด้วย
เฉียวเวยส่ายศีรษะ
เฉินต้าเตาอึ้งไป ไม่ใช่ลูกของใต้เท้า แล้วเหตุใดใต้เท้าจึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีเช่นนี้ ใต้เท้าใส่ใจหัวหน้าพรรคของพวกเขามากเพียงใดกันแน่ แต่ก็ช่างเถิด นั่นเป็นลูกของหัวหน้าพรรค หัวหน้าพรรคให้กำเนิดพวกเขา เลี้ยงดูพวกเขาและเกือบถูกฆ่าเพื่อพวกเขาอยู่หลายครั้ง เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยเกือบฆ่าหัวหน้าพรรคด้วย อะแฮ่ม
อย่างไรก็ตาม ใครหน้าไหนก็ห้ามมาแย่งลูกของหัวหน้าพรรค แม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ตาม!
“หัวหน้าพรรค! ข้าจะพาพี่น้องเราไปฆ่าพวกเขา แล้วพาวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นกลับมาเองขอรับ!”
เฉียวเวยส่ายศีรษะอย่างครุ่นคิด “เขามีองครักษ์เงาในปกครองจำนวนมาก ขนาดข้าจะต่อกรกับหน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว นี่ยังมีหน่วยชื่ออีเว่ยที่ฝีมือร้ายกาจมากกว่าเพิ่มมาอีก แค่เลือกสุ่มๆ มาสักคนก็เอาชนะศัตรูได้เป็นสิบ เหล่าพี่น้องเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ขืนหุนหันพลันแล่นไปก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน”
เรื่องเอาไข่ไปกระทบหินยังไม่กระไรนัก หากสู้ไม่ได้ก็แค่หนี แต่ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้จวนอ๋องเสริมกำลังป้องกันให้มากขึ้นอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นการจะไปช่วยเด็กๆ ก็เป็นเรื่องยากแล้ว
“แล้วควรทำอย่างไรดี จะปล่อยให้เขาลักพาตัววั่งซูจิ่งอวิ๋นไปหรือ” เฉินต้าเตานั่งบนเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาของเขาเป็นประกาย “แล้วใต้เท้าเล่าขอรับ”
เฉียวเวยจ้องตาเขม็ง “เขาไปเจียงหนาน ไม่อยู่ในเมืองหลวง”
เฉินต้าเตาทุบกำปั้น “ยิ่นอ๋องคนนั้นตั้งใจกระมัง ฉวยโอกาสทำตอนที่ใต้เท้าไม่อยู่!”
จะไม่ใช่ได้อย่างไร ทั้งสองครั้งที่เขามายั่วยุนางล้วนเป็นช่วงที่หมิงซิวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ถ้าหมิงซิวอยู่ เขาก็คงไม่ทำอย่างโจ่งแจ้งปานนี้
อย่างน้อยก็คงไม่ลักพาตัวลูกของนางไปอย่างเปิดเผย
…
ในหอชิงฮุย จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูรับประทานอาหารกลางวันเสร็จอย่างเชื่อฟังแล้วก็นั่งเล่นดีดลูกแก้วอยู่ที่พื้นเรือน
ยิ่นอ๋องเดินเข้ามาหา ถามสาวใช้ถึงสภาพของทั้งสองคน คำตอบของสาวใช้ทำให้ยิ่นอ๋องพอใจมาก แต่เดิมเขาคิดว่าเด็กสองคนนี้จะร้องไห้งอแงก่อนสักหลายวัน ไม่นึกว่าจะมีเพียงลูกสาวที่งอแงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็สงบลงได้ภายในเวลาชั่วอึดใจเท่านั้น
“เล่นอะไรอยู่หรือ” เขาถามอย่างอารมณ์ดี
วั่งซูพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “เล่นลูกแก้วเจ้าค่ะ”
ยิ่นอ๋องยิ้มเย็น ผู้หญิงคนนั้นไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่กลับยอมซื้อลูกแก้วให้ลูกด้วย
“ท่านลุงหมิงมอบให้!” วั่งซูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ