หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 112-2 การค้นพบ
ทำไมสวีซื่อจะไม่เข้าใจความจริงประการนี้ แต่นางไม่อาจระงับโทสะนี้ได้! ลูกสาวของนางโดนคุณหนูใหญ่เฉียวหลอกลวงอย่างน่าเวทนาที่สุด ลูกเขยอัครมหาเสนาบดีของนางก็ถูกคุณหนูใหญ่เฉียวแย่งไป แล้วยังมีหอหลิงจือที่กำลังจะถูกนางชิงกลับไปอีก ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจของนางก็หลั่งเลือด!
สิ่งที่เจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือ นางทำอะไรคุณหนูใหญ่เฉียวไม่ได้เลย!
จนถึงตอนนี้จีหว่านก็ยังปฏิเสธที่จะพบนาง แล้วยังไม่สามารถพบจีเหล่าฮูหยินได้ นางสิ้นไร้หนทางแล้ว นางทำได้แต่เบิ่งตามองคุณหนูใหญ่เฉียวเจริญก้าวหน้าหรือไร
ผู้ใดเล่าจะเข้าใจความรู้สึกไม่ยินยอมในหัวใจของนาง
บางทีสวรรค์อาจได้ยินเสียงเรียกของสวีซื่อในที่สุด ขณะที่สวีซื่อเกือบจะยอมจำนนต่อโชคชะตาแล้วนั่นเอง รถม้าหรูหราอันงดงามประณีตคันหนึ่งก็หยุดที่ทางเข้าหรงจี้อย่างช้าๆ พร้อมกับองครักษ์ทั้งหมดหกคน แต่ละคนท่าทางแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าคนในรถมีฐานะสูงศักดิ์
“ท่านย่า ข้าจะลงไปซื้อไข่เยี่ยวม้า แล้วถือโอกาสซื้อกุ้งต้มพะโล้ให้จื่อซูด้วย ท่านจะเข้าไปทานอะไรข้างในก่อนหรือไม่ ไม่ไปหรือเจ้าคะ ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรอบนรถม้าประเดี๋ยวเดียว ข้าจะรีบกลับมา”
จีหว่านลงจากรถม้า
หลินมามาจับมือสวีซื่อไว้ทันใด “ฮูหยิน! ท่านดูสิเจ้าคะ! ฮูหยินของซื่อจื่อ!”
สวีซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย จีหว่านหรือ นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าไม่ได้มาจากทางเมืองหลวง แต่ดูเหมือนไปเยือนสถานที่อื่นมาแล้วกำลังจะรีบกลับเมืองหลวง
รถม้าคันนั้นเหมือนจะเป็นรถม้าของจวนอัครมหาเสนาบดี
จีหว่านแต่งงานออกเรือนไปแล้ว จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องนั่งรถม้าของจวนกั๋วกงสิ เหตุใดนางจึงนั่งรถม้าของบ้านบิดามารดา
ขณะที่สวีซื่อกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่ตกอยู่นั้น แม่นมชราผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่ก็ลงมาจากรถม้า “หรงมามา?”
หลินมามาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “ท่านรู้จักหรือเจ้าคะ”
“นางเคยมาที่จวนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเจ้าออกไปซื้อของจึงไม่เห็นนาง นางเป็นแม่นมคนสนิทของจีเหล่าฮูหยิน มีนางอยู่ที่ใด เหล่าฮูหยินก็อยู่ที่นั่น” สวีซื่อลุกขึ้นยืน
หลินมามาตกใจเล็กน้อย “ฮูหยิน ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
สวีซื่อพูดอย่างเย็นชา “เรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกสาวของข้า!”
จีเหล่าฮูหยินนั่งรถม้าเดินทางมาสองวันแล้ว นางเหนื่อยมากจนไม่อยากลงจากรถ นางเอนกายลงบนเบาะรองนั่งนุ่มๆ แล้วหลับตาลง ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงเอะอะ
“ใคร”
“ข้าเองเจ้าค่ะ สวีซื่อจากจวนเอินปั๋ว ข้าต้องการพบเหล่าฮูหยิน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเหล่าฮูหยินเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วสีเทา “ให้นางเข้ามา”
องครักษ์เก็บมือที่กางขวางทางของสวีซื่อ จากนั้นสวีซื่อก็เหยียบตั่งก้าวขึ้นไปบนรถม้า เมื่อเข้าไปในรถม้า นางก็โค้งกายต่ำแสดงความเคารพโดยไม่พูดสิ่งใดสักคำ
จีเหล่าฮูหยินโบกมืออย่างเหน็ดเหนื่อย “ไม่ต้องมีพิธีการวุ่นวายพวกนี้แล้ว เรื่องระหว่างหมิงซิวกับซีเอ๋อร์ หวานหว่านบอกข้าหมดแล้ว หมิงซิวทำไม่ถูกต้อง ไม่ควรตัดสินใจยกเลิกการแต่งงานเอาเอง แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องที่หมิงซิวตัดสินใจแล้ว ผู้ใดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้าขออภัยเจ้าแทนหมิงซิวด้วย”
สวีซื่อพูดอย่างเศร้าเสียใจ “เหล่าฮูหยิน ข้าไม่ได้มาหาท่านเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมแทนซีเอ๋อร์ ตอนยังเล็กซีเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ข้างกายข้า นางจึงมีนิสัยเอาแต่ใจเพราะถูกบ่าวรับใช้ตามใจไปบ้าง ครั้งนี้นางทำผิด จับคนบริสุทธิ์เข้าคุก นางจึงไม่มีคุณสมบัติพอจะแต่งงานเข้าจวนอัครมหาเสนาบดี ใต้เท้าจะยกเลิกการหมั้นหมายกับนางก็สมควรแล้ว ข้ามิได้สั่งสอนบุตรสาวให้ดี ทำให้ใต้เท้ากับเหล่าฮูหยินลำบาก คนที่ควรขออภัยควรเป็นข้ามากกว่าเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจ “หายากนักที่เจ้าจะมีเหตุมีผลเช่นนี้ แม่หนูซีเอ๋อร์เป็นเด็กดี คนมิใช่เทพจะไม่เคยทำผิดหรือไร นางยังเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นเรื่องปกติ ยกเลิกการหมั้นหมายกับนางด้วยเหตุนี้ หมิงซิวเป็นฝ่ายทำเกินไป”
หากจะเถียงกันด้วยถ้อยคำสุภาพ สวีซื่อคิดว่าตนคงมิอาจเอาชนะจีเหล่าฮูหยินได้ หากจีเหล่าฮูหยินไม่มีความสามารถสักหน่อย นางจะคุมลูกสะใภ้ที่เป็นถึงองค์หญิงได้อย่างไร
จีเหล่าฮูหยินกล่าวต่อว่า “พูดกันให้เข้าใจก็ดีแล้ว ต่อไปพวกเราสองจวนยังต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เรื่องการแต่งงานของซีเอ๋อร์ ข้าก็จะช่วยดูให้ ไม่ให้ซีเอ๋อร์ได้รับความอยุติธรรม”
หากไม่อยากให้บุตรสาวของข้าได้รับความอยุติธรรมจริง ท่านก็ให้หลานชายของท่านแต่งงานกับนางสิ เดิมทีการแต่งงานล้วนขึ้นอยู่กับบัญชาของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ ไม่ต้องมีหนังสือหมั้นหมายฉบับนั้น ท่านก็ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของอัครมหาเสนาบดีได้เหมือนกันมิใช่หรือ กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ตัวท่านนั่นแหละที่ไม่ชอบบุตรสาวของข้า!
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจีหว่านคงเป็นผู้ที่ใส่ไฟให้เหล่าฮูหยินฟัง
ทว่าจีหว่านกลับยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าฮูหยินกับซีเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ได้จัดหาคู่สมรสคนใหม่ให้อัครมหาเสนาบดี น่าแปลกจริงๆ
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาแปลกใจ การทวงความยุติธรรมให้ลูกสาวเป็นเรื่องด่วนกว่า!
สวีซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดดวงตาที่กำลังแดงก่ำแล้วพูดว่า “ขอบคุณความเมตตาของเหล่าฮูหยินเจ้าค่ะ ซีเอ๋อร์เคารพรักท่านเสมอ นางบอกว่าท่านดียิ่งกว่าย่าแท้ๆ ของนาง เมื่อนางทำความผิด สิ่งที่นางเป็นกังวลที่สุดไม่ใช่การถูกอัครมหาเสนาบดีถอนหมั้น แต่กลัวว่าเหล่าฮูหยินจะไม่ให้อภัยนาง หากได้ยินคำพูดนี้ของท่าน นางคงไม่โศกเศร้าเสียใจอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ” จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจอีกครั้ง
สวีซื่อกลืนก้อนสะอื้น แล้วพูดว่า “เหตุที่ข้ามาคารวะท่าน นอกจากเพื่ออธิบายเรื่องเข้าใจผิดกับท่านแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทราบเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินมองนาง “เจ้าว่ามา”
“จะให้ข้าเริ่มจากตรงไหนดี” สวีซื่อลำบากใจ
จีเหล่าฮูหยินกล่าวว่า “เจ้ากับข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล มีอะไรก็พูดมาเถิด ไม่เป็นไร”
“ข้าเกรงว่าท่านได้ยินแล้วจะไม่สบายใจ” สวีซื่อกระซิบ
จีเหล่าฮูหยินยิ้ม “เรื่องที่ไม่สบายใจมากกว่านี้ข้าก็เคยได้ยินมาหมดแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอะไรที่ทำให้คนแก่อย่างข้าตกใจได้อีก”
สวีซื่อกล่าวด้วยความน้อยใจ “ท่านอย่าเพิ่งกล่าวเช่นนั้น เรื่องนี้น่าตกใจจริงๆ ข้าก็เพิ่งทราบเมื่อเช้านี้เอง ขณะที่กำลังคิดว่าจะแจ้งให้ท่านทราบอย่างไร ก็บังเอิญมาเจอท่านพอดี จะว่าไป…เรื่องมันก็ยาวจนข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงที่ใด แต่สรุปก็คือ…บุตรีของเรือนใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินฟังเงียบๆ นางไม่ใช่คนที่ชอบขัดจังหวะคนอื่น นั่นเป็นสิ่งที่นางได้รับการอบรมมาตั้งแต่เด็ก
สวีซื่อกล่าวต่อ “บุตรีของเรือนใหญ่…ท่านคงจำได้กระมังเจ้าคะ นางคือเสี่ยวเวยที่เป็นลูกของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ข้า เมื่อตอนนั้นเสี่ยวเวยทำความผิดจึงถูกไล่ออกจากจวน แต่ว่าไม่นานมานี้…นางกลับมาแล้ว แล้วยังพาลูกมาอีกสองคนด้วยเจ้าค่ะ”
ร่องรอยของคลื่นอารมณ์เล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของจีเหล่าฮูหยิน
สวีซื่อกล่าวต่อ “เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของยิ่นอ๋องเจ้าค่ะ”
สีหน้าของจีเหล่าฮูหยินเริ่มดูน่าเกลียด
คุณหนูใหญ่เฉียวหมั้นหมายอยู่กับหลานชายของนาง แต่กลับไปยั่วยวนยิ่นอ๋องลับหลังหลานชายของนาง ยิ่นอ๋องกับหลานชายของนางมีศักดิ์เป็นอาหลานกัน เอาหลานชายของนางไปไว้ที่ใด
“ข้าเคยเห็นเด็กคนนั้น หน้าตาเหมือนยิ่นอ๋องราวกับแกะ” แน่นอนว่าสวีซื่อไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นคำพูดของสวี่ซื่อเจี๋ย “ข้าคิดว่านางพาลูกกลับเมืองหลวงเพราะหวังมาพึ่งยิ่นอ๋อง แต่นึกไม่ถึงว่า…นางกลับมาพึ่งอัครมหาเสนาบดีต่างหาก!”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วเป็นปม
สวีซื่อพูดอย่างปวดใจ “เหล่าฮูหยิน ท่านไม่ทราบเรื่องสักนิดจริงๆ หรือเจ้าคะ อัครมหาเสนาบดีปฏิเสธซีเอ๋อร์ก็เพราะนาง! ซีเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาในอารามเต๋า นางไม่เคยรู้จักพี่สาวคนนี้ แต่เสี่ยวเวยรู้จักซีเอ๋อร์ เรื่องเข้าคุกนั่นเป็นแผนร้ายที่เสี่ยวเวยขุดหลุมพรางไว้! จุดประสงค์ก็เพื่อเปลี่ยนใจอัครมหาเสนาบดีให้ขุ่นเคืองซีเอ๋อร์! แล้วนางยังใช้ไข่เยี่ยวม้ามากรรโชกทรัพย์ของซีเอ๋อร์ด้วย! ไข่ฟองละห้าอีแปะ นางเอามาขายให้ซีเอ๋อร์ห้าตำลึง! ข้ารู้ว่านางแค้นเรือนรองเพราะเรื่องในตอนนั้น นางคิดว่าเรือนรองขโมยตำแหน่งของบิดานางไป แต่นางเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าซีเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ นางต้องการสิ่งใดก็เชิญเอากลับไปให้หมด ข้ากับนายท่านจะไม่ว่าอันใดสักคำ! แต่นางไม่ควรทำร้ายซีเอ๋อร์เช่นนี้!”
จีเหล่าฮูหยินไม่สนใจบุญคุณความแค้นในจวนเอินปั๋ว สิ่งที่นางสนใจมากกว่าคือคุณหนูใหญ่เฉียวให้กำเนิดบุตรของยิ่นอ๋องจริงหรือไม่ แล้วนางได้พาเลือดเนื้อเชื้อไขของยิ่นอ๋องไปล่อลวงหลานชายสุดที่รักของนางหรือไม่
…
วันที่นางกลับถึงเมืองหลวง จีเหล่าฮูหยินก็ไปเยือนเรือนสี่ประสาน
เรือนสี่ประสานเคยเป็นสถานที่ลักลอบพบกันขององค์หญิงเจาหมิงกับพ่อของจีหมิงซิว
องค์หญิงเจาหมิงเป็นน้องสาวคนเล็กของฮ่องเต้องค์ก่อน นางอายุน้อยกว่าโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อนเสียอีก เมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพบองค์หญิงเจาหมิง ยังต้องเรียกนางอย่างให้เกียรติว่าเสด็จอาเล็ก
ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างน้องสาวคนเล็กกับบุตรชายคนโตของตระกูลจี เหตุผลที่แน่ชัดนั้นยากที่จะอธิบายได้ กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือฮ่องเต้องค์ก่อนขัดขวางไม่ยอมให้แต่ง แม้ว่าองค์หญิงเจาหมิงจะให้กำเนิดบุตรีออกมาแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยังปล่อยไว้เช่นนั้น
ตอนเด็กจีหว่านจึงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนสี่ประสาน
ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ชอบบิดาของจีหว่าน จึงพาลไม่สนใจจีหว่านด้วย
ต่อมาองค์หญิงเจาหมิงได้ให้กำเนิดจีหมิงซิว จีหมิงซิวเป็นเด็กฉลาดเฉลียวเหนือผู้อื่น เขาค่อยๆ ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้องค์ก่อน จนในที่สุดการแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นรูปเป็นร่าง
สองพี่น้องย้ายกลับไปจวนอัครมหาเสนาบดี แต่เรือนสี่ประสานก็ยังคงเป็นบ้านของสองพี่น้อง หากไม่มีธุระอะไร จีหมิงซิวก็จะพักผ่อนอยู่ที่เรือนสี่ประสาน หลังองค์หญิงเจาหมิงจากไป จีหมิงซิวยิ่งชอบไปอยู่ที่เรือนสี่ประสานมากขึ้น เขาอยู่ที่นั่นมากกว่าอยู่จวนอัครมหาเสนาบดีเสียอีก
หากจะถามว่าสถานที่แห่งใดมีข่าวคราวของจีหมิงซิวมากที่สุด ย่อมไม่มีที่อื่นนอกจากเรือนสี่ประสาน
เมื่อเห็นจีเหล่าฮูหยินปรากฏตัวที่เรือนสี่ประสาน บรรดาบ่าวรับใช้ก็ตกตะลึง
ลี่ว์จูอ้าปากกว้างและพูดไม่ออกเป็นเวลานาน พ่อครัวหยางที่ทำงานในห้องครัวกลับเป็นคนที่ระงับความตื่นเต้นและต้อนรับเหล่าฮูหยินเข้ามาในเรือน
บรรดาสาวใช้ทั้งหลายที่อยู่ในเรือนต่างตกใจวิ่งกันให้วุ่นไปหมด
“ลี่ว์จู! เหล่าไท่ไท่มาที่นี่ทำไม”
“นางคงไม่ได้มาตรวจสอบกระมัง”
“ไม่ใช่ว่านางพบว่าเจ้านายเลี้ยงผู้หญิงไว้ที่นี่หรอกนะ”
ทุกคนพูดคุยกันเซ็งแซ่ เรื่องที่พูดทำเอาหัวใจของลี่ว์จูกระตุกวูบ ลี่ว์จูกุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวของนาง “พวกเจ้ามีงานอะไรก็ไปทำงานของพวกเจ้า ทำเหมือนเดิม ไม่ว่าเหล่าไท่ไท่จะถามอะไร ก็อย่าเอ่ยถึงฮูหยินเด็ดขาด หากถูกเค้นหนักเข้าจริงๆ ก็บอกว่าเป็นสหายของสือชีก็พอแล้ว”
จีเหล่าฮูหยินเดินเข้าไปในเรือนตะวันออก เท้าข้างหนึ่งเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู ลี่ว์จูก็มารั้งนางเอาไว้ “เหล่าไท่ไท่ เรือนตะวันออกยังไม่ได้ทำความสะอาดเจ้าค่ะ ท่านไปนั่งพักที่ห้องของนายน้อยดีกว่านะเจ้าคะ”
จีเหล่าฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “จะทำความสะอาดหรือไม่ก็เป็นบ้านของเขา ข้าไม่รังเกียจ”
ลี่ว์จูเหลือบมองพ่อครัวหยาง พ่อครัวหยางอยากช่วยแต่ก็จนปัญญา ลี่ว์จูหลับตาลง นางคลี่ยิ้มแล้วเข้าไปประคองเหล่าฮูหยิน “ข้าก็กลัวท่านจะตำหนิว่าบ่าวทำงานไม่ดีเท่านั้นเอง เชิญท่านเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็หันกลับไปมองด้านนอกของประตู “ยวนยาง เจ้าไปชงชามาให้เหล่าไท่ไท่กาหนึ่ง!”
“เจ้าค่ะ!” ยวนยางไปชงชา
จีเหล่าฮูหยินนั่งลงบนเก้าอี้ไม้พนักสูง นางมองไปรอบๆ ห้องแล้วพูดว่า “ลี่ว์จู ที่เขวนอยู่บนกำแพงนั่นคือสิ่งใด”
ลี่ว์จูฝืนตอบ “เป็น…ภาพวาดเจ้าค่ะ”
ผลงานศิลปะของวั่งซูน้อยนั้นยุ่งเหยิงมาก หน้าตาละม้ายคล้ายยันต์ขับไล่ผี แต่เจ้านายกลับให้คนใส่กรอบและแขวนไว้บนผนังอย่างดี
รอยยิ้มของจีเหล่าฮูหยินไม่แปรเปลี่ยน “มันเป็นภาพวาดหรือ เหตุใดข้ารู้สึกว่ามันเหมือนภาพที่เด็กวาดอย่างไม่ตั้งใจ”
ลี่ว์จูกล่าวตอบ “สือชีวาดเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาคมกริบของจีเหล่าฮูหยินจ้องเขม็งที่โต๊ะเครื่องแป้ง “แล้วชาดกับแป้งพวกนั้นคืออะไร เป็นของสือชีด้วยอย่างนั้นหรือ”
ของพวกนั้นนางเป็นคนเตรียมไว้ให้ฮูหยิน ฮูหยินแทบจะไม่แตะต้องมันเลย แต่ดูเหมือนนายท่านจะชอบห้องที่มีสิ่งของของฮูหยินอยู่ในห้อง นางจึงไม่ได้เก็บออกไป
เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผากของลี่ว์จู “เรียน…เรียนเหล่าฮูหยิน มันเป็นของบ่าวเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของจีเหล่าฮูหยินเริ่มสดใสขึ้นเรื่อยๆ “แล้วเหตุใดของของเจ้าจึงไปอยู่ในห้องของหมิงซิวเล่า หมิงซิวค้างคืนกับเจ้าแล้วหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ต้องมอบฐานะให้เจ้าถึงจะถูก”
ลี่ว์จูตกใจจนหน้าถอดสี!
จีเหล่าฮูหยินส่งสายตาให้หรงมามา หรงมามาก้าวเข้าไปยกฟูกที่นอนบนเตียงขึ้น หนึ่งชั้น สองชั้น และสามชั้น
หมิงซิวกับสือชีต่างก็ชอบนอนบนเตียงแข็ง ฟูกที่ปูบนเตียงจะมีไม่เกินหนึ่งชั้น
คนโง่ก็มองออกว่าข้าวของในเรือนตะวันออกไม่ใช่ของจีหมิงซิว บางทีเรือนนี้อาจไม่ได้มีเพียงจีหมิงซิวอาศัยคนเดียว ใบหน้าของลี่ว์จูซีดเผือด นางไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เหล่าฮูหยินมาหาที่เรือนสี่ประสาน นางบุกมายามที่พวกเขาแต่ละคนไม่ทันระวังอย่างสิ้นเชิง
รอยยิ้มของจีเหล่าฮูหยินค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย “ลี่ว์จู เจ้ายังจะเสแสร้งต่ออีกหรือไม่”
ลี่ว์จูฝืนกดคลื่นลูกใหญ่ที่ปั่นป่วนในหัวใจเอาไว้ แล้วตอบสียงอ่อนหวาน “เหล่าฮูหยิน เป็นสหายของสือชี…”
“ยังจะแก้ตัวกับข้าอีก!” จีเหล่าฮูหยินตบโต๊ะดังปัง “ข้าแก่แล้ว พวกเจ้าแต่ละคนจึงไม่เห็นความสำคัญของข้าใช่หรือไม่”
ลี่ว์จูคุกเข่า ตอบอย่างตระหนกลนลาน “บ่าวไม่กล้า”
ทันทีที่นางคุกเข่า บ่าวรับใช้ในบ้านก็คุกเข่าลงด้วย
จีเหล่าฮูหยินสูดหายใจอย่างเย็นชา “ทำไมเจ้าจะไม่กล้า ข้าเห็นอยู่ว่าเจ้ากล้ามาก! เจ้าบังอาจยิ่งนัก เจ้าไม่มีความเคารพ เจ้าคิดจะกบฏชัดๆ!”
“เหล่าฮูหยิน!” ลี่จูตกใจ
จีเหล่าฮูหยินกวาดตามองบรรดาบ่าวรับใช้ที่สมรู้ร่วมคิดกันด้วยความโกรธ ความโกรธจากหลายสิ่งหลายอย่างสุมอยู่ในอก “หมิงซิวเลี้ยงผู้หญิงสกปรกอยู่ข้างนอก พวกเจ้าที่เป็นบ่าวไม่เพียงแต่ไม่ช่วยตักเตือน แต่กลับช่วยเขาปกปิด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะมีผลกระทบต่อเขามากเพียงใด คิดว่าพวกขุนนางทั้งหลายชอบตระกูลจีมากนักหรือ เด็กๆ!”
บ่าวรับใช้ท่าทางแข็งแรงที่ติดตามมาด้วยก้าวออกมา “เหล่าไท่ไท่”
“ลากทุกคนออกไปโบยคนละยี่สิบไม้! ดูสิว่าต่อไปพวกเขาจะกล้าช่วยเจ้านายก่อเรื่องหายนะอีกหรือไม่!”
“เจ้าค่ะ!”
ในไม่ช้า ภายในเรือนสี่ประสานก็มีเสียงโบยดังขึ้น
จีเหล่าฮูหยินขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หรงมามาพยายามกล่อมนางให้ใจเย็นลง “ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ”
จีเหล่าฮูหยินพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าจะให้ข้าใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ข้าพาเขาไปเซ่นไหว้ปู่ของเขา แต่เขาก็จากไปกลางดึกโดยไม่บอกลาสักคำ ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญของราชสำนักที่ขาดเขาไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขามาช่วยผู้หญิงคนนั้นออกจากคุก! หลายวันนี้ข้าอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ เขาไม่มารับข้า ข้าเพียงคิดว่าเขายุ่ง ปลีกตัวออกมาไม่ได้ แต่เจ้าดูสิว่าเขาทำอะไร เขาพาผู้หญิงที่ทรยศเขาไปพักอยู่ที่เรือนสี่ประสาน! เขาช่างเลียนแบบพ่อของเขาได้ดีนักเชียว! ที่บ้านไม่เห็นด้วยก็แอบทำลับหลัง! ตอนนั้นข้าห้ามพ่อของเขาไม่ได้ ตอนนี้ข้าก็ห้ามเขาไม่ได้อีก!”
ดีเลวอย่างไรบิดาของเขาก็เลี้ยงเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ส่วนเขาเล่า ไปเป็นพ่อกำมะลอให้ลูกของยิ่นอ๋อง?
ตอนนั้นองค์หญิงเจาหมิงเป็นน้องสาวของฮ่องเต้ นางไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ แต่คุณหนูใหญ่เฉียวเป็นเพียงบุตรีผู้ถูกทอดทิ้ง ถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล แต่กลับกล้านำหายนะมาให้หลานชายของนาง ช่างไม่รู้จักประมาณตนจริงๆ!