หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 114-1 ความจริงปรากฏ
ควันธูปลอยเวียนวนในห้องสวดมนต์ หญิงชราสีหน้านิ่งสงบคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้อย่างสงบ นางหน้าซีดเล็กน้อย ใต้ตามีรอยคล้ำดวงใหญ่ ตรงขมับมีรอยถลอกจางๆ อยู่จุดหนึ่ง ทายาเรียบร้ยแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงหายดี แต่โรคของนาง…
“ท่านหมอหญิง เหล่าไท่ไท่ของข้าเป็นอันใดกันแน่เจ้าคะ” หรงมามาถามอย่างกังวลใจยิ่งนัก
ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าท่านหมอหญิงมิใช่ใครอื่น นางก็คือเสี่ยวเวยสตรีแซ่เฉียวเถ้าแก่รองแห่งหรงจี้ และหัวหน้าพรรคชิงหลงผู้สร้างชื่อกระเดื่องเลื่องลือในเมืองซีหนิวนั่นเอง
เฉียวเวยใช้ชีวิตมาสองชาติ แต่เพิ่งถูกคนอื่นเรียกว่าท่านหมอหญิงเป็นครั้งแรก ชั่วพริบตานั้นนางรู้สึกสุดยอดอย่างยิ่ง อกยืดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม “เหล่าฮูหยินมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองเล็กน้อยจึงพูดลำบาก พูดจาสื่อสารไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็เซล้ม เมื่อรวมกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนจึงเป็นลมหมดสติไป หากนางตื่นขึ้นมาก็คงไม่เป็นอันใดมากแล้ว เพียงแต่ว่าอาการของโรคหลอดเลือดสมองเพียงเล็กน้อยก็เป็นเค้าลางของโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยของโรคหลอดเลือดสมองซ้ำหลายครั้งล้วนจะมีอาการของกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดรุนแรงเกิดขึ้นตามมาภายในหนึ่งเดือน หรือก็คือที่พวกเราเรียกกันว่าจ้งเฟิงนั่นเอง”
แม้หรงมามาอายุเท่านี้แล้ว แต่นางยังไม่เคยจ้งเฟิงมาก่อน ทว่ารอบตัวมีคนอายุน้อยกว่านางที่เคยเป็นไม่น้อย หลังจากจ้งเฟิงจะพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ กินยาไปก็ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงรักษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากโชคดีก็รักษากลับมามีชีวิตชีวาได้บ้าง แต่หากโชคร้ายก็จากไปทั้งอย่างนั้น
คิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่ไท่เชิญหมอหลวงมาตรวจทุกเดือนก็ยังเป็นโรคยุ่งยากชนิดนี้อีก
“โชคดีได้พบผู้มีพระคุณ มิเช่นนั้นพวกเราก็คงไม่รู้จะทำเช่นไรจริงๆ!” หรงมามาปาดน้ำตา
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง พวกท่านไปเตรียมสุราขาวกับเทียนมาสักหน่อย ข้าจะฝังเข็มให้เหล่าไท่ไท่ เดี๋ยวเหล่าไท่ไท่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่เป็นอันใดมากแล้ว”
หรงมามาเช็ดน้ำตาแล้วสั่งจูเอ๋อร์ว่า “ยังจะยืนนิ่งอยู่ทำอะไร ยังไม่รีบไปซื้อสุราขาวกับเทียนมาอีก”
“เจ้าค่ะ!” จูเอ๋อร์รีบก้าวออกไป
ระหว่างที่รอสุราขาวกับเทียนมีเวลาว่างอยู่ เฉียวเวยจึงบอกสิ่งที่ควรระวังกับหรงมามา ”อาการจ้งเฟิงเล็กน้อยเป็นสัญญาณเตือน ต่อให้เหล่าไท่ไท่ตื่นขึ้นมาก็จะประมาทมิได้ ข้าเป็นเพียงหมอพเนจรในชนบท วิชาแพทย์ตื้นเขิน พอช่วยยามเร่งด่วนได้เท่านั้น รับผิดชอบรักษาจริงจังไม่ได้ หลังจากกลับเมืองหลวง จำไว้ว่าต้องไปให้หมอหลวงตรวจดูอีกหน”
หรงมามากล่าวว่า “ผู้มีพระคุณถ่อมตัวยิ่งนัก สองครั้งที่ชีวิตของเหล่าไท่ไท่แขวนอยู่บนเส้นด้ายล้วนเป็นท่านช่วยกลับมา หากวิชาแพทย์ของท่านตื้นเขิน แล้วหมอข้างนอกพวกนั้นเป็นตัวอะไรกันเล่า”
เฉียวเวยคิดในใจว่า วิชาแพทย์ของข้าตื้นเขินจริงๆ นะ แม้แต่การฝังเข็ม ข้าก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก จะฝังให้เหล่าฮูหยินของเจ้าสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้…
แต่ความหวังดีของนางสัมฤทธิ์ผลแล้ว นางเชื่อว่าในเมื่ออีกฝ่ายใส่ใจเหล่าไท่ไท่มาก ย่อมต้องเชิญหมอชื่อดังมารักษาเหล่าไท่ไท่อีกหนอย่างแน่นอน
“จำไว้ว่าอย่าให้เหล่าไท่ไท่เหน็ดเหนื่อย แล้วอีกอย่างห้ามให้นางสะเทือนใจ ข่าวที่ทำให้คนสะเทือนใจ ไม่ว่าดีหรือร้าย อย่าบอกต่อหน้านาง นางอารมณ์พลุ่งพล่านมิได้”
หรงมามาพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าค่ะ ข้าจำไว้แล้ว”
หรงมามาชะงักครู่หนึ่งก็นึกอันใดขึ้นมาได้ จึงถามอย่างเกรงใจอีกว่า “จริงสิ เหตุใดผู้มีพระคุณจึงมาเยือนวัดหันซานเล่าเจ้าคะ มาไหว้พระที่นี่หรือ”
เฉียวเวยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นยกมุมปากยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้มาไหว้พระ แต่นัด…คนมาเจรจาค้าขาย”
หรงมามาเข้าใจแล้ว “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น…ท่านมาอยู่ในห้องสวดมนต์นานเช่นนี้ จะทำท่านไปพบผู้อื่นช้าหรือไม่ ท่านรีบบอกข้าเถิดว่าคนผู้นั้นชื่อแซ่อันใด หน้าตาเป็นเช่นไร ข้าจะส่งคนไปตามหา”
เฉียวเวยยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ต้องแล้ว ไม่ใช่การค้าขายครั้งใหญ่อะไร ผู้อื่นดูแคลนข้า ข้าก็คร้านจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงิน กำลังปวดหัวอยู่ว่าจะปฏิเสธเช่นไรดี จะพบหรือไม่พบก็ช่างเถิด บางทีฟ้าอาจประสงค์เช่นนี้”
นางไม่อยากพบบิดาของหมิงซิวจริงๆ แม้แต่พี่สาวของเขาก็ไม่อยากพบ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังตื้นเขินอย่างยิ่ง ยังห่างจากขั้นตอนที่ต้องพบหน้าญาติผู้ใหญ่อีกไกล ยิ่งไปกว่านั้นอนาคตของพวกเขาสองคนจะเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้แน่ชัด มาพบหน้าญาติผู้ใหญ่เร็วเช่นนี้ ถึงเวลาไปกันไม่รอดย่อมขายหน้ายิ่งนัก! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าบิดาของเขาตั้งใจมาเล่นงานนางโดยเฉพาะ เมื่อเป็นเช่นนี้นางยิ่งไม่อยากพบ
หากไม่ใช่เพราะเงินห้าตำลึงนั่น นางก็คร้านจะเดินทางมาเมืองหลวง
หรงมามาบ่น “ท่านอย่าได้จงใจกล่าวเช่นนี้เพราะเกรงใจเชียว พวกเรามีคนมากมาย ช่วยท่านตามหาคนสักคนมิใช่ปัญหา เรื่องในวันนี้เกิดเพราะพวกเราก็สมควรให้พวกเราออกหน้าขออภัยอีกฝ่าย อธิบายเหตุผลที่ท่านไปสายให้ชัด”
เฉียวเวยกลัวคนที่ขันอาสาเป็นธุระแทนเช่นนี้ที่สุด เพราะว่าเป็นเจตนาดี จึงปฏิเสธลำบากยิ่งนัก “ไม่จำเป็นจริงๆ ท่านนั่งลงเถิด หากตื้ออีกข้าจะไปแล้วนะ”
“อย่านะเจ้าคะ ข้าไม่พูดแล้ว” หรงมามากลัวว่านางจะสะบัดแขนเสื้อจากไป ถ้าเช่นนั้นผู้ใดจะฝังเข็มให้เหล่าไท่ไท่เล่า หรงมามาชงใบชาที่นำมาจากตระกูลจีให้เฉียวเวยถ้วยหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลทั่วห้องกลบกลิ่นธูปในพริบตา “ข้าดูแล้วท่านผู้มีพระคุณยังอายุไม่มากแท้ๆ แต่ติดตามครอบครัวมาทำการค้าเสียแล้ว”
เฉียวเวยใบหน้าเล็ก ดวงตาโต ผิวขาว แก้มแดงเรื่อ ยิ้มครั้งหนึ่งก็เผยลักยิ้มน้อยๆ สองข้าง ดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าแม่นางอายุสิบห้าสิบหกปีเสียอีก หรงมามาจึงคิดว่านางเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนมาตลอด
เฉียวเวยยิ้ม ตนไม่สนิทกับคนกลุ่มนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเบื้องลึกในครอบครัวให้อีกฝ่ายทราบ
หรงมามาหัวเราะแห้งๆ “ความจริงแล้ว พวกเราก็นัดเจอคนจึงเดินทางขึ้นเขามาในวันอากาศร้อนเช่นนี้”
“อ้อ” เฉียวเวยจิบชาคำหนึ่ง หอมจริงๆ !
อาจเป็นเพราะเฉียวเวยเคยช่วยเหล่าฮูหยินมาสองครั้ง หรงมามาจึงชอบเฉียวเวยมาก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น พบหน้ากันเพียงสองครั้ง นางคงไม่มีทางจริงใจด้วยเช่นนี้ แต่เฉียวเวยทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่ง นางจึงเล่าว่า “พักนี้นายน้อยตระกูลข้าไปติดพันสตรีนางหนึ่ง สตรีนางนั้นมีบุตรกับบุรุษคนอื่นมาแล้ว แล้วบุรุษผู้นั้นก็บังเอิญเป็นหลานชายของนายน้อยของข้าอีก”
เหตุใดพล๊อตนี้จึงฟังดูเหมือนเรื่องระหว่างนาง หมิงซิวกับสารเลวยิ่นอ๋องผู้นั้น
หรงมามาเอ่ยต่อ “เหล่าไท่ไท่ไม่เห็นด้วยจึงคิดหาวิธีบีบสตรีนางนั้นให้ไปจากนายน้อยของพวกเรา แต่สตรีนางนั้นดันเก่งกาจยิ่งนัก สั่งสอนคนที่เหล่าไท่ไท่ส่งไปอย่างโหดเหี้ยม ทำผู้อื่นสติเลอะเลือนมาจนถึงตอนนี้”
แต่พล็อตนี้ไม่เหมือนนาง นางไม่เคยสั่งสอนผู้ใดจนสติเลอะเลือนเสียหน่อย พูดให้ถูกก็คือหลังจากสร้างคฤหาสน์ก็ยังไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องนางถึงบ้าน
หรงมามาเล่าต่อว่า “ความจริงข้าก็ไม่เห็นด้วยที่เหล่าไท่ไท่ทำเช่นนี้ นายน้อยกำลังอยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่าน ลุ่มหลงในความรัก จะหลงใหลสตรีสักนางก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง รอนายน้อยเล่นสนุกจนเบื่อหน่าย สตรีนางนั้นก็ย่อมไม่มีความหมายอันใดแล้ว ข้ากล่อมเหล่าไท่ไท่แล้วว่าอย่าเพิ่งร้อนใจ แต่เหล่าไท่ไท่กลับไม่ฟัง เขียนจดหมายอยู่ทั้งคืนแล้วนัดสตรีนางนั้นมาที่วัด”
เดี๋ยวก่อน เนื้อเรื่องตอนนี้เหมือนนางอีกแล้ว
“สตรีนางนั้น…คงมิได้รีดไถเงินตระกูลพวกท่านไปด้วยกระมัง” เฉียวเวยหยั่งเชิงถาม
หรงมามาตบเข่าฉาด “โอ๊ะ ท่านผู้มีพระคุณช่างคาดเดาเรื่องราวได้ดุจเทพจริงๆ! สตรีนางนั้นรีดไถเงินตระกูลพวกเราไปจริงๆ! เอาไปตั้งสิบตำลึง! บอกว่าหากมิให้เงิน ก็จะไม่เดินทางมา!”
โกหกพกลม!
ข้าไถมาห้าตำลึงเท่านั้น!
อีกห้าตำลึงที่เหลือนั่น สาวใช้ตระกูลท่านละโมบเก็บเข้ากระเป๋าตนเองกระมัง
โลกช่างกลมเหลือเกิน ตนบังเอิญช่วยเหลือหญิงชราคนหนึ่ง แต่นางกลับเป็นท่านย่าขของหมิงซิว
แม่นางน้อยผู้นั้นไม่พูดให้ชัด นางจึงคิดว่าญาติผู้ใหญ่ที่นัดนางออกมาวันนี้คือบิดาของหมิงซิว
หากเป็นตามที่ว่านี้ คนที่เฉียวอวี้ซีทุ่มเทประจบก็คือหญิงชราผู้นี้สิ
คุณพระคุณเจ้า นางก็เคยฝากไข่เยี่ยวม้าไปให้นางเหมือนกันนี่นา!
แต่กลายเป็นว่านางกลับคิดจะสั่งสอนตนหรือ
บุรุษดีๆ เช่นหมิงซิว มีท่านย่าไม่มีเหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
น่าเหลือเชื่อจริงๆ!
เฉียวเวยแสร้งถามอย่างงุนงง “สตรีอะไรร้ายกาจเช่นนี้ รีดไถเงินพวกท่านแล้วยังสั่งสอนคนที่พวกท่านส่งไปจนสติเลอะเลือนอีก คงไม่ใช่ว่าคนที่พวกท่านส่งไปอ่อนแอเกินไปกระมัง”
หรงมามาโบกมือ “ไม่เลยๆ คนที่พวกเราส่งไปคือองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดในจวน”
บ้าไปแล้ว เหตุใดนางไม่รู้ว่ามีองครักษ์คนหนึ่งบุกมาที่คฤหาสน์
หรงมามาทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “แต่เขาไม่รู้ตกใจกลัวอันใดเข้า คืนนั้นหลังกลับมาถึงก็เอาแต่เพ้อ ตะโกนว่า ‘สุนัขที่วางยาพิษไม่ตาย’ ‘เด็กน้อยที่กำลังมากดั่งโคถึก’ ผู้มีพระคุณ ท่านเป็นหมอ ท่านว่านี่เป็นไปได้หรือไม่ บนโลกนี้มีสุนัขที่วางยาพิษแล้วไม่ตายกับเด็กน้อยที่กำลังมากดั่งโคถึกเสียที่ไหน”
ฮ่ะๆ ขออภัยด้วย ดูเหมือนจะเป็นเสี่ยวไป๋กับวั่งซูของบ้านข้าเอง
แน่นอนว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้ยินว่าเสี่ยวไป๋กินยาพิษแล้วไม่ตาย นางไม่เคยวางยาพิษเสี่ยวไป๋เสียหน่อย ที่แท้เสี่ยวไป๋ของบ้านนางก็กินยาพิษแล้วไม่ตายหรอกหรือนี่ วันหน้าก็เอาเสี่ยวไป๋มาทดลองยาได้สิ!
เสี่ยวไป๋ ‘จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบ…’
ตอนกลางคืนเฉียวเวยไม่เคยอยู่ห่างจากเด็กๆ เว้นแต่คืนวานที่ไปดูอาการให้ชีเหนียง
ดีมากๆ ฉวยโอกาสที่นางไม่อยู่ รังแกลูกของนาง!
“หรงมามา ซื้อเทียนกับสุราขาวมาแล้วเจ้าค่ะ!” จูเอ๋อร์เดินหอบเข้ามา
หรงมามาหันไปมองเฉียวเวย “รบกวนท่านผู้มีพระคุณฝังเข็มให้เหล่าไท่ไท่ของพวกเราด้วย”
เฉียวเวยแสร้งทำท่าค้นกระเป๋า “โอ๊ะ แย่แล้ว! ข้าลืมนำเข็มทองมาด้วย!”
…
ให้ช่วยคนที่ฟื้นมาแล้วจะจัดการนาง นางคงสมองกลับแล้วถึงจะทำเช่นนั้น
หมอเฉียวผู้ช่วยคนใกล้ตายบริบาลผู้เจ็บป่วยในชาติก่อนจากไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่หัวหน้าพรรคเฉียวผู้กระทำชั่วสารพัด
อย่าหวังว่านางจะประจบเอาใจผู้ใดเหมือนคุณหนูจวนเอินปั๋ว
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า การประจบเอาใจล้วนไร้ประโยชน์ คุณหนูจวนเอินปั๋วมิใช่ถูกถอนหมั้นแล้วหรือไร
ดังนั้นนางน่ะ จะไม่เข้าไปตีสนิทกับคนที่เย็นชาใส่ แล้วเล่นละครรันทดทำนองว่า ‘ข้ารักหลานชายของท่านจากใจจริง ขอร้องพวกท่านให้พวกเราอยู่ด้วยกันเถิด’ ละครเช่นนี้นางแสดงไม่ลงจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางสักนิด หากจะจัดการก็สมควรจัดการหลานชายสุดที่รักของเหล่าไท่ไท่เองสิจึงจะถูก นางไม่เคยล่อลวงหมิงซิวเสียหน่อย
หัวหน้าพรรคเฉียวผู้ประแป้งสองรอบ เติมแก้มสองหน เกล้าผมสองครั้ง ทาชาดสองชั้น ดึงเสื้อให้ต่ำลงอวดเส้นร่องอกทุกครั้งที่พบหน้ากันขอบอกว่า ตนไม่ได้ ล่อ ลวง หมิง ซิว!
เฉียวเวยฮัมเพลงเบาๆ เดินลงจากเขาอย่างสบายอกสบายใจ
จิตใจของนางสงบทีเดียว
เพราะไม่ว่าอย่างไรผู้ที่เสียหายย่อมมิใช่นาง
เฉียวเวยซื้อเนื้อหมูสดใหม่จำนวนหนึ่งจากในตัวเมือง ตั้งใจว่าจะกลับไปห่อเกี๊ยวกิน แต่เมื่อขึ้นไปบนเขาก็ได้ยินลูกสาวบ่นว่าอยากกินกระต่าย นางจึงเก็บเนื้อหมูแล้วเข้าไปในป่าดูว่าดักตัวอะไรได้หรือไม่ น่ายินดีที่ในกรงจับกระต่ายป่าได้ตัวหนึ่ง แม้ไม่นับว่าตัวใหญ่ ดูแล้วหนักราวสามชั่ง แต่คงให้แมวตะกละน้อยอย่างวั่งซูกินอิ่มได้เหลือเฟือ
เฉียวเวยเชือดกระต่าย ถลกหนังเลาะเครื่องในแล้วล้างน้ำสะอาด
วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งตึงตังเข้ามามองเฉียวเวยอย่างสงสัยใคร่รู้
เฉียวเวยถามว่า “ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ”
วั่งซูพยักหน้า
ท่านพี่เป็นคนทำทั้งหมดแล้วยังทำเร็วมากด้วย จากนั้นท่านพี่ก็ช่วยทำการบ้านของเด็กคนอื่นอีก ท่านพี่ยุ่งมากอยู่ตลอด นางเบื่อยิ่งนัก
“เหตุใดจู่ๆ จึงอยากกินกระต่ายขึ้นมาเล่า” เท่าที่นางจำได้ลูกสาวก็ไม่ได้ชอบเนื้อกระต่ายเท่าไรนัก
“วันนี้ท่านอาจารย์สอนหนังสือ สอนเกี่ยวกับกระต่ายเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยจินตนาการภาพในสมองโดยอัตโนมัติ นึกภาพซิ่วไฉเฒ่าวาดภาพกระต่ายป่าตัวหนึ่งบนกระดาษ ทุกคนต่างตั้งใจฟังเขาสอน แต่ลูกสาวกลับจินตนาการในหัวว่าจะกินกระต่ายตัวนั้นอย่างไรดี จะตุ๋นในน้ำมันหรือจะทำเนื้อน้ำแดง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกขึ้นนิดๆ
“วันนี้กินกระต่ายย่างดีหรือไม่” วั่งซูถามอย่างตะกละ
เฉียวเวยจับมีดกำลังจะหั่นกระต่ายเป็นชิ้น “วั่งซูอยากกินกระต่ายย่างหรือ”
วั่งซูกลืนน้ำลาย “เจ้าค่ะ”
“ได้ แม่จะทำกระต่ายป่าย่างให้เจ้า” เฉียวเวยวางมีดลง จากนั้นไปก่อกองไฟในลานบ้าน ตั้งราวไม้สำหรับย่าง จากนั้นใช้เส้นเหล็กเสียบกระต่ายป่าแขวนพาดบนราวไม้ ย่างพลิกไปมา
กลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายโชยตามสายลมอ่อน ลอยอ้อยอิ่งออกไป
บนเขาวายุทมิฬ หมู่โจรสิบกว่าเกือบยี่สิบคนเริ่มกิจวัตรมองเนื้อให้อิ่มท้องของพวกเขา พวกเขาขนม้านั่งตัวน้อยออกมานั่งเรียงแถว แต่ละคนถือชามไม้ใบหนึ่ง ภายในชามใส่ข้าวโปะเนื้อติดมัน มองดูสตรีบนเขาลูกตรงข้ามย่างกระต่ายป่าพลางพุ้ยข้าวกินอย่างว่องไว
ทันใดนั้นสายลมก็เปลี่ยนทิศ พัดกลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายไปทางฝั่งตะวันออก
ทุกคนโมโหโทโส ไม่ได้กินก็ช่างเถิด แม้แต่กลิ่นก็ยังไม่ได้ดมอีกหรือ
เสี่ยวเว่ยผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวสารวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาสูดจมูกดมอยู่สักพัก “อยู่ตรงนี้ๆ !”
ทุกคนรีบวิ่งไปยังจุดที่เสี่ยวเว่ยยืนอยู่ แล้วสูดหายใจเต็มปอด อา ได้กลิ่นจริงเสียด้วย หอมจริงเชียว
ทว่าดมได้ไม่นานนัก สายลมก็เปลี่ยนทิศอีกครั้ง!
เสี่ยวเว่ยเริ่มมองหารอบด้าน “ตรงนี้ๆ!”
ทุกคนแห่ไปรวมตัวกันอีกหน
คืนนี้สายลมซุกซนอยู่บ้าง จึงได้เห็นบุรุษเรือนร่างใหญ่โตโขยงหนึ่งถือชามไม้ แบกม้านั่งวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนยอดเขา…
สุดท้ายเฉียวเวยก็นำเนื้อที่ซื้อมาไปห่อเกี๊ยว แล้วมอบให้อากุ้ยกับชีเหนียงส่วนหนึ่ง มอบให้บ้านสกุลหลัวอีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือลงไปอยู่ในท้องของตนเองกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองคน
เนื้อย่างหอมเหลือเกินจนล่อจงเกอร์ให้เดินเข้ามาหาด้วย วั่งซูแบ่งขากระต่ายของตนเองครึ่งหนึ่งให้จงเกอร์อย่างใจกว้าง เริ่มแรกจงเกอร์ยังเกรงใจเล็กน้อย แต่กินไปๆ ก็เลิกเกรงใจแล้ว
เด็กสามคนกินกระต่ายป่าหนึ่งตัวจนหมดเกลี้ยง
เล่าถึงฝั่งไห่สือซาน หลังจากเขารับภารกิจสืบหาความจริงในอดีตมาก็ตามหาเบาะแสใดๆ ไม่พบมาตลอด สถานที่เกิดเหตุในตอนนั้นอยู่ที่เจียงหนาน ปีนั้นต้าเหลียงเกิดภัยหนาวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ จากนั้นก็เกิดอุทกภัยที่สร้างความเสียหายหนักหนาต่อ จากเตียนตูจรดเจียงหนานแทบจะเกิดภัยพิบัติไปครึ่งแผ่นดิน
เหตุการณ์เกิดหลังภัยหนาวแต่ก่อนอุทกภัย ฮ่องเต้เสด็จเยือนเจียงหนานเพื่อสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยพระองค์เอง ระหว่างเสด็จประพาสก็พาจีหมิงซิวกับองค์ชายหลายพระองค์มาด้วย ในนั้นมียิ่นอ๋องอยู่ด้วย