หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 119-2 หวนพบคู่แค้น
ทะเลสาบหยางหูอยู่ทางใต้ของเมือง เข้าประตูเมืองไปไม่เท่าไรก็ถึงแล้ว
ริมฝั่งทะเลสาบหยางหูมีถนนเส้นใหญ่ปูด้วยหินเขียวเส้นหนึ่ง บนถนนร้านรวงตั้งเรียงราย แต่กลับดูเหมือนจะไม่ค้าขายตอนกลางวันเท่าใดนัก แต่ละร้านเงียบเชียบอยู่เล็กน้อย ทว่าแต่ละร้านเช็ดถูจนมันวับเป็นประกาย เห็นชัดว่าขยันทำความสะอาดอย่างยิ่ง
เรือเริงรมย์หยางหูเป็นเรือเริงรมย์ลำใหญ่ที่สุดของทะเลสาบหยางหู มันมีถึงสองชั้น กำแพงทาสีแดง กระเบื้องสีดำ เชิงชายปลายงอน กรอบประตูหน้าต่างฉลุลาย เสาแกะสลักคานประดับภาพ มีท้องนภาเป็นเพดาน ขุนเขาเขียวขจีเป็นผืนม่าน คลื่นน้ำกระเพื่อมไหว ผิวทะเลสาบเป็นประกายระยับจับตาคล้ายภาพวาดของปรมาจารย์ผู้โด่งดังสักคนหนึ่ง
“ว้าววว! บ้านอยู่บนน้ำ!” วั่งซูตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
นั่นก็คือเรือเริงรมย์สินะ
เฉียวเวยเคยเห็นภาพเรือเริงรมย์ในชาติก่อนมาอยู่บ้าง ยามนั้นก็รู้สึกปรารถนาอยากจะเห็น แต่เมื่อมาถึงที่ตรงนี้จริงๆ กลับพบว่ายามได้มาเห็นด้วยตาตนเองจริงๆ รู้สึกตื่นตะลึงมากกว่าอยู่มาก หากจะกล่าวว่าใหญ่ก็ไม่นับว่าใหญ่โตมโหฬารนัก แต่กลิ่นอายความโบราณที่โถมเข้ามาใส่ใบหน้าช่างทำให้คนปรารถนาจะขึ้นไปชื่นชมอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อก้าวขึ้นเรือก็มีลูกจ้างผู้รับผิดชอบตรวจตั๋วโดยเฉพาะ
เฉียวเวยส่งตั๋วทองให้เขา พนักงานเห็นตั๋วทองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วหันมามองเฉียวเวย เมื่อเห็นพวกเขาแต่งตัวเรียบง่าย ในดวงตาก็ฉายแววสงสัย แต่มิได้สอบถามอันใด เขานับจำนวนคนเล็กน้อยจากนั้นจึงเรียกหญิงรับใช้นำทุกคนขึ้นไปบนเรือ
“ฮูหยินต้องการนั่งที่ชั้นสองหรือชั้นหนึ่งเจ้าคะ” หญิงรับใช้ถามอย่างนอบน้อม
อากาศเดือนหก ชั้นสองคงเหมือนเตาอบ ชั้นหนึ่งก็แล้วกัน
เฉียวเวยเลือกโต๊ะยาวริมหน้าต่างโต๊ะหนึ่งแล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนไปนั่ง
พวกเขาไหนเลยจะกล้า แม้ฮูหยินจะพาพวกเขาออกมาท่องเที่ยว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นนายกับบ่าว พวกเขาไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะกับฮูหยินหรอก
เฉียวเวยจจึงบอกว่า “ทุกคนออกมาเที่ยว อย่ายึดติดกฏธรรมเนียมเหล่านั้นเลย พวกเจ้ายืนกันหมด ข้านั่งอยู่คนเดียว ข้าก็กินไม่อร่อย นั่งเถิด” แล้วนางก็ตบหัวไหล่จงเกอร์เบาๆ “จงเกอร์ นั่ง”
จงเกอร์นั่งลงถัดจากจิ่งอวิ๋น
อากุ้ยลังเลครู่หนึ่งก็ดึงชีเหนียงนั่งลงตาม
เสี่ยวเว่ยใจกล้า จงเกอร์นั่งลงไม่ทันไรเขาก็หย่อนก้นนั่งตามลงไปแล้ว ส่วนปี้เอ๋อร์ นางไม่ใช่คนไม่สนใจขนบธรรมเนียมเช่นเสี่ยวเว่ย และไม่เคยเป็นเจ้านายในครอบครัวตระกูลใหญ่เช่นพวกอากุ้ย นางจึงอิดออดอยู่นานกว่าจะถูกชีเหนียงดึงลงมานั่ง
ที่นั่งตำแหน่งนี้เลือกได้ดียิ่งนัก เย็นสบายแล้วยังอยู่ริมน้ำ เวลานี้เรือยังไม่แล่น เสียงน้ำไม่ดังมาก มีเพียงคลื่นลูกน้อยถูกสายลมอ่อนพัดมากระทบตัวเรือแผ่วเบาเป็นบางครั้งประหนึ่งการลูบไล้อันอ่อนโยน
วั่งซูเกาะอยู่บนขอบหน้าต่างพลางยื่นมือน้อยออกไปจับน้ำ
เฉียวเวยคว้าสายคาดเอวของนางไว้ “อย่าซน ระวังร่วงลงไป”
วั่งซูได้ยินก็กลับไปนั่งที่ “ข้าอยากเล่นน้ำ ท่านแม่ สระน้ำของพวกเราเมื่อใดจะมีน้ำเจ้าคะ”
ปีนี้น้ำฝนน้อย รดน้ำพืชผลทางการเกษตรยังไม่พอ ไหนเลยนางจะกล้าชักน้ำเข้ามาให้ตนเองเล่นสนุก
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยของนางอย่างอ่อนโยน ”รอเจ้าโตอีกสักหน่อยดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นแม่จะสอนเจ้ากับพี่ชายว่ายน้ำ”
วั่งซูยิ้มจนตาหยีพลางตอบรับ “เจ้าค่ะ!”
หญิงรับใช้ยกน้ำชากับขนมมา นางสายตาแหลมคมนัก มองออกว่าเฉียวเวยคือเจ้านายในหมู่คนกลุ่มนี้ จึงคลี่ยิ้มแล้วถามเฉียวเวยว่า “ฮูหยินต้องการทานอาหารชนิดใด ปลาย่างหยางหูของพวกเรายอดเยี่ยมยิ่งนัก ฮูหยินต้องการลองชิมหรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้าแล้วมองทุกคน “พวกเจ้าอยากกินอะไร”
อากุ้ยตอบว่า “ชีเหนียงชอบกินกุ้ง”
“มีกุ้งหรือไม่” เฉียวเวยถามหญิงรับใช้
หญิงรับใช้ยิ้มพลางตอบว่า “มีเจ้าค่ะ ฮูหยิน ต้องการกุ้งนึ่งหรือกุ้งต้มพะโล้ดีเจ้าคะ”
“มีเพียงสองอย่างหรือ”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
เฉียวเวยมองทุกคน “ยกมาอย่างละจานก็แล้วกัน พวกเราคนมาก”
“เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ตอบ “จริงสิ ฮูหยินเจ้าคะ พวกเรามีอาหารออกใหม่อย่างหนึ่ง ปรุงด้วยไข่เยี่ยวม้า ฮูหยินต้องการชิมหรือไม่”
พวกเขามองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้ม พวกเขาเป็นผู้ผลิตไข่เยี่ยวม้าเชียวนะ กินได้ทุกวี่ทุกวัน ต้องออกมากินข้างนอกหรือ
เฉียวเวยกลั้นรอยยิ้ม “ไข่เยี่ยวม้าไม่ต้อง กินอยู่ทุกวัน กินจนเบื่อแล้ว”
หญิงรับใช้ตกตะลึง ไข่เยี่ยวม้าของพวกนางซื้อมาจากเหลาสุราขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเมืองซีหนิว เหลาสุราแห่งนั้นแต่ละวันขายไข่เยี่ยวม้าเพียงแปดสิบฟอง พวกเขาไปสายสักหน่อยก็ถูกผู้อื่นแย่งไปจนหมด แต่ฮูหยินผู้นี้กลับได้กินทุกวัน ทำให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว
ตอนเห็นเสื้อผ้าที่ฮูหยินสวม นางยังคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีเงินมากมายเสียอีก แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง หากไม่มีเงินก็คงหาตั๋วทองของพวกเขามาไม่ได้ ฮูหยินท่านนี้น่าจะเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองอย่างที่เขาพูดกันกระมัง
เฉียวเวยสั่งอาหารจานพิเศษมาหลายอย่างตามรสชาติที่แต่ละคนชอบ ปกติมีแต่ทำให้ผู้อื่นทาน หายากที่จะมีคนอื่นทำให้ทานสักหน เฉียวเวยจึงคาดหวังอยู่บ้าง
เวลานี้บนเรือเริงรมย์ยังมีคนไม่มาก ที่นั่งจึงว่างอยู่ไม่น้อย เด็กน้อยทั้งสามปีนไปปีนมาตรงที่นั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
“พี่อากุ้ย พกวเราขึ้นไปดูด้านบนกันเถิด!” เสี่ยวเว่ยกล่าว
อากุ้ยถามชีเหนียง “เจ้าอยากไปเดินเล่นบนชั้นสองหรือไม่”
ชีเหนียงมองเด็กน้อยทั้งสามที่เล่นกันจนเหงื่อโชกศีรษะอยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวว่า “พวกท่านไปก่อน พอพวกท่านกลับมาแล้ว ข้าค่อยไปกับฮูหยินและปี้เอ๋อร์”
อากุ้ยกับเสี่ยวเว่ยขึ้นไปชั้นบน
นี่ก็เป็นจุดที่เฉียวเวยชอบชีเหนียง อ่อนโยนเอาใจใส่ ละเอียดรอบคอบ แม้จะยังไม่เคยมีลูก แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวแผ่ความอ่อนโยนของมารดาออกมา ทำให้คนอดใจไม่ไหวอยากเข้าใกล้
จงเกอร์ชะตาลำเค็ญ บิดาสิ้นแล้ว มารดาก็หนีไป แต่จงเกอร์ก็โชคดีที่พบกับชีเหนียง
สตรีสามนางอยู่ด้วยกันย่อมหาเรื่องคุยได้ไม่สิ้นสุด เริ่มแรกชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ยังเกร็งอยู่บ้าง แต่เมื่อเฉียวเวยเปิดบทสนทนาขึ้นมา พวกนางก็แย่งชิงกันเล่าเรื่องสนุกทั้งหลายในบ้านเกิด
เฉียวเวยฟังเรื่องเหล่านี้อย่างสนุกสนาน ชีวิตมนุษย์บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องโบยบินขึ้นสูงหรือร่วงหล่นลงต่ำจึงจะน่าสนใจ เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในครอบครัวก็เป็นความอบอุ่นที่เล่าได้ไม่มีวันหมดแล้ว
ปี้เอ๋อร์กำลังเล่าว่าห่านอ้วนในหมู่บ้านของพวกนางไล่จิกก้นหัวขโมยได้อย่างไรด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทันใดนั้นเสียงละมุนเสียงหนึ่งก็ขัดจังหวะ “แย่แล้ว ที่นั่งของพวกเราไม่ว่างเสียแล้ว!”
ผู้ที่กล่าวคำนี้คือสาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีชมพูนางหนึ่ง
สาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีเขียวอีกคนที่อยู่ด้านข้างบ่นขึ้นว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าให้ออกจากบ้านมาเร็วหน่อย วันนี้อากาศดี คนมาเที่ยวชมทะเลสาบต้องมากอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” สาวใช้เสื้อกั๊กชมพูร้อนใจจนกระทืบเท้า “หากฮูหยินทราบว่าพวกเราจองที่นั่งให้ไม่ได้ จะต้องด่าพวกเรายกใหญ่แน่!”
พวกนางเป็นสาวใช้ขั้นสอง ไม่ได้รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินบ่อยครั้ง แต่เพราะเวลาสั่งให้ไปทำงานทำได้ดี ฮูหยินจึงชื่นชอบอยู่มาก ครั้งนี้ฮูหยินจะออกมาเที่ยวชมทะเลสาบจึงให้พวกนางสองคนออกมาจองที่นั่งไว้ก่อน ฮูหยินของพวกนางเป็นแขกประจำของเรือเริงรมย์ลำนี้ พวกนางติดตามมาหลายครั้งแล้วจึงทราบว่ายามกลางวันปกติจะไม่มีคน พวกนางจึงแวะซื้อแป้งชาดระหว่างทางจนเสียเวลาครู่หนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าทางด้านนี้ที่นั่ง ‘เฉพาะ’ ของฮูหยินถูกผู้อื่นแย่งไปเสียแล้ว!
สาวใช้เสื้อกั๊กชมพูร้อนใจจนใกล้จะร้องไห้
สาวใช้เสื้อกั๊กเขียวจึงปลอบนางว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะลองดูว่าเจรจากับพวกนางได้หรือไม่”
สาวน้อยเสื้อกั๊กชมพูสะอื้น “อืม พี่สือหลิว ต้องพึ่งท่านแล้ว”
สาวใช้เสื้อกั๊กสีเขียวเยื้องย่างมาถึงโต๊ะของเฉียวเวย ขณะที่กำลังจะอ้าปากเรียกฮูหยิน ก็ได้ยินเสียงประหลาดใจของชีเหนียงดังขึ้นก่อน “คุณหนู?”
ใช่แล้ว สาวใช้ที่ถูกเรียกว่าสือหลิวก็คือติงเสี่ยวอิง ฮูหยินไม่ชอบนามของติงเสี่ยวอิงจึงเปลี่ยนนามให้เป็นสือหลิว
ติงเสี่ยวอิงคิดไม่ถึงว่าจะพบกับกู้ชีเหนียงในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อวานซืนตอนบุกไปหากู้ชีเหนียง นางสวมเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุด แต่ตอนนี้นางแต่งกายด้วยชุดสาวใช้ เมื่อหันกลับไปมองกู้ชีเหนียงก็เห็นนางสวมกระโปรงคาดเอวสีเรียบๆ เรือนผมเกล้าเป็นทรงมวยก้านเกล็ด ประดับปิ่นทองแดงห้อยมุกหนึ่งเล่ม แม้เสื้อผ้าจะเรียบง่ายดูซอมซ่ออยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าของทาส
สมัยยังอยู่ในตระกูลขุนนาง ชีเหนียงเป็นทาสในตระกูลของพวกนาง แต่ตอนนี้ทาสคนนี้กลับนั่งอยู่บนที่นั่งที่เจ้านายเท่านั้นจะนั่งได้อย่างสบายอกสบายใจ แต่นางคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนี้กลับยืนอยู่เบื้องหน้านางเยี่ยงสาวใช้คนหนึ่ง
กล่าวให้ถูกต้อง นางก็เป็นสาวใช้คนหนึ่งจริงๆ
ความกระอักกระอ่วนและความอับอายล้นทะลักออกมาในหัวใจ ติงเสี่ยวอิงหน้าแดง
กู้ชีเหนียงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ติงเสี่ยวอิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ไม่เห็นข้าสวมเสื้อผ้าของสาวใช้หรือไร ข้าไม่ได้โชคดีเหมือนเจ้า ไม่ต้องชดใช้ของความผิดในอดีต! ข้าเป็นคนตระกูลติง เป็นชั่วชีวิต!”
ตอนแรกเฉียวเวยมีความประทับใจที่ดีต่อแม่นางผู้นี้อย่างยิ่ง แต่เมื่อได้พบหน้า กลับพบว่าตนเองมองพลาดไปแล้วจริงๆ เฉียวเวยถอนหายใจอย่างเฉื่อยชาครั้งหนึ่ง “น่าเสียดายนะ บนโลกนี้ไม่มีตระกูลติงอีกแล้ว”
ติงเสี่ยวอิงโกรธจนเหมือนมีบางสิ่งจุกอยู่ในหน้าอก
เฉียวเวยถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “แม่นางสือหลิวมาหาพวกเรามีธุระหรือ” เมื่อครู่นางได้ยินสาวใช้อีกคนเรียกนางว่าพี่สือหลิว
เวลานี้ติงเสี่ยวอิงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้ ตามปกติแล้วเรือเริงรมย์ที่หรูหราเช่นนี้ คนทั่วไปขึ้นมามิได้ ผู้ที่ขึ้นมาได้ล้วนเป็นครอบครัวที่มีเส้นสาย สตรีนางนี้เป็นเพียงแม่ม่ายในชนบทคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านางอาศัยเล่ห์กลอันใดจึงปะปนเข้ามาได้
ติงเสี่ยวอิงอดกลั้นโทสะแล้วกล่าวว่า “ที่นั่งตรงนี้ ฮูหยินของพวกเราจองเอาไว้ รบกวนพวกท่านสละที่นั่งให้สักหน่อย”
เฉียวเวยยิ้มละไม “คนบนเรือมิได้บอกข้าเช่นนี้นะ พวกเขาให้ข้าเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ อยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น”
ติงเสี่ยวอิงตอบว่า “ฮูหยินของพวกเรานั่งตรงนี้ทุกครั้งที่มา”
ที่นั่งตรงนี้ติดหน้าต่าง ด้านบนก็บังเอิญเป็นดาดฟ้าที่ยื่นออกมาจึงบังแสงที่สาดลงมาได้พอดี กล่าวได้ว่าที่ตรงนี้เป็นที่นั่งที่เย็นสบายยิ่งนักและชื่นชมทิวทัศน์ของทะเลสาบและขุนเขาได้ดีอย่างยิ่ง
เฉียวเวยแค่นเสียงดังเหอะคำหนึ่ง “นั่งหลายครั้งเข้า ที่นั่งตรงนี้ก็เท่ากับเป็นของนางแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าเดินถนนในเมืองหลวงทุกวัน เมืองหลวงมิกลายเป็นของข้าแล้วหรือไร”
“ท่าน…” ติงเสี่ยวอิงถูกเฉียวเวยย้อนจนสะอึก “เรื่องที่ท่านทำป้ายของข้าพัง ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลย ผู้อื่นไว้หน้าท่านแล้ว ท่านก็อย่าปฏิเสธ!”
กู้ชีเหนียงฟังต่อไม่ไหวแล้ว “คุณหนู ท่านอย่าพูดจากับฮูหยินเช่นนี้”
ติงเสี่ยวอิงตวาดเบาๆ “ผู้ใดใช้ให้เจ้ายุ่ง ทาสที่เข้ามาทำลายครอบครัวข้า มิสิทธิอันใดมาชี้นิ้วสั่งสอนข้า! เจ้าไสหัวไปเสีย นี่มิใช่เรื่องของเจ้า!”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ชีเหนียงเป็นแขกของเรือลำนี้ ที่นั่งตรงนี้ก็เป็นของนางด้วย จะมิใช่เรื่องของนางได้อย่างไร”
มิใช่ว่าเฉียวเวยจงใจทำให้ติงเสี่ยวอิงยิ่งเคียดแค้นชีเหนียง แต่ติงเสี่ยวอิงจิตใจคับแคบเกินไปจริงๆ นางทนเห็นคนที่ต่ำศักดิ์กว่าตนเองในวันวานได้ดีกว่านางไม่ได้ ต่อให้ชีเหนียงคุกเข่าเลียปลายเท้านางเหมือนสุนัข นางก็คงชักสีหน้าใส่ชีเหนียงอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเฉียวเวยยังค้นพบอีกว่าติงเสี่ยวอิงเป็นพวกกร่างกับคนที่ยอมให้ แต่กลัวคนที่สู้กลับ อากุ้ยตบนางหนึ่งฝ่ามือ นางก็ไม่กล้าเถียงอากุ้ยแล้ว แต่เอาโทสะทั้งหมดไปสาดใส่หัวของชีเหนียง
แต่ชีเหนียงเป็นคนของนาง จะปล่อยให้หมาแมวตัวใดมารังแกตามใจไม่ได้
เฉียวเวยมองไปทางกู้ชีเหนียงอีกหน แน่นอนว่า นางก็อยากดูเหมือนกันว่า สุดท้ายแล้วชีเหนียงจะคู่ควรให้นางสละตนเองปกป้องหรือไม่
“คุณหนู” กู้ชีเหนียงเอ่ยปาก
ติงเสี่ยวอิงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าคุณหนู ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ พวกเจ้าย้ายไปนั่งที่อื่น”
กู้ชีเหนียงสูดลมเย็นเข้าปอด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างช้าๆ “ขออภัยคุณหนู ข้าทำเช่นนั้นมิได้”
ติงเสี่ยวอิงแววตาเย็นเยียบขึ้นทันควัน ยามปกติชีเหนียงกลัวนางเป็นที่สุด แล้วก็เชื่อฟังนางเป็นที่สุด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกล้าปฏิเสธนางหรือ
กู้ชีเหนียงก้มหน้ากล่าวว่า “คุณหนูเคยเป็นนายของชีเหนียง ชีเหนียงจดจำได้ขึ้นใจมิกล้าลืม ต่อให้ไม่มีตระกูลติงแล้ว ชีเหนียงก็ยังเคารพคุณหนูเสมือนหนึ่งเป็นเจ้านาย แต่ฮูหยินก็เป็นนายของชีเหนียงเช่นกัน ฮูหยินดีต่อชีเหนียงยิ่งนัก ชีเหนียงไม่กล้าทำให้ฮูหยินไม่พอใจเพื่อคุณหนู”
เฉียวเวยลอบพยักหน้า ดูเหมือนอ่อนแอแต่ก็มีความเข้มแข็งเป็นของตน นี่คงเป็นจุดที่ทำให้คนประทับใจที่สุดในตัวของชีเหนียง
ติงเสี่ยวอิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือว่าตอนนั้นข้าขอให้เฉียนฮูหยินซื้อพวกเจ้าเอาไว้ พวกเจ้าจึงไม่ถูกเนรเทศ หากข้ามิได้เอ่ยปากขอ พวกเจ้าก็คงหิวตายแข็งตายอยู่ท่ามกลางความหนาวไปนานแล้ว! นังคนเนรคุณ! เดรัจฉานก็ยังสู้เจ้าไม่ได้!”
กู้ชีเหนียงตอบเสียงเบา “นั่นเป็นหนี้ที่ชีเหนียงติดค้างคุณหนู ชีเหนียงย่อมคิดหาหนทางตอบแทนคุณหนู แต่ฮูหยินไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าไม่ต้องการให้ฮูหยินสละที่นั่งเพื่อชดใช้หนี้ของตน คุณหนูไปเลือกที่นั่งอื่นเถิด”
คุณหนูติงเอ่ยเสียดสี “เจ้าช่างเปลี่ยนใจง่ายเสียจริง กับบิดาข้าก็เป็นเช่นนี้ กับข้าก็เป็นเช่นนี้! มารดาข้าตาบอดแล้วจริงๆ จึงรับเจ้าเข้าบ้านมาเป็นสาวใช้! หากรู้ก่อนว่าเจ้าจะใจหมาใจสุนัขเช่นนี้ ตอนนั้นมารดาข้าเลี้ยงสุนัขสักตัวยังจะดีเสียกว่า!”
เฉียวเวยสาดน้ำชาถ้วยหนึ่งใส่
ติงเสี่ยวอิงถูกสาดจนเปียกทั้งหน้าทั้งตัว น้ำชาอุ่นไหลลงมาตามเส้นผมของนาง เปื้อนจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น นางหันไปมองเฉียวเวย แล้วอ้าปากกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ากล้าสาดข้าหรือ”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าเฉยชา “เห็นแก่ชีเหนียง ข้าไว้ไมตรีต่อเจ้าแล้ว กลับไปเลือกที่นั่งสักที่เถอะแม่นาง ข้าไม่สละที่นั่งให้ฮูหยินบ้านเจ้าหรอก”
สาวใช้เสื้อกั๊กชมพูเดินเข้ามาดึงติงเสี่ยวอิงแล้วบอกว่า “ช่างเถิดสือหลิว พวกเราไปหาที่นั่งอื่นกัน ตรงนี้ยังมีที่นั่งอีกมาก รอประเดี๋ยวค่อยอธิบายกับฮูหยินสักหน่อย ฮูหยินคงเข้าใจ”
ติงเสี่ยวอิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพดูไม่ได้ สายตาลุกโชนดั่งคบเพลิง แม้แต่ตอนที่ถูกสหายลากไปก็ยังคงถลึงตาใส่ชีเหนียงอย่างเคียดแค้น
กู้ชีเหนียงก้มหน้ามิกล้าสบตานาง
เฉียวเวยรินชาถ้วยหนึ่งให้ชีเหนียง “ชาดอกไม้ของที่นี่รสไม่เลว เจ้าลองชิมดู”
ใบหน้าของติงเสี่ยวอิงกลายเป็นสีตับหมู อยู่ที่จวนกั๋วกงนางถูกเจ้านายใช้ไปโน่นมานี่ ถูกสาวใช้อายุมากสั่งนั่นสั่งนี่ เป็นคนไม่มีอำนาจคนหนึ่ง แม้แต่สาวใช้ขั้นสามนางยังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะมีบิดาบุญธรรม มารดาบุญธรรมหรือพี่สาวบุญธรรมสักคนหนุนหลังอยู่ นางเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ไร้ค่าเสมือนต้นหญ้า แต่นังบ่าวต่ำช้าหน้าไม่อายที่ล่อลวงบิดาของนาง แล้วยังล่อลวงอารองของนางผู้นั้นกลับใช้ชีวิตเยี่ยงเจ้านายคนหนึ่ง นั่งร่วมโต๊ะกับนายยังไม่ว่า แต่ทุกคนยังเข้าข้างนาง เห็นนางเป็นที่รัก เหตุใดกัน
แม่ม่ายผู้นี้ก็ด้วย!
เหตุใดจึงปกป้องคนที่นางเกลียดชังที่สุด
แล้วยังสาดน้ำชาใส่นางอีก
นางเป็นคุณหนูของจวนผู้ว่าราชการมณฑลนะ!
แม่ม่ายสาวคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร!
เพลิงโทสะมอมเมาสติของติงเสี่ยวอิง
บังเอิญจังหวะนี้เอง จิ่งอวิ๋นผู้เหงื่อไหลไคลย้อยวิ่งมาหาเฉียวเวย “ท่านแม่ขอรับๆ! ข้าอยากดื่มน้ำ!”
ลูกของแม่ม่ายคนนั้น
ดวงตาของติงเสี่ยวอิงฉายแววเหี้ยมเกรียม จากนั้นนางก็คว้าจิ่งอวิ๋นที่กำลังวิ่งผ่านข้างกายแล้วโยนเขาออกไปนอกหน้าต่าง