หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 129 สามี อยู่นี่
จิ๊ๆ ช่างเป็นละครที่น่าดูชมเรื่องหนึ่งจริงๆ
เฉียวเวยขบเมล็ดแตงอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาทอประกายวิบวับ ริมฝีปากยกโค้งกลายเป็นบุปผาสีแดง
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่อากุ้ยคาดคิดไว้ นางฟังเข้าใจหรือไม่ เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์ไม่ซื่อสัตย์ต่อนาง
“ฮูหยิน” อากุ้ยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ท่านฟังคำพูดของข้าอยู่หรือไม่”
“ได้ยินแล้ว” เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “แต่เจ้าจะฟังคำพูดของข้าหรือไม่”
อากุ้ยรู้สึกขนลุกอยู่ในใจอย่างไร้สาเหตุ “ฮูหยินเชิญพูด”
เฉียวเวยโบกมือ “ไม่ดีกว่า ข้าไม่พูดแล้ว เจ้าดูเอาเองเถิด”
“ดู? ดู…อะไร” อากุ้ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ดูข้า!” เสี่ยวเว่ยลุกพรวดขึ้นมา
อากุ้ยตกตะลึง “เสี่ยวเว่ย เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เสี่ยวเว่ยตอบอย่างเกรี้ยวกราด “เหตุใดข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ข้าจะบอกท่าน ไม่ได้มีแต่ข้า ปี้เอ๋อร์ก็อยู่ด้วย!”
เจ้าเป็นบ้าหรือ ตนเองพุ่งออกไปแล้วทำไมต้องลากข้าไปด้วย
ปี้เอ๋อร์เริ่มคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว
อากุ้ยถลามาที่ริมหน้าต่าง มองแวบแรกก็เห็นปี้เอ๋อร์ที่หลบอยู่ข้างกำแพง แก้มร้อนผ่าวในพริบตา “พวกเจ้า…พวกเจ้าสองคน…”
เสี่ยวเว่ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเราสองคนทำไม ตอนค่ำไม่ได้บอกเสียดิบดีว่าห้ามปูดความลับหรือ เจ้ามันคนทรยศ!”
อากุ้ยพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้าเป็นคนทรยศหรือ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าที่มาถึงก่อนข้าเรียกว่าอะไร!”
ปี้เอ๋อร์โบกมือแล้วยกมือชี้ “เสี่ยวเว่ยมาถึงคนแรก!”
เสี่ยวเว่ยพองขนทันควัน “ข้ามาคนแรกแล้วอย่างไร คนที่ข้าฟ้องคืออากุ้ย ข้าไม่ได้สงสัยเจ้าเลย! แต่เจ้าบัดซบนักกลับสาดโคลนใส่เต็มหน้าข้า!”
อากุ้ยขมวดคิ้ว “เสี่ยวเว่ย เจ้าปูดความลับของข้าหรือ”
เสี่ยวเว่ยย้อน “เจ้าก็ฟ้องข้าไม่ใช่หรือไร เจ้าไม่ได้ฟ้องแต่ข้า เจ้ายังฟ้องปี้เอ๋ฮร์ด้วย! เจ้าเลวร้ายที่สุด! ใช่หรือไม่ปี้เอ๋อร์”
ปี้เอ๋อร์กลอกตา “ผู้ใดเห็นด้วยกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่ใช่ตัวดีอะไรเหมือนกัน! ตอนค่ำคนที่เสนอให้รักษาความลับก็คือเจ้า คนที่รับปากอย่างฉับไวก็คือเจ้าอีก พอถึงเวลาเข้าจริง คนที่วิ่งมาแฉความลับให้ฮูหยินฟังคนแรกสุดก็ยังเป็นเจ้าอีก!”
เสี่ยวเว่ยทุบหน้าอกกระทืบเท้า “นั่นข้าคิดเพื่อฮูหยินไม่ใช่หรือไร ข้ากลัวว่าอากุ้ยจะวางแผนไม่ซื่อจริงๆ นี่! เจ้ากลับน่านัก ไม่สงสัยอากุ้ย กลับมาสงสัยข้า!”
ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างไม่สบอารมรณ์ “ข้าก็คิดเพื่อฮูหยินเหมือนกัน เจ้าดูสิเจ้าโกหกพกลมทั้งเพ อะไรคือที่บ้านมีบิดาเฒ่าชรากับลูกน้อย แล้วยังมีพี่สาวป่วยกระเสาะกระแสะอีกคนหนึ่ง ความจริงแล้วไม่ได้มีเรื่องอย่างนั้นสักนิด! เจ้าเป็นพวกเดียวกับโจรพวกนั้นต่างหาก!”
เสี่ยวเว่ยโกรธจนกระทืบเท้า ถลึงตามองนาง “เจ้ามีหน้ามาว่าข้าหรือ ผู้ใดกันจะขโมยสูตรของฮูหยินไปขาย หากไม่ใช่เพราะถูกข้าจับได้ วันนี้พวกเจ้าสองคนก็เอาสูตรออกไปขายแล้ว!”
ปี้เอ๋อร์กระทืบเท้า “สูตรนั่นเป็นของปลอม! ข้าไม่เคยคิดทำร้ายฮูหยิน! ข้าเพียงแต่จะเอาสูตรปลอมอันหนึ่งไปหลอกสักหน่อยก็เท่านั้น!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ปี้เอ๋อร์ก็รู้สึกได้รับความอยุติธรรมอย่างยิ่ง “พี่อากุ้ย เสี่ยวเว่ยไม่เชื่อข้าก็แล้วไปเถิด เหตุใดท่านไม่เชื่อเล่า ท่านมองไม่ออกหรือว่านั่นไม่ใช่สูตรทำไข่เยี่ยวม้าสักหน่อย เหตุใดแม้แต่ท่านก็สงสัยข้าด้วยเล่า”
ไม่รอให้อากุ้ยตอบ เสี่ยวเว่ยก็อ้าปากขึ้นก่อน “ข้ารู้! เขาอยากกำจัดพวกเราสองคน! จะได้เหลือเขาคนเดียวอยู่ข้างกายฮูหยิน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดเปิดโปงความคิดไม่ซื่อที่อยากไถ่ตัวเป็นอิสระของเขาแล้ว!”
“พี่อากุ้ยท่านคิดเช่นนี้จริงหรือ” ปี้เอ๋อร์ถามอย่างเสียใจ
“ข้าเปล่า” อากุ้ยปฏิเสธ
เสี่ยวเว่ยด่าปี้เอ๋อร์ “เจ้ายังจะเรียกพี่อากุ้ยอีก เขาขายเจ้าหมดแล้ว!”
ปี้เอ๋อร์แหวเสียงหวาน “พูดเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ขายเจ้า!”
“ก็ขายน่ะสิ พวกเราถึงต้องร่วมแรงกันโมโห (จัดการ) ศัตรู!”
“เจ้าอย่าเอาแต่ลากข้าไปร่วมด้วย!”
“เจ้าอย่าเอาแต่แบ่งแยกมิตรศัตรูไม่ออกสิ!”
ปี้เอ๋อร์มองเสี่ยวเว่ย แล้วหันไปมองอากุ้ยที่อยู่ด้านข้าง “พวกท่านทั้งสองคน ล้วนไม่ใช่ตัวดีสักคน!”
เสี่ยวเว่ยโกรธจนลำคอตีบตัน
เจ้าตัวน้อยทั้งสองเลิกตีลังกาเล่น มานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงดูผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกันไม่เลิกอย่างตะลึง ที่แท้ผู้ใหญ่ก็ทะเลาะกันได้ด้วยสินะ แล้วยังทะเลาะกันน่ากลัวเช่นนี้อีก ไม่รู้ความกันสักนิด
เฉียวเวยเคี้ยวเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแย้มมองคนทั้งสาม “ทะเลาะกันเสร็จแล้วหรือ”
ทั้งสามคนอับอาย
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ขวัญกล้ากันไม่น้อยเลยนะ อากุ้ยเจ้าอยากไถ่ตัวสินะ”
“ข้าเปล่า” อากุ้ยตอบอย่างเคร่งขรึม
เฉียวเวยขยับยิ้ม แล้วหันไปมองปี้เอ๋อร์ “ปี้เอ๋อร์ต้องการสูตรของข้าสินะ”
ปี้เอ๋อร์แววตาลนลาน “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
เฉียวเวยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เสี่ยวเว่ย เจ้าคิดจะทำสิ่งใด คงไม่ได้คิดจะขโมยเงินของข้ากระมัง”
เสี่ยวเว่ยยืดอก “ไม่ ใช่ แน่ นอน!”
เฉียวเวยขยับมุมปากเหมือนไม่ใส่ใจ “ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งคืน ไปคิดมาให้ดีว่าใช่หรือไม่ พรุ่งนี้เช้าข้าต้องการฟังความจริง”
ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วก้มหน้า
เฉียวเวยบิดขี้เกียจ “เอาล่ะ โขกศีรษะคารวะเสร็จก็ออกไปได้แล้ว พระสนมคนนี้จะเข้านอนแล้ว”
อากุ้ยคุกเข่าลง โขกศีรษะหนึ่งหน
เสี่ยวเว่ย ปี้เอ๋อร์ “…”
เจ้าฟังไม่ออกหรือว่าฮูหยินเพียงเปรียบเปรย หมายความว่าให้เจ้ารีบไสหัวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ผู้ใดบอกให้เจ้าคุกเข่าลงไปจริงๆ!
พอออกจากคฤหาสน์ ทั้งสามคนก็อารมณ์หนักอึ้งเล็กน้อย
ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่เสี่ยวเว่ย “คนที่ไม่มีสัจจะที่สุดก็คือเจ้า”
เสี่ยวเว่ยเลิกคิ้ว “เฮ้ย ข้าไม่ใช่ไม่มีสัจจะ ข้าเพียงฝีเท้าเร็วกว่าพวกเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าน่ะทรยศก่อนหน้าข้าตั้งนานแล้ว แต่พวกเจ้าขาสั้น เดิน เชื่อง ช้า”
ปี้เอ๋อร์กลอกตา
สีหน้าของอากุ้ยไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน
เสี่ยวเว่ยหมดสนุกจึงลูบจมูกเดินลงเขาไป
…
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอาบน้ำแล้ว แต่ก็เล่นบนเตียงจนเหงื่อออกท่วมตัวอีก เฉียวเวยตักน้ำอุ่นเข้ามาเช็ดตัวให้ทั้งสองคนอย่างพิถีพิถัน
ทั้งสองคนหาวน้อยๆ ตามต่อกัน เมื่อเฉียวเวยนำน้ำออกไปเทแล้วกลับมา ทั้งสองคนก็เอนซ้ายเอนขวาล้มตัวลงนอนแล้ว
เฉียวเวยปลดมุ้งลงมา
ความจริงจะปลดหรือไม่ปลดก็ไม่เป็นอะไร ในบ้านของนางเหมือนจะไม่มียุง
เสี่ยวไป๋ส่ายหางอย่างภาคภูมิใจ
เด็กๆ หลับแล้ว ฝั่งโรงงานด้านนั้นโคมไฟก็ดับแล้ว บนเขากลับมาเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง
เฉียวเวยนอนไม่หลับจึงหยิบตะกร้าอุปกรณ์เย็บผ้าไปที่โต๊ะ เย็บทีละเส้นทีละเข็ม
เสี่ยวไป๋คิดว่าเฉียวเวยกำลังทำเสื้อให้ตนเองจึงอดทนอย่างยิ่ง นั่งบนโต๊ะอย่างยินดีปรีดา ทำหน้าพออกพอใจนัก
เวลานี้เช่นนี้ยังมีกะจิตกะใจเย็บปักอีก เฉียวเวยคิดว่าตนเองเก่งกาจอยู่เหมือนกัน
ทันใดนั้นวิหคน้อยสีฟ้าตัวหนึ่งก็กระพือปีกร่อนลงบนขอบหน้าต่าง
เฉียวเวยจำนกตัวนี้ได้ ของหมิงซิว
นกของหมิงซิว
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าเรียกเช่นนี้ฟังดูแปลกๆ…
เฉียวเวยมองหาบนขาของวิหคน้อย ก็เจอกระดาษแผ่นน้อยผูกติดอยู่แผ่นหนึ่งจริงๆ นางเปิดออกอ่านก็เห็นตัวอักษรสวยงามอันคุ้นตาอยู่บนนั้น
นอนไม่หลับหรือ หัวหน้าพรรคเฉียว
ในสมองมีเสียงของเขาเอ่ยคำนี้ดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทั้งอ่อนโยนและรักใคร่
มุมปากของหัวหน้าพรรคเฉียวโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ นางวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ด้านข้าง แล้วหยิบกระดาษกับพู่กันจากห้องหนังสือมาเขียนจดหมายตอบ ‘ยังไม่นอนอีกหรือ คุณชายหมิง’
วิหคน้อยนำกระดาษข้อความบินจากไป เฉียวเวยก็ไม่ทราบว่ามันจะนำข้อความของตนเองไปส่งถึงหรือไม่ แล้วนานเท่าใดจึงจะนำไปส่งถึง แต่อย่างไรเสียนางก็นอนไม่หลับ
ราวครึ่งเค่อต่อมา วิหคน้อยก็บินกลับมา
หมิงซิว ‘ดูจากตัวอักษร เหมือนเจ้าจะอารมณ์ไม่ดีหรือ’
เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง เรื่องนี้มองออกกันได้ด้วยหรือ ทว่าเพียงชั่วความคิดแล่นก็เหมือนจะไม่รู้สึกแปลกนัก ตัวอักษรก็เหมือนตัวคน ต่อให้เป็นคนเดียวกัน ตัวอักษรยามอารมณ์ดีกับตัวอักษรยามหงุดหงิดใจก็ย่อมแตกต่างกัน
เฉียวเวยตอบกลับ ‘อย่าพูดถึงเลย วันนี้’
เพิ่งเขียนถึงคำว่า ‘นี้’ กระดาษแผ่นน้อยก็เต็มเสียแล้ว นางมองตัวอักษรตัวเบ้อเริ่มของตนเอง แล้วมองดูตัวอักษรบรรจงเล็กจิ๋วหน้าตาสะสวยของหมิงซิว หัวใจดวงน้อยๆ ถูกทำร้ายแสนสาหัส
ตัวอักษรของจีหมิงซิวแปะอยู่นกระดาษอย่างเชื่อฟัง แต่ตัวอักษรของนางเหมือนถูกฝืนบังคับจับยัดไปอยู่บนนั้น แต่ละตัวดิ้นรนอยากจะกระโดดออกมาจากกระดาษ
นางอับอายอย่างยิ่ง พลิกกระดาษกลับหลังเขียนบนแผ่นกระดาษอย่างหน้าไม่อายยิ่งนัก ‘มือข้าเจ็บอยู่ จิ่งอวิ๋นเขียนแทน’
เฉียวเวยตัดกระดาษมาอีกแผ่นจึงเขียนข้อความเมื่อครู่ได้จบ ‘จับได้ว่าข้าเลี้ยงไส้ศึกตัวน้อยไว้สามคน หัวหน้าพรรคโมโหนัก’
วิหคน้อยมีกระดาษผูกขาอยู่ข้างละใบ กระพือปีกบินจากไป
จีหมิงซิวอ่านข้อความจบ มุมปากก็ยกโค้งเล็กน้อย ดวงตาฉายประกายขบขัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลอบมอง เดิมทีอยากจะอ่านว่าแม่หนูเขียนอะไรมาให้นายน้อย นายน้อยจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ ผลปรากฏว่าเหลือบเห็นตัวอักษรที่เหมือนวาดยันต์นั่นก็ปิดตาทันที
บัดซบ อัปลักษณ์นักเชียว ตาเกือบบอด…
จีหมิงซิวยกพู่กันตอบกกลับว่า ‘น่าชังปานนั้นเชียว ต้องการให้สามีช่วยเจ้าสังหารพวกเขาหรือไม่’
สังหาร พวกท่านชนชั้นสูงช่างเห็นชีวิตคนเป็นผักหญ้า เฉียวเวยจับพู่กันตอบกลับ ‘ไม่จำเป็น หัวหน้าพรรคจะกวาดล้างสำนักเอง’
ข้อความของจีหมิงซิวตอบกลับมารวดเร็วอย่างยิ่ง ‘เจ้ายอมรับสามีแล้วสินะ’
เฉียวเวยตกตะลึง หากนางจำไม่ผิด บนกระดาษข้อความเขียนไว้ว่า ‘ต้องการให้สามีช่วยเจ้าสังหารพวกเขาหรือไม่’ สามีสามี…
เมื่อครู่เหตุไฉนนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นคำนี้!
เฉียวเวยตวัดพู่กันไวดั่งมังกรเหิน ‘ข้าไม่ทันเห็น!’
จีหมิงซิว ‘เรียกสามีสิ’
เฉียวเวยส่งเสียงชิชะกับกระดาษแผ่นนั้น “ท่านให้ข้าเรียก ข้าก็ต้องเรียกหรือ ท่านเป็นอะไรกับข้า อีกอย่างต่อให้ข้าเรียกแล้วเป็นอย่างไร ท่านได้ยินหรือ วิหคตัวนี้ของท่านอัดเสียงส่งไปหาท่านได้อย่างนั้นหรือไร”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เรียกเสียงหวานเจี๊ยบปนออดอ้อนใส่เจ้านก ‘สามี’
“อยู่นี่”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นหลังร่าง เฉียวเวยตัวแข็งทื่อในพริบตา