หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 131-2 ทำชั่วได้ชั่ว บังเอิญพบจูเอ๋อร์
บ่าวรับใช้ในเมืองหากอยากกินปลากินเนื้อทุกมื้อล่ะก็ฝันไปเถิด มื้อหนึ่งให้เนื้อติดมันเจ้าเล็กน้อยก็ไม่เลวแล้ว ไม่แน่อาจเป็นของที่นายท่านกินเหลือแล้วไม่เอาด้วยซ้ำ เพียงเรื่องอาหารการกิน เฝิงซื่อก็ตัดใจจากบนเขาไปไม่ได้แล้ว
แล้วหันมามองสำนักศึกษาก็ยังไม่เก็บเงิน ในเมืองหลวง แม้แต่สำนักศึกษาที่กระจอกที่สุดเดือนหนึ่งก็ยังเก็บค่าเล่าเรียนสามตำลึง นี่เป็นเงินก้อนใหญ่มาก หากอยู่ที่นี่ก็ประหยัดได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ เฝิงซื่อก็อยากจะลองดูสักหน
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ พวกอากุ้ยล้วนไปที่โรงงาน เฝิงซื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำ จึงถือไม่กวาดไปปัดกวาดในลานบ้าน ลานบ้านแต่เดิมก็ถูกชีเหนียงปัดกวาดจนสะอาดอยู่แล้ว แม้แต่ใบไม้ร่วงสักใบก็ไม่มี นางเพียงเสแสร้งทำท่าทางเท่านั้น แต่ทำอยู่ที่ท้ายเรือน เจ้าของคฤหาสน์ท่านนั้นย่อมมองไม่เห็น เฝิงซื่อจึงถือไม้กวาดเดินออกจากเรือนเล็ก
ด้านหน้าของโรงงานมีการขนวัตถุดิบ ดังนั้นจึงมีเศษใบหญ้าร่วงอยู่ไม่น้อย เฝิงซื่อปัดกวาดเศษใบไม้อย่างดีอกดีใจ แล้วเดินไปทางประตูคฤหาสน์ คิดจะเข้าไปกวาดสวนหน้าบ้านของเฉียวเวย
เฉียวเวยกำลังจะเข้าเมืองไปส่งสินค้าให้เถ้าแก่หรง เมื่อออกจากบ้านมาก็เห็นหญิงสูงวัยสวมเสื้อคลุมสีม่วงแก่คนหนึ่ง เดาว่าคงเป็นมารดาของปี้เอ๋อร์จึงทักว่า “ท่านป้า ที่นี่ปัดกวาดแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอก”
เฝิงซื่อเป็นเพียงบ่าวรับใช้ปลายแถวที่สุดในจวนเอินปั๋ว ไม่เคยพบคุณหนูใหญ่เฉียวผู้ถูกเลี้ยงอยู่ในห้องหอมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้จักตัวตนของเฉียวเวย แต่นางรู้สึกเลือนรางว่าฮูหยินผู้นี้หน้าตาดูมีเมตตาอยู่บ้าง นางจึงยิ้มอย่างขัดเขิน แนะนำตัวว่า “ข้าเป็นมารดาของปี้เอ๋อร์”
“ข้าทราบ” เฉียวเวยตอบ
เฝิงซื่อยิ้ม “ข้าได้ยินปี้เอ๋อร์เล่าแล้วว่าฮูหยินดูแลนางดียิ่งนัก ข้าขอขอบคุณฮูหยินแทนนาง”
รักปี้เอ๋อร์ปานนี้จริงหรือ แล้วไฉนเมื่อวานยังด่าทออยู่เลย เฉียวเวยมองนางพยายามตีสนิทอย่างขบขัน
เฝิงซื่อยิ้มแห้งกำไม้กวาดในมือ “ก่อนหน้านี้พวกเราล้วนทำงานอยู่ในเมือง ข้าเป็นผู้ดูแลร้าน ส่วนบิดาของนางเป็นพ่อบ้าน”
ผู้ดูแลร้าน พ่อบ้าน
เฉียวเวยยังคงยิ้มน้อยๆ ดุจเดิม มิพูดคำใด
“อยู่ในเมืองนานเข้า บางครั้งได้มาเยือนชนบทบ้างก็รู้สึกว่าชนบทน่าอยู่ทีเดียว” เฝิงซื่อยกยอปอปั้นตนเองไม่หยุด “เดิมที ข้ากับบิดาของนางอยากจะทำงานในจวนอีกสักหลายปี เก็บเงินสินเดิมให้นางสักหน่อย แต่นางรั้นไม่ยอมให้พวกข้าทำ จะซื้อบ้านให้พวกข้าพักผ่อนยามชรา พวกเรายังไม่ชราเสียหน่อย ไหนเลยจะปล่อยให้นางเลี้ยงดูได้ ข้าเป็นคนที่อยู่ว่างไม่ได้เป็นที่สุด บ่าวรับใช้ในจวนมีหลายร้อย ข้าเป็นคนที่ขยันขันแข็งที่สุดในนั้น หากในบ้านของฮูหยินยังมีงานอันใด อย่าเกรงใจไม่กล้าเอ่ยปาก ขอให้บอกข้าเป็นพอ”
พูดเสียเหมือนกับว่าเฉียวเวยอยากได้นักหนาเสียอย่างนั้น
เฉียวเวยหัวเราะ “ขออภัยท่านป้า ในบ้านข้าไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว หากท่านไม่ชอบอยู่ว่างจริงๆ ก็ซ่อมเสื้อผ้าให้ปี้เอ๋อร์สักสองชุดเถิด นอกจากเสื้อที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตัวนั้น เสื้อผ้าของปี้เอ๋อร์ก็ขาดหมดแล้ว”
เฝิงซื่อสะอึกนิ่งไปทันควัน
…
หลังจากสวีซื่อได้สูตรมา นางก็ใช้เส้นสายมาพบหัวหน้าชุยเป็นอย่างแรก แล้วแจ้งจุดประสงค์ของตนเองกับหัวหน้าชุย “…ท่านวางใจเถิด ไข่เยี่ยวม้าของข้าถึงจะเป็นสูตรต้นตำรับ ดีกว่าของที่ท่านซื้อจากชนบทร้อยเท่า”
สามีของสวีซื่อเป็นรองหัวหน้าสำนักหมอหลวง อยู่ต่อหน้าเจ้านายทั้งหลายในวังยังพอนับว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง หัวหน้าชุยจิบชาคำหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ใบหน้าอมยิ้มกล่าวว่า “จากที่ข้าทราบมา ไข่เยี่ยวม้านี่เหมือนจะเป็นสูตรลับเฉพาะมีเพียงเจ้าเดียว”
สวีซื่อเอ่ยสีหน้าจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นสูตรลับเฉพาะ ที่เป็นของตระกูลเรา หญิงชาวบ้านคนนั้นซื้อตัวบ่าวรับใช้ของตระกูลเราแล้วขโมยสูตรของข้าไป เมื่อสองวันก่อนข้าเพิ่งทราบข่าวก็ไล่ครอบครัวของสาวใช้กินบนเรือนขี้บนหลังคาคนนั้นออกไปทันที”
“หากกล่าวเช่นนี้ สูตรแต่เดิมเป็นของฮูหยินหรือ” หัวหน้าชุยยิ้มถาม
“ใช่แล้ว”
หัวหน้าชุยยิ้ม “ในเมื่อเป็นสูตรเดียวกัน เหตุใดของท่านจึงดีกว่านางร้อยเท่าได้เล่า”
“ข้า…” สวีซื่อชะงักครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สูตรเหมือนกัน แต่ในนั้นต้องใช้สมุนไพรบางตัวที่หาซื้อได้ยากในตลาด นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านชนบทคนหนึ่งไม่มีทางหาซื้อได้ มีแต่หอหลิงจือของพวกเราจึงจะมีกำลังทรัพย์และกำลังของเช่นนั้น”
หัวหน้าชุยเหมือนขบคิดบางสิ่ง “แต่ข้าเคยกินไข่เยี่ยวม้านั่นแล้ว รสชาติไม่เลวเลยนะ”
สวีซื่อถอนหายใจเอ่ยว่า “รสชาติไม่เลวก็จริง แต่ไม่ดีต่อร่างกาย กินนานวันเข้าจะเกิดโรคภัยตามมาแน่”
สีหน้าของหัวหน้าชุยฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าสูตรของฮูหยินได้มาจากที่ใด”
สวีซื่อยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชุยกงกงยังจำพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าได้หรือไม่”
สีหน้าของหัวหน้าชุยปรากฏความเคารพนับถือออกมาจางๆ “เจิงปั๋วกับหมอเทวดาเสิ่น ข้าย่อมจำได้ หรือว่าสูตรนี้จะ…”
สวีซื่อพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว สูตรนี้เป็นสูตรที่พี่สะใภ้ใหญ่ของข้านำติดตัวมาจากหุบเขาสมุนไพร ชุยกงกงก็ทราบว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นคนจากยุทธภพ ชาติกำเนิดไม่สูงส่ง นำสินเดิมอันมีค่าอันใดติดตัวมาไม่ได้ มีแต่ตำราแพทย์ คัมภีร์แพทย์ สูตรยาจำนวนหนึ่ง ไข่เยี่ยวม้านี่ก็เป็นอย่างหนึ่งในนั้น”
เสิ่นซื่อเป็นหมอเทวดาที่รักษาองค์รัชทายาทกับอดีตฮอองเฮาเอาไว้ได้ สูตรที่นางเหลือทิ้งไว้ย่อมดีที่สุด
หัวหน้าชุยตอนแรกไม่ค่อยเชื่อสวีซื่อนัก แต่เมื่อสวีซื่อยกเจิงปั๋วกับเสิ่นซื่อออกมาอ้าง หัวหน้าชุยก็เงียบไป
“ท่านลองคิดดู มิสู้ยกเลิกของนาง เปลี่ยนมาสั่งของตระกูลข้าเป็นอย่างไร” สวีซื่อถามอย่างหน้าไม่อาย
ยกเลิกหรือไม่ยกเลิกการซื้อของจากเฉียวซื่อเป็นเรื่องของตัวเขา ไยต้องให้คนอื่นมาชี้มือชี้ไม้สั่ง หัวหน้าชุยรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ใช้ชีวิตมาหลายปีเช่นนี้ เขามีคนที่ไม่ชอบใจมากไป แต่เขาไม่เคยปฏิเสธการคบหากับผู้อื่นเพียงเพราะตนรู้สึกไม่ชอบใจใครสักคน ต้องทราบว่าโอกาสมิได้มาพร้อมกับคนที่เจ้าชอบเสมอไป
หัวหน้าชุยอมยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าทำสัญญากับนางหนึ่งปี บอกจะตระบัดสัตย์ก็ตระบัดสัตย์เลยคงไม่ได้ แต่หากฮูหยินมีของอยู่ในมือ ข้าจะสั่งกับฮูหยินเพิ่มอีกชุดหนึ่งก็ได้”
เดิมทีก็อยากจะสั่งกับเฉียวเวยเพิ่มสักหน่อยอยู่แล้ว แต่จนปัญญาที่ฝั่งเฉียวเวยทำได้เพียงเดือนละหนึ่งหมื่น หากสั่งสินค้าที่เหมือนกันทุกประการจากที่อื่นได้ก็เป็นเรื่องดีงามที่ไม่เสียหายประการใด
สวีซื่อยิ้มหยัน ดี ตอนนี้ปล่อยให้หญิงชั่วตัวน้อยนั่นสำเริงสำราญเสียหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีนี้ นางจะรับช่วงการค้ากับวังหลวงทั้งหมด ปล่อยให้หญิงต่ำช้าคนนั้นได้กินแต่ลม!
สวีซื่อยิ้ม “ชุยกงกงต้องการเท่าใด”
หัวหน้าชุยคำนวนในใจแล้วว่า “เดือนละสองหมื่นฟอง มีหรือไม่” ส่วนหนึ่งเข้าวัง อีกส่วนหนึ่งเขาจะแบ่งออกไปขายเองข้างนอก คงเป็นรายได้ที่ไม่เลวทางหนึ่ง
สองหมื่นเท่านั้น เรียกคนมาเพิ่มสักหน่อยก็ได้แล้ว สวีซื่อตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “มีแน่นอน ยกให้ข้าจัดการเอง!”
ตอนบ่ายวันนั้นหัวหน้าชุยจึงทำสัญญากับสวีซื่อ
สวีซื่อเช่าโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองหลวงอย่างสุขสันต์ เริ่มจ้างคน ซื้อวัตถุดิบ เงินไหลออกดั่งสายน้ำ
บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงได้ไร้ลมลอดผ่าน แทบจะพร้อมกับที่สวีซื่อพบชุยกงกง เฉียวเวยก็ได้ข่าวแล้ว ข่าวเรื่องนี้สืบหาไม่ยาก อย่างไรเสียเรื่องที่ชุยกงกงสั่งสินค้ากับสวีซื่อก็ไม่ใช่เรื่องมิงามที่จะให้คนพบเห็นไม่ได้ ตอนที่มาเร่งสินค้ากับเฉียวเวยที่หรงจี้ หัวหน้าชุยเป็นผู้เอ่ยเรื่องการสั่งซื้อกับสวีซื่อขึ้นมาเอง
“โธ่ คิดไม่ถึงว่านางจะใส่ความข้าเช่นนี้” เฉียวเวยถอนหายใจอย่างเสียใจยิ่งนัก
เทียบกับแม่ม่ายจากชนบทคนหนึ่ง เห็นชัดว่าความน่าเชื่อถือของสวีซื่อมีมากกว่าอยู่เล็กน้อย ชุยกงกงยิ้มอย่างไม่แสดงทีท่าผิดปกติสักนิด “เฉียวฮูหยินวางใจเถิด ข้าไม่สนใจว่าสูตรจะมาจากผู้ใด ข้าขอเพียงสินค้าของข้าเรียบร้อยก็พอ”
เฉียวเวยได้ยินประโยคนี้ก็ทราบว่าชุยกงกงไม่เชื่อว่าสูตรเป็นของนาง เฉียวเวยไม่โกรธชุยกงกง ความจริงการที่ชุยกงกงยอมมาบอกนางอย่างเปิดเผยก็นับว่าจริงใจมากแล้ว
เฉียวเวยก็เอ่ยอย่างจริงใจเช่นเดียวกัน “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน สูตรเป็นของผู้ใด สักวันหนึ่งชุยกงกงย่อมกระจ่างเอง”
เฉียวเวยชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยอีกว่า “แต่สองหมื่นมิใช่จำนวนน้อยๆ กงกงไม่กลัวนางส่งของให้ได้ไม่ทันหรือ”
“นี่…”
เฉียวเวยค่อยๆ ถามชักนำ “ชุยกงกงต้องการสินค้ามากเช่นนี้ คงจะไม่ได้นำเข้าวังหลวงทั้งหมดสินะ คงจะมีอยู่สักหลายหีบต้องไหลเข้ามาในตลาด อายุของไข่เยี่ยวม้ามีจำกัด ท่านจะรอให้ของมาถึงมือแล้วค่อยขายไม่ได้ หากขายไม่ออกขึ้นมา ท่านคงขาดทุนครั้งใหญ่ ทางที่ดีท่านทำสัญญากับพวกเหลาสุราสองสามแห่งไว้ล่วงหน้า ให้เหลาสุราป่าวประกาศและเตรียมการไว้ก่อน”
ไข่เยี่ยวม้าได้รับความนิยมในเมืองหลวงมากยิ่งนัก ดังนั้นเริ่มแรกชุยกงกงจึงไมได้คิดถึงปัญหาเรื่องอายุการเก็บรักษา แต่หากเป็นเหมือนที่เฉียวซื่อพูดเช่นนั้นจริง เกิดขายไม่หมดก่อนวันหมดอายุ ตนเองไยไม่ขาดทุนครั้งใหญ่
เฉียวเวยเห็นสีหน้าของชุยกงกงเปลี่ยนไปแล้วก็รีบใส่ไฟเพิ่มอีก “กิจการของหรงจี้ก็ไม่ใช่ทำสำเร็จในครั้งเดียว เริ่มแรกสองวันขายไข่เยี่ยวม้าห้าสิบฟอง พอเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นวันละห้าสิบฟอง ตอนนี้เพิ่งวันละแปดสิบฟอง ชุยกงกงคิดว่าท่านไม่ต้องทำอะไรเลยก็จะขายได้ดีกว่าหรงจี้หรือ”
หากให้กล่าวความจริงชุยกงกงเชื่อว่าตลาดไข่เยี่ยวม้ามีความต้องการมาก เพียงแต่ว่าจิตใจคนเป็นสิ่งที่ประหลาดยิ่งนัก หลังจากถูกเฉียวเวยตะล่อมเช่นนี้ ในใจเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเล็กน้อย
หาช่องทางขายให้แน่นอนล่วงหน้าก่อนจะเหมาะสมกว่า แต่หากทำเช่นนี้ วันส่งของก็ต้องเคร่งครัดกว่าเดิมมาก ผู้อื่นประกาศไว้ว่าจะขายวันใดก็ต้องขายวันนั้น
แน่นอนว่าหลังจากชุยกงกงกลับเมืองหลวงจึงไปหาสวีซื่อ ทำสัญญาเพิ่มเติมกับนางอีกฉบับหนึ่ง ระบุว่าหากส่งของไม่ทันเวลาต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินจำนวนสามเท่า
“สามเท่า” เฉียวเวยยิ้มหยัน “ผู้ใดให้เจ้ามาขโมยสูตรของข้า เจ้าจงชดใช้ให้ตายไปเสียเถอะ!”
สวีซื่อยังไม่ทราบว่าตนเองก้าวเข้ามาสู่เส้นทางแห่งการต้องจ่ายเงินชดเชยอย่างมิอาจย้อนคืนได้แล้ว เพื่อเร่งผลิตสินค้า สวีซื่อลงทุนไปมหาศาล นำเงินที่ต้องเอาไปแต่งภรรยาให้บุตรชายมาใช้จนหมด
เฉียวเวยนั่งอยู่ที่หรงจี้ตลอดทั้งบ่าย ช่วยจัดการบัญชีของหลายวันนี้จนเรียบร้อย แล้วก็ไปที่ห้องครัวเล็กดูผีจิ่วที่ตนเองหมักไว้ ก่อนจะเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน
ทันใดนั้นเสียงร้องตะโกนของพ่อครัวเหอก็ดังมาจากในห้องครัว “กุ้งของข้าเล่า กุ้งของข้า! กุ้งของข้าหายไปแล้ว!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ หมุนตัวเดินไปยังห้องครัวใหญ่ “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือพ่อครัวเหอ”
พ่อครัวเหอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เมื่อครู่ข้าวางลูกชิ้นกุ้งแก้วไว้ตรงนี้ แต่พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว! เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นจริงๆ ข้าเพียงมาหาช้อนคันหนึ่งจากตู้เก็บถ้วยชามตรงนี้ พอหันกลับมากุ้งก็หายไปแล้ว”
จานว่างเปล่า สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงน้ำราดของกุ้งเล็กน้อยเท่านั้น
เสี่ยวลิ่วหัวเราะฮ่ะๆ “พ่อครัวเหอ ท่านคงไม่ได้กินเข้าไปเองกระมัง”
“ข้ากินทั้งจานในเฮือกเดียวได้หรือ! เจ้าช่างดูถูกข้าจริงๆ!” พ่อครัวเหอตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาก็หรี่ลง “เจ้าคงไม่ได้ขโมยไปใช่หรือไม่ เสี่ยวลิ่ว?”
“ข้า? ข้าจะขโมยกุ้งไปเพื่ออะไร กุ้งของท่านอร่อยสู้ของพ่อครัวไห่ไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
พ่อครัวไห่ขมวดคิ้ว “ลูกชิ้นกุ้งของข้าเมื่อวาน เจ้าเป็นคนขโมยไปหรือ”
“ลูกชิ้นกุ้งของเจ้าก็หายไปเหมือนกันหรือ” พ่อครัวเหอประหลาดใจ
พ่อครัวไห่ตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าก็วางไว้บนเตาเช่นนี้เหมือนกัน เดินไปหยิบต้นหอมสองต้นกลับมา กุ้งก็หายไปแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้ามีใครกินไปเสียอีก”
“ข้าเปล่านะ” เสี่ยวลิ่วชูสองมือขึ้น
เหยาชิงส่ายหน้า “ข้าก็เปล่า”
พ่อครัวอีกคนหนึ่งก็ตอบบ้าง “ข้าคิดว่าเป็นเอ้อร์ส่าจื่อเสียอีก”
พ่อครัวเหอตะลึง “หมายความว่าอย่างไร ของเจ้าก็…”
พ่อครัวผู้นั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว ลูกชิ้นกุ้งที่ข้าทำก็หายไปเหมือนกัน! เรื่องเกิดเมื่อวานซืน!”
ทุกคนตามหาเอ้อร์ส่าจื่อ เอ้อร์ส่าจื่อเป็นคนโง่ ทำงานใช้แรงงานหนักอยู่ในห้องครัวกับห้องเก็บฟืน แต่เอ้อร์ส่าจื่อไม่ได้มีนิสัยชั่วร้าย การขโมยของกินเช่นนี้ เขาไม่ทำ
“เถ้าแก่รอง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ทกุคนพากันมองมาหาเฉียวเวย
เฉียวเวยลูบคาง “นอกจากลูกชิ้นกุ้งแก้ว มีอาหารอย่างอื่นหายหรือไม่”
ทุกคนส่ายหน้า
เฉียวเวยเงียบไปครู่หนึ่ง “นอกจากพวกเจ้า มีผู้อื่นเข้ามาในห้องครัวอีกหรือไม่”
ทุกคนก็ส่ายหน้าอีกหน หรงจี้มักมีอาหารจานใหม่เสมอ ห้องครัวจึงเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่ต้องพูดถึงคนนอก คนงานในหรงจี้เองก็มิใช่ว่าผู้ใดอยากเข้าก็เข้ามาได้
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “ถ้าเช่นนั้นก็แปลกแล้ว ไม่ใช่พวกเจ้ากินไปเอง แล้วก็ไม่ใช่คนนอกขโมย ถ้าเช่นนั้นหายไปได้เช่นไรเล่า”
เสี่ยวลิ่วหน้าถอดสี “หรือว่าจะเป็นผี”
ทุกคนหวาดกลัวจนกอดกันเป็นก้อนกลม
เฉียวเวยมองรอบๆ ขบคิดอยู่พักหนึ่งก็หรี่ตาลง “พวกเจ้าออกไปก่อน แล้วปิดประตูไว้ หน้าต่างก็ปิดให้สนิท หากข้าไม่ได้สั่งห้ามเข้ามา”
ทุกคนคิดว่านางจะจับผี จึงเผ่นออกไปราวกับเท้าเหยียบสายลม
เฉียวเวยเปิดตู้ถ้วยชามก่อน แล้วจึงคุ้ยกองฟืน หลังจากนั้นจึงเปิดโถข้าวสาร แต่ไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น “ข้าเห็นเจ้าแล้ว รีบออกมาเสีย หากเจ้ายอมสำนึกผิดกลับตัวกลับใจ นายหญิงคนนี้จะละเว้นชีวิตเจ้า”
เงียบกริบ
เฉียวเวยจับกุ้งสองสามตัวออกมาจากตะกร้า แกะเปลือกลอกขี้กุ้ง ผสมพริกหยวกปรุงลูกชิ้นกุ้งจานหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแสร้งทำเป็นว่าเดินไปหาตะเกียบที่ตู้เก็บถ้วยชาม
บนคานของห้อง เงาร่างเล็กจ้อยสีดำสนิทร่างหนึ่งห้อยตัวกลับหัวอยู่บนแถบผ้า ไต่ลงมาอย่างเงียบเชียบ มือน้อยข้างหนึ่งถือถุงใบหนึ่ง ส่วนมือน้อยอีกข้างหนึ่งคว้าที่จาน ตอนที่กำลังเทลูกชิ้นกุ้งในจานเข้าไปในถุงนั่นเอง เฉียวเวยก็หมุนตัวกลับมาอย่างฉับพลันแล้วคว้าไปที่มือข้างนั้น!
มือข้างนั้นหดกลับอย่างรวดเร็ว เฉียวเวยคว้าได้แต่ถุงผ้าใบหนึ่ง
ว่องไวนักเชียว!
เฉียวเวยแววตาคมปลาบ คว้ากระจาดใบหนึ่งครอบลงไปหาอีกฝ่าย
เงาร่างเล็กจ้อยกระโดดอย่างปราดเปรียว หลบอุ้งมือมารของเฉียวเวยจนพ้น หลังจากนั้นเงาร่างเล็กจ้อยก็เปิดประตูใหญ่ เผ่นแผล็วออกไปอย่างว่องไว
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทุกคนเห็นแต่เงาดำเงาหนึ่งพุ่งผ่านไป คิดว่าเห็นผีกลางวันแสกๆ ทุกคนจึงกรีดร้องอย่างหวาดผวา
เฉียวเวยไล่ตามเงานั้นไป
เงาดำเล็กจ้อยปีนขึ้นหลังคาแล้วไต่กำแพง
แต่เฉียวเวยรู้จักสถานที่ดีกว่า แม้นางจะปีนหลังคาไม่ได้ แต่นางวิ่งทะลุตรอกได้
เฉียวเวยไล่ตามไปอย่างเงียบเชียบ เลี้ยวซ้ายอ้อมขวา ในที่สุดก็จับหัวขโมยกุ้งได้ที่หน้าเรือนผุพังหลังหนึ่ง
“เจี๊ยก เจี๊ยก!” จูเอ๋อร์กรีดร้อง