หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 134-1 หมอพเนจรฟื้นตื่น (ปลาย)
วั่งซูวิ่งตามไปเรื่อยๆ เผลอครู่เดียวก็ออกมาจากหรงจี้ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ล้วนเป็นเจ้าตัวจ้อยผู้ปราดเปรียว พวกมันสลัดวั่งซูทิ้งไว้ด้านหลังไกลนัก ยังดีที่หรงจี้อยู่ห่างจากพรรคชิงหลงไม่มากเท่าไร อีกทั้งทางยังเป็นเส้นตรง เลี้ยวหนหนึ่ง เดินตรงไปต่อก็ถึงแล้ว
จูเอ๋อร์ผลุบเข้าไปในเรือน
พี่น้องของพรรคชิงหลงกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เห็นเจ้าลิงน้อยเข้ามาก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ผู้ใดจะคิดว่าจู่ๆ สุนัขตัวน้อยสีขาวตัวหนึ่งจะตามเข้ามาด้วย
เหตุใดรู้สึกว่าสุนัขน้อยสีขาวตัวนี้ดูคุ้นตาอยู่นิดๆ
ไม่นานก็มีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอีก
ครานี้ยิ่งคุ้นตากว่าเดิมอีก!
จูเอ๋อร์กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหมอพเนจร
หมอพเนจรตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าวันนี้ ไข้สูงลดลงแล้ว ยามนี้เพียงอ่อนแรงอยู่บ้างเท่านั้น แต่คนสติแจ่มชัด เมื่อเห็นจูเอ๋อร์หวาดกลัวกระโดดเข้ามาในอ้อมแขน เขาก็กอดปลอบจูเอ๋อร์ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
จูเอ๋อร์ร้องเจี๊ยกๆ พลางดึงแขนเสื้อเขา ร่างกายเล็กจ้อยมุดเข้าไปทั้งตัว เหลือเพียงหางน้อยๆ สีดำสนิทเส้นหนึ่งห้อยอยู่ด้านนอก ไม่นานจูเอ๋อร์ก็เก็บหางน้อยๆ เข้าไปด้วย
เสี่ยวไป๋แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งเข้ามาด้านใน แต่กลับถูกวั่งซูที่ไล่ตามมาทันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตะครุบไว้กับพื้น
วั่งซูไม่ได้ตั้งใจตีมัน นางจะจับมันไว้เท่านั้น แต่เสี่ยวไป๋กลับรู้สึกราวกับตนเองถูกเขาไท่ซานทับ กระดูกทั่วร่างประหนึ่งจะแหลกสลาย…
วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมา “เสี่ยวไป๋ อย่ารังแกเจ้าลิงน้อยสิ เข้าใจหรือไม่” แล้วนางก็หันไปมองบุรุษที่นั่งอยู่บนเตียง หมอพเนจรไม่ได้โกนหนวดเครามาหลายวันจึงดูแก่ชรา แต่เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา แตกต่างจากชาวบ้านทั้งหลายที่วั่งซูพบเจอในหมู่บ้าน วั่งซูจึงละเว้นคำเรียกขานว่าท่านปู่อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดอย่างมีมารยาทอย่างยิ่งว่า “ท่านลุง ท่านเห็นเจ้าลิงหรือไม่เจ้าคะ”
หมอพเนจรมองเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ตาไม่กะพริบ
“ท่านลุง ท่านเห็นเจ้าลิงหรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูถามอีกหน
“เห็น” หมอพเนจรตอบโดยที่ท่าทางยังนิ่งอึ้ง
“อยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” วั่งซูถามเสียงนุ่มนิ่ม
หางของจูเอ๋อร์ร่วงออกมาจากแขนเสื้อของหมอพเนจรเพราะไม่ทันระวัง
วั่งซูดวงตาเป็นประกาย “อยู่นี่เอง! ท่านลุง เจ้าลิงเป็นของท่านหรือเจ้าคะ”
หมอพเนจรไม่ตอบ เอาแต่จ้องวั่งซูด้วยนิ่ง แววตาเลื่อนลอย
วั่งซูเดินมาตรงหน้าเขา “ท่านลุง ข้าเล่นกับเจ้าลิงของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไม่รังแกมัน เสี่ยวไป๋ก็ด้วย”
“ยัยหนู” ทันใดนั้นหมอพเนจรก็เอ่ยปาก
วั่งซูร้องเอ๋คำหนึ่งแล้วกะพริบตามองหมอพเนจร “ท่านลุง ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
หมอพเนจรเรียกอีกหน “ยัยหนู”
วั่งซูเอียงศีรษะ “ข้าไม่ได้ชื่อยัยหนูนะเจ้าคะ ข้าชื่อวั่งซู!”
หมอพเนจรยิ้มแล้วว่า “วั่งซู พวกเขาตั้งชื่อให้เจ้าหรือ ไพเราะจริง”
วั่งซูขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างประหลาดใจ เหตุใดรู้สึกว่าท่านลุงคนนี้แปลกๆ
“ท่านลุง ท่านรู้จักข้าหรือเจ้าคะ”
หมอพเนจรกวักมือเรียกวั่งซู
วั่งซูเดินมาตรงหน้าหมอพเนจร หมอพเนจรยกมือลูบศีรษะน้อยของวั่งซู “เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ข้าคือบิดาของเจ้า”
ดวงตาของวั่งซูเบิกจนกลมในพริบตา “ท่านคือท่านพ่อหรือเจ้าคะ ท่านคือท่านพ่อหรือ”
หมอพเนจรพยักหน้าอย่างเบิกบานใจ “ใช่ ข้าเอง”
“ใช่ที่ไหนเล่า”
เฉียวเวยเดินเข้าประตูมาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือก
วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ถลาเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย “ท่านแม่!”
เฉียวเวยจ้องนางเขม็ง แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้ารับปากแม่แล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่วิ่งส่งเดช”
วั่งซูยิ้มแหย “โธ่ ก็…ก็เสี่ยวไป๋วิ่งไล่เจ้าลิง ข้ากลัวเสี่ยวไป๋กับเจ้าลิงหายไปจึงมาตามหาพวกมัน ข้าหาเสี่ยวไป๋พบแล้ว ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ!”
พูดจบก็ไม่ลืมชูเสี่ยวไป๋ให้เฉียวเวยดู แล้วชี้หมอพเนจรที่อยู่บนเตียง “แล้วก็ข้าหาท่านพ่อพบแล้วด้วย!”
เฉียวเวยเคาะหน้าผากของนาง “ผู้อื่นบอกว่าเป็นพ่อเจ้าก็เป็นพ่อเจ้าแล้วหรือ คนที่อยากแอบอ้างเป็นพ่อเจ้าเรียงแถวตั้งแต่หรงจี้ไปจรดเมืองหลวง หากเจ้ายอมรับทุกคนเป็นพ่อ แม่คงเลี้ยงไม่ไหว”
อ้อ ท่านพ่อต้องให้ท่านแม่เลี้ยงหรอกหรือ วั่งซูได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับท่านพ่อมาหนึ่งอย่าง
ตอนแรกเฉียวเวยมีความประทับใจที่ดีต่อหมอผู้นี้ แต่เขากลับกล้ามาแอบอ้างเป็นบิดาของลูกนาง หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ นางมิสู้ปล่อยเขาเผชิญเคราะห์รรมของตัวเองอยู่ในเรือนผุพังหลังนั้นดีกว่า
เฉียวเวยมองหมอพเนจรแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านฟังข้าให้ชัด อย่าคิดว่าข้าช่วยท่านแล้วท่านจะกำเริบเสิบสานได้ หากกล้าแอบอ้างเป็นพ่อของลูกข้าอีก อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจท่าน!”
ทันใดนั้นหมอพเนจรก็เอ่ยว่า “ข้าเคยพบเจ้า”
เฉียวเวยหัวเราะ “พวกที่มาตีสนิททล้วนพูดเช่นนี้ทั้งนั้น!”
หมอพเนจรถามอย่างมึนงง “พี่ชายเจ้ากำลังตามหาเจ้าอยู่ เขาหาเจ้าพบแล้วหรือยัง”
เฉียวเวยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ดีมาก ตอนนี้ข้ามีพี่ชายเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
หมอพเนจรกะพริบตามองเฉียวเวย “พี่ชายเจ้าบอกว่าพลัดพรากกับเจ้ามาหลายปีแล้ว ตามหาเจ้ามาตลอด”
เฉียวเวยยิ้มพลางลูบปอยผม “ท่าน…ลุงผู้นี้ ท่านอยากตีสนิทก็ช่วยหาข้ออ้างที่มันดีกว่านี้หน่อยเถิด บิดามารดาข้าตายไปนานแล้ว แล้วข้าก็ไม่มีพี่ชาย มีแต่น้องสาวน้องชายในตระกูลที่ไม่สนิทกันอยู่สองสามคน แต่ข้ากับพวกเขาไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกัน ข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว หากข้ามีพี่ชายสักคนจริง ถ้าเช่นนั้นตอนข้าถูกขับไล่จากตระกูล พี่ชายข้าอยู่ที่ใดเล่า”
หมอพเนจรฉงนงงงวย “แต่เขาบอกข้าว่าเขาคือพี่ชายของเจ้า เขาหลอกข้าหรือ”
เพราะเจอคนมานับญาติด้วยมากเกินไป มีทั้งจริงแล้วก็มีทั้งปลอม เฉียวเวยจึงเฉยชาอย่างยิ่งเสียแล้ว “ท่านอยากเล่นละครก็กลับไปเล่นละคร ข้าไม่ตกหลุมพรางของท่าน”
สมองของหมอพเนจรสับสนเล็กน้อย ภาพหลายภาพปรากฏแวบไปแวบมา เขาอยากจะคว้าจับไว้แต่ก็จับไว้ไม่อยู่
เฉียวเวยจูงมือวั่งซู “พวกเราไป”
วั่งซูเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสา “เขาไม่ใช่ท่านพ่อของข้าจริงหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยตอบอย่างอดทน “แน่นอนว่าไม่ใช่ ท่านพ่อของเจ้าเพิ่งอายุยี่สิบกว่าปี แต่เจ้าดูเขาสิ อายุเท่ากับท่านตาหลัวของเจ้าแล้ว”
ท่านตาหลัวอายุน้อยเท่านี้ หน้าตาดีเท่านี้ด้วยหรือ วั่งซูสับสน
เฉียวเวยบอกตรงๆ “มารดาของเจ้าหน้าตางดงามเช่นนี้ มีคนมากมายเดินทางมาแอบอ้างว่าเป็นบิดาของพวกเจ้า เจ้าอย่าพบผู้ใดก็พากลับบ้านไปเสียหมด จะถูกหลอกเอาเข้าใจหรือไม่”
“อ้อ” วั่งซูเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
เฉียวเวยจูงนางหันหลังกลับเดินออกไปด้านนอก
หมอพเนจรก้าวพรวดเข้ามาหา “เจ้าอย่าพาลูกสาวข้าไป!”
เฉียวเวยหน้าถมึงทึง “ลูกสาวที่ข้าอุ้มท้องสิบเดือนคลอดออกมาเหตุใดกลายเป็นลูกของท่านไปได้ ข้าขอล่ะ ท่านตั้งสติหน่อย คิดจะแอบอ้างเป็นบิดาของเด็กก็ดูหนังหน้าของตัวเองด้วย ท่านอายุปูนนี้แล้ว เป็นบิดาของลูกสาวข้าได้หรือ”
“ข้า…”
หมอพเนจรพูดคำว่าข้าออกมาแล้วก็เงียบไปนาน พูดไม่จบประโยค
เฉียวเวยกล่าวอีกว่า “ท่านอาจอยากจะหาภรรยาอายุน้อยสักคน แต่ข้าไม่สนใจบุรุษชราคนหนึ่งหรอกนะ!”
“เจ้า เจ้า…เจ้าไม่ใช่ชิงเหยา เจ้าไม่ใช่ชิงเหยา เจ้าไม่ใช่ ชิงเหยางดงาม เจ้า เจ้า เจ้าไม่ใช่…ข้าไม่ได้มีคนอื่น ชิงเหยาเจ้าอย่าฟังนาง นางพูดจาเหลวไหล…” หมอพเนจรเริ่มพูดจาสับสน
เฉียวเวยสีหน้านิ่งขรึมเอ่ยว่า “ชิงเหยา หงเหยาอะไรก็ช่าง ข้าฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าท่านกำลังพูดอะไร ข้าจะแนะนำท่านสักประโยค อายุปูนนี้แล้วก็อย่าออกมาเร่หลอกลวงผู้อื่นอีกเลย ตอนแรกเห็นว่าท่านสะพายตะกร้าสมุนไพร คิดว่าท่านเป็นหมอ เป็นคนดีถึงช่วยท่านมา แต่ในเมื่อข้าช่วยท่านได้ ก็ฆ่าท่านได้เหมือนกัน ดังนั้นรู้จักสถานการณ์หน่อย อย่าหมายตาลูกสาวข้าอีก!”
เฉียวเวยพูดไปยาวเฟื้อย หมอพเนจรกลับจับใจความได้เพียงคำว่า ‘อายุปูนนี้’ หมอเทวดาเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าเพิ่งอายุยี่สิบห้า…”
ยี่สิบห้าหรือ เฉียวเวยเกือบจะหัวเราะแล้ว เห็นนางตาบอดหรือเห็นนางโง่ คนอายุสี่สิบกว่าแล้วยังกล้าโกหกว่าตนเองอายุยี่สิบห้า ต่อให้หน้าตาหล่อเหลาก็โกงอายุถึงขั้นนั้นไม่ได้หรอกนะ
“ไม่ถูกสิ ข้าอายุสี่สิบแล้ว” หมอพเนจรเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ไม่ถูก ข้าอายุยี่สิบห้า ข้าอายุสี่สิบ อายุยี่สิบห้า สี่สิบ ยี่สิบห้า…ข้าอายุเท่าใดกันแน่…”
เขางึมงำไม่หยุด สีหน้าวิปลาสปรากฏออกมาเล็กน้อย
เฉียวเวยเริ่มมองเห็นความผิดปกติ จึงยกมือขึ้นโบกตรงหน้าเขา แต่เขากลับไม่สังเกตสักนิด เอาแต่ก้มหน้างึมงำอายุของตนเอง
เฉียวเวยเข้าใจโดยพลัน ที่แท้ไม่ใช่พวกต้มตุ๋น แต่เป็นคนบ้า เอาเถิดๆ เห็นแก่ที่เขาสติไม่ค่อยดี จะไม่ถือสาหาความกับเขา รอเขาหายดีแล้วค่อยให้ต้าเตาพาเขาไปส่ง
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูเดินออกจากพรรคชิงหลง
เรื่องในวันนี้พอใคร่ครวญดูแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก โชคดีที่เป็นคนบ้าที่ค่อนข้างปกติคนหนึ่ง หากบังเอิญเจอกับพวกที่ตีคน ฆ่าคน ไยมิใช่ลูกสาวคงพบอันตรายไปแล้ว
“วั่งซู ปกติแม่สอนพวกเจ้าว่าอย่างไร” เฉียวเวยถามเสียงเข้ม
วั่งซูก้มหน้า “อย่าวิ่งมั่วซั่ว”
“แล้วอย่างไรอีก” น้ำเสียงของเฉียวเวยเข้มขึ้นอีกประมาณหนึ่ง
วั่งซูเอ่ยเสียงเบา “อย่าคุยกับคนแปลกหน้า”
เฉียวเวยลากเสียง “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าวิ่งมั่วหรือไม่”
วั่งซูพยักหน้า
“คุยกับคนแปลกหน้าหรือไม่”
วั่งซูพยักหน้าอีก
เฉียวเวยหน้าเคร่งขรึม “”สำนึกผิดแล้วหรือยัง”
วั่งซูคลายมือออกแล้วพูดว่า “แต่ แต่ข้าดูหน้าตาเขาเหมือนไม่ใช่คนเลวนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยหน้าบึ้ง “คนเลวไม่ได้มีคำว่าข้าเป็นคนเลวแปะอยู่บนหน้าเสียหน่อย เจ้าดูสิ อาหลี่เหมือนคนเลวหรือไม่ อาสวี่เหมือนคนเลวหรือไม่”
วั่งซูเกาศีรษะเล็กๆ ของนาง “อาหลี่คือผู้ใดเจ้าคะ แล้วอาสวี่คือผู้ใดหรือเจ้าคะ”
ช่างเถิด เจ้าตัวจ้อยคนนี้จำไม่ได้เสียแล้ว
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูกลับหรงจี้ คนของหรงจี้ต่างพรูลมหายใจ เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเร็วเกินไปแล้ว ตอนจิ่งอวิ๋นตะโกนเรียกให้หาคน พวกเขาก็พุ่งออกมาทันที แต่น่าเสียดายหาเงาคนไม่พบเสียแล้ว ยังดีมารดาของนางมีหนทางตามหาจนเจอ
“หลังจากนี้หากไม่เชื่อฟังอีก แม่จะตีก้นน้อยๆ ของเจ้า” เฉียวเวยวางลูกสาวบนเก้าอี้ในห้อง “แล้วก็เจ้า”
เฉียวเวยมองเสี่ยวไป๋ “ลิงตัวหนึ่งมีอะไรให้น่าไล่ตาม เจ้าจะตามก็ตามเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าสิ เจ้ามีอะไรกับเจ้าลิงน้อยอัปลักษณ์ตัวนั้นไปก็ไม่มีเด็กเกิดออกมาหรอกนะ”
เสี่ยวไป๋กระอักเลือด
…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสี่ยวลิ่วเคาะประตู “พี่เฉียว มีคนมาหาท่าน”
“ผู้ใด” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวลิ่วตอบว่า “ฮูหยินที่อายุน้อยแล้วก็งดงามมากคนหนึ่ง นางบอกว่ารู้จักท่าน นางอยู่ห้องส่วนตัวด้านข้าง เชิญท่านให้ไปหาสักหน”
ฮูหยินอายุน้อยหน้าตางดงามที่รู้จักนาง เฉียวเวยพอเดาได้แล้วว่าผู้ใด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเข้ามา ช่วยข้าดูเด็กๆ หน่อย”
“ขอรับ”
เสี่ยวลิ่วเข้าห้องมาดูจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เฉียวเวยลุกขึ้นเดินไปยังห้องด้านข้างแล้วก็พบจีหว่านผู้สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อนจริงๆ ไม่ผิดจากที่เดา
จีหว่านทำผมทรงที่ธรรมดาที่สุด ทั้งยังไม่ได้ติดเครื่องประดับศีรษะมากมาย เพียงปักปิ่นปะการังหยกอำพันเล่มหนึ่งเท่านั้น นางแต่งตัวเรียบง่ายแต่กลับสง่างาม ประทินโฉมบางๆ ทว่างดงามจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้
“ซื่อจื่อฮูหยิน” เฉียวเวยกล่าวทักทาย
จีหว่านเหล่มองนาง “ปิดประตูเสีย”
เฉียวเวยปิดประตู แล้วแย้มรอยยิ้มการค้ากล่าวว่า “ลมอันใดหอบซื่อจื่อฮูหยินมาเจ้าคะ มาทานอาหารหรือมาซื้อไข่เยี่ยวม้าเล่า”
จีหว่านวางพัดที่เล่นอยู่ในมือลง “ไม่ใช่ทั้งสองข้อ ข้ามาหาเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มละไม นั่งลงประจันหน้ากับนาง “มาหาข้าด้วยเรื่องใด”
จีหว่านยิ้มอย่างเอาแต่ใจ “วันเกิดรัชทายาทวันนั้น ข้าบังเอิญเป็นหวัดจึงไม่ได้ร่วมงานเลี้ยง ได้ยินคนเล่าว่าเจ้ารักษาองค์รัชทายาท ไม่รู้ว่าจริงหรือลวง”
หากจีหว่านไม่เอ่ยถึง เฉียวเวยก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว นางรักษาองค์รัชทายาทจริง แต่สำหรับคนเป็นหมอแล้ว นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย รัชทายาทไม่เก็บมาใส่พระทัย นางยิ่งไม่เก็บ ต่อมาไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงอีก ของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นาง นางก็มักจะลืมว่าเหตุใดจึงพระราชทานมาให้
พูดตามตรงแล้วในใจนางไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การสรรเสริญเชิดชู นางมองรัชทายาทเหมือนคนป่วยนับร้อยนับพันที่เคยช่วยรักษาเมื่อชาติก่อน ยามนี้ให้นางบอกว่านางเคยรักษาผู้ใดมาบ้าง นางก็นับไม่ถูกแล้วจริงๆ
ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จีหว่านจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ “มีเรื่องเช่นนั้นจริง”
จีหว่านแววตาวูบไหว สะบัดมือคลี่พัด “กล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้ารู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”
เฉียวเวยมองนางนิ่งๆ “ถามเรื่องวิชาแพทย์กับข้าด้วยเหตุใด ท่านไม่สบายหรือ”
จีหว่านกลอกตาใส่นาง แล้วหุบพัด “ข้าดูเหมือนคนป่วยไข้หรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดท่านถามถึงวิชาแพทย์ของข้าเล่า”
จีหว่านแววตาวูบไหวเล็กน้อยแล้วว่า “ญาติฝั่งบ้านมารดาของข้าคนหนึ่ง ร่างกายมีปัญหาเล็กน้อย หาหมอมามากมายก็รักษาไม่หาย”
“ปัญหาประการใด” เฉียวเวยถาม
จีหว่านลูบพัด “มีลูกไม่ได้”
เฉียวเวยลูบคาง “ภาวะมีบุตรยากหรือ”
ใบหน้าของจีหว่านปรากฏสีหน้ากระดากอายวูบหนึ่ง “อืม”
“นานเท่าใดแล้ว” เฉียวเวยถาม
จีหว่านตอบเสียงเบา “แต่งงานมาแปดปีแล้ว”
เฉียวเวยมองมาหานาง “ไม่เคยตั้งครรภ์เลยหรือ”
จีหว่านหลบสายตาของนาง วนนิ้วตอบว่า “เคยตั้งครรภ์สองหน”
เฉียวเวยลังเลครู่หนึ่ง “สิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนกำหนดทั้งสองหนเลยหรือ”
“สิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนกำหนด?” จีหว่านมองเฉียวเวยอย่างไม่เข้าใจ เฉียวเวยจึงอธิบาย “ก็คือที่พวกท่านฝั่งนี้เรียกว่าแท้ง”
“อืม” จีหว่านหลุบตาลงอย่างเศร้าสร้อย
เฉียวเวยคอยสังเกตสีหน้าของจีหว่านระหว่างทุกประโยคที่ถาม หากจนถึงตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าญาติฝั่งตระกูลมารดาที่จีหว่านเอ่ยถึงก็คือตัวจีหว่านเองย่อมไม่ได้เรื่องเกินไปหน่อยแล้ว จีหว่านดูแล้วอายุยังน้อย คิดไม่ถึงว่าจะแต่งงานมาแล้วแปดปี ทั้งในแปดปียังแท้งไปสองหน จนบัดนี้ก็ยังให้กำเนิดลูกของตนเองออกมาไม่ได้
คิดดูแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน
เฉียวเวยผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนโยนขึ้น “มิใช่ว่าข้าไม่ต้องการช่วยท่าน แต่การแพทย์ยุคนี้มีเงื่อนไขจำกัดจริงๆ ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอตรวจร่างกายของสตรีอย่างเต็มที่ วิชาแพทย์แผนจีนของข้าก็รู้เพียงงูๆ ปลาๆ ดูโรคหวัดอะไรยังพอไหว แต่ภาวะมีบุตรยากที่ซับซ้อนเช่นนี้ ข้าไม่มั่นใจจริงๆ”
จีหว่านโมโหแล้ว “ในเมื่อเจ้าไม่มั่นใจแล้วจะถามมากมายเช่นนั้นไปทำอะไร”