หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 137-2 หายดี (ปลาย)
เฉียวเวยตอบรับอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ปี้เอ๋อร์ถือตั๋วเงินพาบิดามารดากับน้องชายลงจากเขา
หมอพเนจรไปไปต้มยาที่ห้องครัว แล้วยกมาป้อนเฉียวเวย รอยยิ้มในดวงตาที่ไม่ยอมหายไปสักทีนั่น ทำให้เฉียวเวยเห็นแล้วขนหัวลุก
เฉียวเวยหันหลังหนี คว้าองุ่นพวงหนึ่งขึ้นมาเด็ดกินทีละลูก
จูเอ๋อร์กระโดดขึ้นมาบนเตียง ยื่นมือน้อยสีดำอันงดงามออกมา หมายจะเด็ดองุ่นบ้าง แต่กลับถูกฝ่ามือของเฉียวเวยปัดออก
ใบหน้าของจูเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวด น้อยเนื้อต่ำใจ หวาดกลัว โกรธเกรี้ยวแล้วก็ไม่ยินยอมอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็หย่อนก้นนั่งบนฟูก หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่าฉกมาจากที่ใดออกมา ‘ร่ำไห้’ สะอึกสะอื้น
ทักษะการแสดงอันเลิศล้ำนี้ทำเอาชีเหนียงที่มองดูอยู่หัวใจจะสลาย
น่าเสียดายเฉียวเวยไม่ตกหลุมพราง นิ้วมือสองนิ้วคีบจูเอ๋อร์ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ปล่อย
ตุ้บ!
จูเอ๋อร์ร่วงลงบนพื้น
หมอพเนจรเอ่ยประจบ “ยัยหนู ข้าป้อนยาเจ้านะ”
“ผู้ใดจะให้ท่านป้อน” เฉียวเวยฉวยถ้วยยามาแล้วแหงนหน้าดื่มอึกๆ ลงคอ หนังตาไม่แม้แต่จะกะพริบสักปริบ
หมอพเนจรเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงงึมงำอย่างงุนงง “ตอนเจ้ายังเล็ก เกลียดการดื่มยาที่สุด”
เฉียวเวยหัวเราะ “ห้าขวบข้าก็ไร้บิดามารดา ไม่มีผู้ใดรัก ไม่มีผู้ใดเอาใจ ไม่เรียนรู้ที่จะดื่มยาให้เป็นได้หรือ”
หมอพเนจรละอายใจ
ในฐานะบิดาคนหนึ่งหมอพเนจรทำได้ผ่านมาตรฐานหรือไม่ยังไม่พูดถึง แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง เขาได้คะแนนเต็มอย่างแน่นอน เฉียวเวยดื่มยาสามหน ไข้ก็ลดลงจนหมดและไม่กำเริบอีก ตุ่มผุดขึ้นมาจนทั่วร่าง แต่เพราะยาทาที่หมอพเนจรผสมให้จึงไม่รู้สึกคันมากเกินไปนัก
เจี๊ยบน้อยที่เคืองแค้น ไม่พอใจมากๆ!
อีกด้านหนึ่ง องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ที่ถูกโรคอีสุกอีใสทำร้ายอยู่เช่นเดียวกันกลับไม่โชคดีเช่นนี้
เมื่อยาที่ผสมน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ลงไปถึงท้อง องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ก็ประหนึ่งถูกคนให้กินสลอดร้อยกว่าชั่ง วิ่งเข้าห้องส้วมอย่างบ้าคลั่ง เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า จนดอกเบญจมาศเจ็บแสบ ต่อจากนั้นก็เริ่มอาเจียนไม่หยุด ทั้งลงทั้งราก ทรมานอยู่ตลอดทั้งคืน จวบจนรุ่งเช้า ชีวิตครึ่งหนึ่งขององค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ก็ปลิวเข้าไปในวังพญายม
องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ลมหายใจออกมีมากกว่าลมหายใจเข้า
ทูตจากเผ่าซยงหนีว์ทั้งหลายล้วนโกรธจัด บนทุ่งหญ้าเผ่าซยงหนีว์ของพวกเขาไม่มีโรคเช่นนี้ มีก็แต่ในจงหยวนดินแดนที่ดีแต่เปลือกแห่งนี้ คนมาก วิหคมาก โรคภัยมาก องค์ชายรองของพวกเขาติดโรคนี้ ล้วนเป็นความผิดของต้าเหลียงทั้งสิ้น
หากองค์ชายของพวกเราโชคร้ายจากไปเพราะโรคภัยจริง ต้าเหลียงก็รอคอยเพลิงโทสะของเผ่าซยงหนีว์เถิด!
สงครามอันไร้เหตุผลอาจจุดติดยาก แต่หาก ‘รักษา’ องค์ชายของผู้อื่นจนตาย ทั้งแว่นแคว้นโศกสลด ไพร่พลฮึกเหิม กองทหารเช่นนั้นย่อมบุกทลายได้ทุกทิศ
ต้าเหลียงยืนไม่ติดแล้ว
ฮ่องเต้กังวลจนปวดหทัย เรียกสำนักหมอหลวงไร้ประโยชน์กลุ่มนั้นมาด่ายกใหญ่ “…พวกเจ้าบอกข้าไม่ใช่หรือว่ารักษาหายดีได้แน่ ดูองค์ชายรองสิถูกพวกเจ้ารักษาจนกลายเป็นเช่นไรแล้ว นี่คือวิชาแพทย์ที่สำนักหมอหลวงของพวกเจ้าภาคภูมิใจหรือ แม้แต่อีสุกอีใสก็จัดการไม่ได้ สู้หมอพเนจรในยุทธภพยังไม่ได้เลย!”
หมอหลวงทั้งหลายต่างก้มหน้า สูตรนี้ไม่ใช่สูตรที่พวกเขาคิดขึ้นมาเสียหน่อย เหตุใดจึงโยนบาปมาให้พวกเขาเล่า
รองหัวหน้าสำนักเฉียว เจ้าพูดสักคำสิ สูตรเป็นของเจ้านะ
หัวหน้าสำนักหมอหลวง ท่านก็พูดสักคำสิ สูตรยาลับมากมายเช่นนั้น ท่านเลือกแต่ของรองหัวหน้าสำนักเฉียว
เจ้าสองคนนี้ถึงจะเป็นตัวการใหญ่
เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเล่า
หัวหน้าสำนักหมอหลวงหน้าซีดเล็กน้อย แต่สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ยากจะเอ่ยปาก เขาฝืนมองไปทางรองหัวหน้าสำนักเฉียว แล้วโยนความผิดไปให้ทั้งหมด “รองหัวหน้าสำนักเฉียว เมื่อวานท่านรับประกันกับข้าว่าอย่างไร บอกว่าสูตรยาฤทธิ์แรงสูตรนี้รักษาโรคขององค์ชายรองได้ แต่เจ้าดูสิเจ้ารักษาจนกลายเป็นอย่างไรแล้ว”
สีหน้าของเฉียวเย่ว์ซานซีดยิ่งกว่าหัวหน้าสำนักเสียอีก สาเหตุก็อธิบายไม่ได้เช่นเดียวกัน เขาประสานมือตอบว่า “ใต้เท้าหัวหน้าสำนัก สูตรของข้าไม่มีปัญหาจริงๆ นะขอรับ!”
หัวน้าสำนักหมอหลวงสวนเสียงเข้ม “ในเมื่อไม่มีปัญหา แล้วเหตุใดรักษาโรคขององค์ชายรองไม่ได้เล่า”
สาเหตุที่เฉียวเย่ว์ซานนั่งอยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงได้ นอกจากมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ความจริงเขาก็มีความสามารถอยู่บ้าง เขามองสีหน้าซีดเผือดของใต้เท้าหัวหน้าสำนักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอบังอาจถามใต้เท้าหัวหน้าสำนักสักคำ เมื่อคืนวานใต้เท้าท้องเสียหรือไม่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ใต้เท้าหัวหน้าสำนักกล่าวจบ ก็นึกขึ้นได้ว่าฮ่องแต้และองค์ชายทั้งหลายล้วนอยู่ด้วย จึงกระแอมอย่างกระดากอาย
เฉียวเย่ว์ซานจึงว่า “ไม่ปิดบังใต้เท้าหัวหน้าสำนัก เมื่อคืนวานข้าก็ท้องเสียอยู่นานเช่นเดียวกัน”
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับโรคขององค์ชายรอง” หัวหน้าสำนักหมอหลวงรู้สึกว่าเฉียวเย่ว์ซานคงไม่เอ่ยถึงอาการท้องเสียของพวกเขาสองคนขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ อย่างไรเสียการท้องเสียก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิอันใด
เฉียวเย่ว์ซานมองไปทางฮ่องเต้ แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น “เมื่อคืนวานผู้ที่มีอาการท้องเสียมิได้มีเพียงองค์ชายรองคนเดียว แต่ยังมีหัวหน้าสำนักหมอหลวงกับข้าด้วย นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่พวกเราล้วนกินของอย่างเดียวกันเข้าไป”
ทั้งสามคนไม่เคยร่วมโต๊ะอาหาร ของที่เหมือนกันนี้ คิดว่าคงมีแต่น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ขวดนั้นของยิ่นอ๋อง
ใบหน้าของทุกคนปรากฏสีหน้าซับซ้อนออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เฉียวเย่ว์ซานเอ่ยต่อ “ข้ากับใต้เท้าหัวหน้าสำนักชิมไปเพียงคำเล็กๆ ก็ท้องเสียไม่หยุด องค์ชายรองดื่มไปครึ่งถ้วยย่อมเป็นหนักกว่าแล้ว”
แววตาของยิ่นอ๋องเย็นยะเยือกทันที “รองหัวหน้าสำนักเฉียวหมายความว่าน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่ข้าถวายมีปัญหาหรือ รองหัวหน้าสำนักเฉียว ท่านคิดปัดความรับผิดชอบก็ไม่จำเป็นต้องลากข้ามาเคราะห์ร้ายด้วยกระมัง”
เฉียวเย่ว์ซานประสานมือตอบ “กระหม่อมมิได้เจตนาลากท่านอ๋องมาเคราะห์ร้ายด้วย กระหม่อมเพียงกล่าวไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่ข้าถวายไม่มีปัญหาแน่นอน! สูตรยาของท่านต่างหากที่ข่มกันกับน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ตัวท่านวิชาแพทย์ตื้นเขินไม่รู้แต่กลับจะมาโยนบาปเรื่องนี้ให้ข้า!”
หากเป็นไปได้ เฉียวเย่ว์ซานก็ไม่ยินดีจะลากยิ่นอ๋องเข้ามาเกี่ยวด้วยหรอก แต่สถานการณ์ตอนนี้องค์ชายรองหมดทางช่วยแล้ว หากตนเองปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ตนย่อมต้องลงสุสานเป็นเพื่อนองค์ชายรอง
เทียบกับการถูกท่านอ๋องคิดแค้น เขาหวาดกลัวความตายมากกว่า
เฉียวเย่ว์ซานตั้งสติ น้ำเสียงเนิบนาบ “แต่ท่านอ๋อง ข้ากับใต้เท้าหัวหน้าสำนักล้วนมิได้ดื่มยา เพียงดื่มน้ำค้างหยกเขาเหมันต์นิดเดียวเท่านั้น ดูจากเรื่องนี้ ตัวน้ำค้างหยกก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย”
น้ำค้างหยกเขาเหมันต์เดิมทีเป็นสิ่งที่ยิ่นอ๋องถวายให้ฮ่องเต้บำรุงพระวรกาย ของสิ่งนี้มีประโยชน์ในการระบายความร้อนและขับพิษประมาณหนึ่งจริง แต่ไม่เพียงพอทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นพระวรกายอ่อนแอมิอาจต้องลมอย่างฮ่องเต้ยังไม่ทันท้องเสียถึงสองรอบก็เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว
ตอนนี้การชิงบัลลังก์ยังมิรู้ผลแน่ชัด ยิ่นอ๋องเป็นคนบ้าหรือเป็นคนโง่จึงถวายของอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ให้แก่เสด็จพ่อของตนเอง
ยิ่นอ๋องไม่ได้โง่เช่นนั้น
แต่ผู้อื่นไม่แน่ว่าจะคิดเช่นนั้น
พวกเขาย่อมไม่สงสัยฤทธิ์ของน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ พวกเขาเพียงคิดว่ายิ่นอ๋องใส่บางสิ่งลงไปข้างในเพื่อจะให้ฮ่องเต้สวรรคต
บังเอิญว่าฮ่องเต้ไม่ได้ดื่ม แต่องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์กลายเป็นคนรับเคราะห์แทน
ฮ่องเต้เป็นเจ้าแผ่นดินผู้มีเมตตา แต่มิได้หมายความว่าเขาจะไม่ช่างระแวง เขามองโอรสผู้สง่างามในวัยหนุ่มแน่นคนนี้ ทันใดนั้นพระองค์ก็รู้สึกดั่งเห็นคนแปลกหน้า
โอรสองค์นี้เคยเป็นโอรสที่พระองค์รักที่สุดนอกเหนือจากรัชทายาท แต่หลังจากเกิดเรื่องพระสนมอานเฟย ตนเองก็ค่อยๆ เย็นชากับเขา
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาจะคิดแค้นอยู่ในใจมาตลอดหรือไม่ อยากจะหาวิธีแก้แค้นพระองค์หรือเปล่า
เจ้าเจ็ดหนอเจ้าเจ็ด เจ้าอยากสังหารข้าเช่นนั้นหรือ
ยิ่นอ๋องเหลือบมองสีหน้าของเสด็จพ่อก็ทราบว่าอีกฝ่ายคิดไปไกลแล้ว สวรรค์เป็นพยาน เขาไม่ได้เติมสิ่งใดลงไปในน้ำค้างหยกจริงๆ หากเขาจะใส่ก็คงใส่ลงไปในชามของรัชทายาทเท่านั้น “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย! น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่ลูกถวายเป็นของจริงแน่นอน! ไม่ใช่ของปลอม!”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างทรงอำนาจ “นำน้ำค้างหยกมา ให้ยิ่นอ๋องดื่มด้วยตนเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฝูกงกงหมุนตัวไปหยิบน้ำค้างหยกเขาเหมันต์บนโต๊ะ
เดิมทียิ่นอ๋องเชื่อว่าน้ำค้างหยกเป็นของจริง แต่พริบตาที่ตนกลายเป็นคนที่ต้องถูกบังคับให้ดื่มน้ำค้างหยก เขาก็พลันรู้สึกว่าผิดปกติ ทุกสิ่งล้วนเป็นการจัดฉากใช่หรือไม่ จัดฉากเพื่อจะเล่นงานเขาสินะ
การให้องค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ รองหัวหน้าสำนักเฉียวและหัวหน้าสำนักหมอหลวงดื่มน้ำค้างหยกจนท้องเสีย ล้วนเพื่อบีบให้เขาลองยาพิษด้วยตนเอง
น้ำค้างหยกขวดนี้จะต้องไม่ใช่ขวดที่เขาถวายตั้งแต่แรกเป็นแน่
มีคนเล่นเล่ห์กล คิดจะยืมมือฮ่องเต้กำจัดเขา
ภายในขวดใบนี้คงเป็นยาพิษ หากเขาดื่มลงไปก็คงตายทันที แล้วก็คงไม่มีคนสืบหาความรับผิดชอบจากผู้ใด ในเมื่อน้ำค้างหยกขวดนี้ ตัวเขาเป็นผู้ถวายเองตั้งแต่แรก
กล่าวตามจริงแล้วก็เป็นตัวเขากรรมตามสนอง ทำชั่วได้ชั่วเท่านั้นเอง
เสด็จพ่อหนอเสด็จพ่อ ท่านต้องการสังหารข้าหรอกหรือ
ไม่อาจไม่พูดว่าความคิดในบางเรื่องของพ่อลูกคู่นี้ช่างละม้ายคล้ายกันจนน่าตกใจจริงๆ
ตอนที่ยิ่นอ๋องลังเลว่าจะเอาตัวรอดเช่นไรดีอยู่นั่นเอง นางกำนัลที่รับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่ในตำหนักบรรทมขององค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ก็วิ่งออกมา
นางกำนัลกราบทูลอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท! องค์ชายรองฟื้นแล้วเพคะ!”
“ฟื้นแล้วหรือ” ฮ่องเต้ตกใจจนลุกพรวด
นางกำนัลพยักหน้าย้ำๆ “เพคะ ฝ่าบาท องค์ชายรองฟื้นแล้ว! กำลังขอน้ำดื่มอยู่! ข้าจะไปตักน้ำ!”
องค์ชายรองสภาพเหมือนจะสิ้นใจเช่นนั้นแล้ว ไม่สมควรรินน้ำให้ก่อนค่อยมารายงานหรือ นางกำนัลทำหน้าที่ได้ถึงขนาดนี้คงไม่ง่าย กลับไปคงต้องเพิ่มเบี้ยหวัด
ฮ่องเต้รีบพาองค์ชายทั้งหลายกับหมอหลวงเข้ามาในห้องบรรทมขององค์ชายรอง
หัวหน้าสำนักหมอหลวงตรวจร่างกายองค์ชายรองแล้วว่า “ไข้ลดลงแล้ว! ชีพจรก็สม่ำเสมอแล้ว! องค์ชายรองไม่เป็นอันใดแล้ว!”
หมอหลวงบางคนรีบประจบ “สูตรยาช่างฤทธิ์แรงจริงๆ! ผลักคนไปถึงปากประตูผีแล้วฉุดให้รอดกลับมา ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!”
ทุกคนพากันประสานมือคารวะรองหัวหน้าสำนักเฉียว
บางคนก็หันไปเอ่ยแสดงความยินดีกับยิ่นอ๋อง “ต้องขอบคุณน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่ขับพิษภายในได้ขวดนั้น!”
“ใช่แล้ว!”
“ใช่แล้ว!”
แต่ละคนล้วนกลายเป็นจอมประจบไปเสียแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร องค์ชายรองก็ข้ามพ้นช่วงวิกฤตมาได้จริงๆ นี่บ่งบอกว่าสูตรยากับวัตถุดิบปรุงยาล้วนไม่มีปัญหา
“รองหัวหน้าสำนักเฉียว” ฮ่องเต้มองเฉียวเย่ว์ซานด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เฉียวเย่ว์ซานเดินมาถึงหน้าฮ่องเต้พร้อมกับสีหน้าเปล่งปลั่ง คำนับอย่างถูกต้องตามพิธีการทุกกระเบียดนิ้ว “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ข้าตรัสแล้วย่อมมิคืนคำ เจ้ารักษาองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์หายดี นับเป็นขุนนางผู้สร้างความชอบให้ราชวงศ์ต้าเหลียงของเรา นับจากวันนี้แต่งตั้งเป็นหย่งเอินโหว!”
จากท่านปั๋วเปลี่ยนเป็นท่านโหว นี่เป็นการก้าวข้ามที่ยากเย็นแสนเข็ญก้าวหนึ่ง!
เรื่องที่พี่ใหญ่ยังทำไม่ได้ เขาทำได้แล้ว สวรรค์ช่างไม่ทรยศความตั้งใจของคนจริงๆ!
เฉียวเย่ว์ซานคุกเข่า โขกศีรษะคำนับเสียงดัง “กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้หันไปมองยิ่นอ๋องที่อยู่ด้านข้างต่อ พระองค์กล่าวโทษโอรสผิดไป ในพระทัยของฮ่องเต้จึงรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย แต่ความละอายใจเช่นนี้มิอาจบอกกล่าวออกมาได้ จึงตกรางวัลให้ยิ่นอ๋องพันตำลึงทอง นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากขนาดนี้ให้แก่ยิ่นอ๋องนับตั้งแต่พระสนมอานเฟยสูญเสียความโปรดปราน “วันหน้าหากไม่มีงานก็มานั่งในวังของข้าบ้าง อย่าคิดว่าย้ายออกไปมีจวนแล้วจะไม่ต้องมาถวายความกตัญญูต่อข้าอีก”
นี่เป็นการมอบความโปรดปรานให้ยิ่นอ๋องอย่างอ้อมๆ!
ดูท่าคนตกอับจะได้โอกาสพลิกสถานการณ์แล้ว องค์ชายทั้งหลายคิดอย่างปวดใจ
…
เรื่องเฉียวเอินปั๋วได้รับแต่งตั้งเป็นหย่งเอินโหว รวมถึงเรื่องที่ยิ่นอ๋องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกครั้งหลังจากสูญเสียความโปรดปรานมาสิบกว่าปี ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ส่งต่อมาถึงเรือนสี่ประสาน
“ฮัดเช้ย!”
จีหมิงซิวผู้นั่งขัดสมาธิห่อตัวอยู่ในผ้าห่มจามเสียงดัง
จีอู๋ซวงจับหน้าผากของเขา “ไข้สูง มีอาการคล้ายไข้หวัด มีตุ่มขึ้น ยินดีด้วยนายน้อย ท่านเป็นอีสุกอีใสแล้ว”
อีสุกอีใสไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือนายน้อยของตนไข้ขึ้นสูง
แต่สภาพตอนนายน้อยไข้ขึ้นสูงเหตุไฉนจึงทำให้คนอยากกลั่นแกล้งเช่นนี้กันนะ
หึๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มร้าย
ไข้สูงส่งผลต่อจีหมิงซิวอย่างมาก สมองร้อนจนเลอะเลือน สติปัญญาลดฮวบฮาบอย่างฉับพลัน จนแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับวั่งซู!
เมื่อเห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะอย่างน่าโดนซ้อม จีหมิงซิวก็ถลึงตากลมบ๊อกอย่างดุร้าย เหมือนสัตว์ร้ายตัวน้อยที่พองขนขู่ได้ตลอดเวลาตัวหนึ่ง จากนั้นใช้กล่าวด้วยถ้อยคำดุร้ายอย่างยิ่งว่า “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย! หัวเราะข้าอีกหน ข้าจะสังหารเจ้าเชื่อหรือไม่!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยิกใบหน้าที่แดงก่ำของเขา “เสี่ยวจีจี ลุงเยี่ยนไม่เชื่อ”
จีหมิงซิวจะขยับมือมาตีเขา แต่จนปัญญาที่ทั้งร่างถูกห่อเอาไว้จนเหมือนบ๊ะจ่างอ้วนๆ ขยับทีหนึ่งทั้งร่างก็ล้มหน้าคว่ำ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทุบพื้นหัวเราะดังลั่น
“เลิกแกล้งได้แล้ว” จีอู๋ซวงถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้วเอ่ยว่า “ต้องใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ แต่ขวดนั้นของข้าให้นายน้อยกินไปหมดแล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนึกครู่หนึ่งก็บอกว่า “บ้านแม่หนูคนนั้นมี ข้าจะไปเอา!”
กล่าวจบก็นั่งรถม้าออกเดินทาง
เขาเพิ่งก้าวออกไป หมิงอันก็นำข่าวมาส่ง “เฮ้อ องค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์คนนั้นดันไม่ป่วยตาย!”
หมิงอันไม่รู้ว่านายน้อยของตนแอบไปเปลี่ยนยา แต่เขาทราบว่าองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ทั้งลงทั้งรากอยู่ตลอดคืน ได้ยินว่าเตรียมตัวจัดงานศพกันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาได้อย่างปาฏิหาริย์!
จีหมิงซิวขมวดคิ้วเป็นปม!
ฉี่ของเพียงพอนตัวน้อยนั่นดันเป็นยาวิเศษต้านโรคอุสุกอีใสอย่างนั้นหรือ
หมิงอันถอนหายใจ “ผู้คนบอกกันว่าน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ของยิ่นอ๋องสรรพคุณดียิ่งนัก ใช้พิษต้านพิษ รักษาโรคขององค์ชายรองจนหายดี!”
แววตาของจีหมิงซิวฉายแววแค้นเคืองวูบหนึ่ง เหมือนลูก ไม่พอใจมากๆ!