หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 138-1 พี่ซิวแสร้งเย็นชา
ในขณะที่จีหมิงซิวไม่พอใจ ยิ่นอ๋องกับเฉียวเย่ว์ซานกลับเบิกบานใจแทบแย่แล้ว แม้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าฮ่องเต้จะพระราชทานรางวัลให้ตน ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ลุ้นระทึก ความยินดีหลังรอดพ้นภัยก็ยิ่งมีค่า
ทั้งสองคนแปรเปลี่ยนคมหอกกลายเป็นหยกมณีแพรพรรณ
เฉียวเย่ว์ซานประสานมือ แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจท่านอ๋องผิดไป น้ำค้างหยกเขาเหมันต์นั่นเป็นของวิเศษในการขับพิษอย่างแท้จริง ยามนี้ข้าน้อยรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายยิ่งนัก”
หัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ประจบบ้าง “ถูกต้องแล้วๆ ข้าเองก็รู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย”
ทุกคนคิดในใจ เห็นพวกข้าตาบอดหรือไร พวกเจ้าสองคนเดินยังตัวสั่นอยู่แท้ๆ !
ยิ่นอ๋องไม่สนใจว่าน้ำค้างหยกเขาเหมันต์แท้จริงจะมีสรรพคุณอันใด สรุปก็คือองค์ชายแห่งเผ่าซยงหนีว์หายดีแล้ว ฮ่องเต้พอพระทัยแลเริ่มเชื่อใจเขาแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องดีงามครั้งใหญ่
เมื่อเขาได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จพ่อโดยสมบูรณ์ เขาก็จะกราบทูลเรื่องเฉียวเวยกับลูกทั้งสองคนกับเสด็จพ่อ ถึงยามนั้นต่อให้จีหมิงซิวขวางอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ผู้หญิงเป็นของเขา ลูกก็เป็นของเขาเหมือนกัน!
…
เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าตนเองกับลูกน้อยทั้งสองถูกยิ่นอ๋องหมายตาอยู่ นางกำลังทำสงครามสามร้อยกระบวนท่ากับตุ่มบนร่างกายอยู่ในห้อง
สาเหตุที่โรคอีสุกอีใสทรมาน นอกจากเพราะอาการที่คล้ายกับไข้หวัดอย่างรุนแรง ก็เป็นเพราะตุ่มเล็กๆ ที่ชวนให้คนเกาอย่างเมามันเหล่านั้น
แต่จะบีบก็บีบไม่ได้ จะเกาก็เกาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเหลือรอยแผลเป็น
“บนหน้าก็ขึ้นมาด้วย ไม่มีหน้าไปเจอผู้คนแล้ว” เฉียวเวยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองตนเองในกระจกทองแดงแล้วทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ชีเหนียง ยาได้แล้วหรือยัง”
ยาทาตัวนี้เป็นของที่หมอพเนจรปรุงขึ้นใหม่ๆ ทุกวันเขาจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกับน้ำค้างยามเช้าสดใหม่ ยาเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่
ชีเหนียงถือยาทาที่ผสมเสร็จแล้วเดินเข้ามาในห้อง แล้วคลี่ยิ้ม “มาแล้วๆ นายท่านบอกว่าวันนี้ผสมสะระแหน่ลงไปมากหน่อย ผลลัพธ์น่าจะดีกว่าเมื่อวาน”
“นายท่าน เจ้าเรียกด้วยคำนี้แล้ว!” เฉียวเว่ยแค่นเสียงเหอะ
ชีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “บิดาของฮูหยิน ข้าไม่เรียกว่านายท่าน จะให้เรียกว่าท่านหมอหรือ นั่นไม่เข้าท่านัก”
บิดา ไม่นึกว่าชีวิตของนางจะได้พบกับเจ้าของบทบาทนี้ด้วย เฉียวเวยยิ้มเย็นชา
ชีเหนียงเอ่ยต่อว่า “ข้าเก็บกวาดห้องพักแขกแล้ว หลังจากนี้ก็ใช้เป็นห้องของนายท่าน เครื่องเรือนอะไร น่าจะต้องเติมสักหน่อย นายท่านเป็นหมอ ต่อตู้เก็บสมุนไพรให้นายท่านสักใบเป็นเช่นไร”
“ค่อยว่ากันเถิด” เฉียวเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ชีเหนียงคนยาทา แล้วว่า “ฮูหยินไร้บิดามารดามาตั้งแต่เล็กนัก จู่ๆ ได้พบบิดา จะไม่คุ้นชินก็เป็นเรื่องปกติ แต่รอผ่านไปสักสองสามวันก็จะรู้ว่าการมีบิดาเป็นเรื่องดี” แม้นายท่านจะสติวิปลาสเป็นบางครั้ง แต่ชีเหนียงมองออกว่านายท่านเป็นคนดี แล้วก็รักฮูหยินยิ่งนัก
ชีเหนียงนั่งลงตรงขอบเตียง “ฮูหยิน ข้าทาให้ท่าน”
เฉียเวยถอดเสื้อ แล้วหันไปกอดหัวเตียง
ชีเหนียงทายาให้นางอย่างบรรจง อาจเป็นเพราะตัวยาทาผสมสะระแหน่ด้วยจึงรู้สึกเย็นสบายยิ่งนัก
เฉียวเวยพรูลมหายใจอย่างสบายตัว แล้วหลับตาพริ้ม เอ่ยว่า “ตอนเที่ยงคืนเจ้าก็เป็นคนทายาให้ข้าสินะ ลำบากเจ้าแล้ว เฝ้าข้าอยู่จนดึกดื่นเที่ยงคืน”
มือของชีเหนียงชะงัก ในใจคิดว่าคนผู้นั้นไม่ได้บอกท่านหรอกหรือ
ทายาที่หลังเสร็จ ชีเหนียงก็เตรียมจะถอดกระโปรงของเฉียวเวย เฉียวเวยลุกขึ้นนั่ง “ข้าทำเองก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” ชีเหนียงส่งยาทาให้เฉียวเวย “ถ้าเช่นนั้นข้าไปดูโรงงานก่อน”
เฉียวเวยพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว”
ระหว่างที่ป่วยหลายวันนี้ โรงงานดำเนินการไปตามปกติ เรื่องนี้ไม่อาจขาดความดีความชอบของพวกชีเหนียง เดี๋ยวพอหายดีแล้ว คงต้องไล่เรียงความดีความชอบมอบรางวัลสักหน่อยจึงจะถูกต้อง
ชีเหนียงคลี่ยิ้มเดินออกไป
เฉียวเวยถอดเสื้อผ้าแล้วเริ่มทายา เมื่อนางพบว่าจุดที่น่าอายอย่างยิ่งของตนถูกทายาเสียหนา ดวงหน้าก็แดงแปร๊ดในทันใด
เฉียวเวยทายาเสร็จก็สวมเสื้อผ้าที่แห้งสบาย
เมื่อภายในห้องไม่มีเด็กๆ ก็รู้สึกว่างโล่ง แม้ก่อนหน้านี้ตอนกลางวันส่วนใหญ่เด็กๆ ก็ไม่อยู่ในสายตาเหมือนกัน แต่อยู่ในสำนักศึกษากับอยู่ในเมืองหลวง ยามคิดถึงขึ้นมากลับไม่เหมือนกัน
เพิ่งวันเดียวเท่านั้น นางก็คิดถึงลูกๆ แล้ว
แต่ช่วงแพร่โรคของอีสุกอีใสยังไม่ผ่านพ้น นางจึงจำต้องอดทนอีกสองสามวัน
เฉียวเวยนั่งอยู่ริมหน้าต่างอย่างเบื่อหน่ายยิ่งนัก มือหนึ่งยกขึ้นเท้าค้าง มองกุหลาบขาวอันงดงามที่เบ่งบานอยู่ในสวน ทันใดนั้นเงาร่างอันคุ้นเคยร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาในคฤหาสน์
เฉียวเวยเพ่งสายตามอง “ลุงเยี่ยนหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นเฉียวเวยเกาะขอบหน้าต่างอยู่ก็ไม่เดินธรรมดาๆ แต่ใช้วิชาตัวเบาโผเบาๆ ร่อนลงนอกหน้าต่างของเฉียวเวยแล้วยิ้มร่าเอ่ยว่า “แม่หนู ดีขึ้นแล้วหรือ”
ตุ่มผุดขึ้นมาถือเป็นเรื่องดี ดูสิตุ่มเต็มหน้าเลยเชียว จิ๊ๆ!
เฉียวเวยยกพัดขึ้นปิดหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว ท่านลุงเยี่ยนเหตุใดมีเวลาว่างแวะมาได้ ตั้งใจมาเยี่ยมข้าหรือ”
“ไม่ใช่ตั้งใจมาเยี่ยมเจ้าอย่างเดียวหรอก” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มเผล่ตอบว่า “จะแวะมาถามดูว่าเจ้าใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์หมดแล้วหรือไม่ หากยังก็แบ่งมาให้ข้าสักหน่อยเถอะ”
น้ำค้างหยกเขาเหมันต์เป็นของดี หมอพเนจรหรือก็คือบิดาของร่างนี้ของนางบอกว่าของสิ่งนี้ขับพิษบำรุงความงาม ยืดอายุขัยได้ เป็นของหายากยิ่งกว่าบัวหิมะบนเขาเทียนซาน จะยกของดีเช่นนี้ให้ นางย่อมปวดใจ
“ท่านต้องการมันไปทำสิ่งใด” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี่ยเห็นท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็ทราบแล้วว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาเอ่ยอย่างขบขัน “ลุงเยี่ยนดีกับเจ้าปานนี้ มอบน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เล็กน้อยให้ลุงเยี่ยนจะเป็นอันใดไป ตัดใจให้ไม่ลงหรือ”
เฉียวเวยยิ้มกระดากอาย “ลุงเยี่ยนพูดอะไรเช่นนั้นเล่า อย่าพูดถึงน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เลย ต่อให้เป็นทองคำ หากท่านต้องการข้าก็จะยกให้ท่าน”
แม่หนู ผู้ใดอยากได้ทองคำนิดๆ หน่อยๆ กัน น้ำค้างหยกเขาเหมันต์นี่เป็นสิ่งที่ต่อให้มีทองคำเท่าใดก็หาซื้อไม่ได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ล้อเล่นกับนางแล้ว หากล้อเล่นต่อไป เจ้าหมอนั่นคงจะตัวร้อนจนกลายเป็นคนโง่เสียก่อน “ไม่ใช่ข้าต้องการใช้หรอก นายน้อยต่างหาก”
เฉียวเวยหยิบน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่เหลืออยู่ครึ่งขวดอกมาจากลิ้นชัก แล้วถามหยอกล้อ “เหตุไฉนจู่ๆ เขาจึงต้องการสิ่งนี้เล่า คงไม่ได้เป็นเหมือนข้า ติดโรคอีสุกอีใสมาหรอกกระมัง”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า
“ติดจริงหรือ อาการหนักหรือไม่” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่ง แล้วตอบด้วยท่าทางเศร้าหมอง “อาการหนักยิ่งนัก! ใกล้ตายแล้ว!”
เฉียวเวยลุกพรวด “ข้าจะไปรับลูกๆ กลับ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้าสนใจผิดประเด็นไปหน่อยหรือไม่
เฉียวเวยไข้ลดแล้ว ออกมาข้างนอกถูกลมสักหน่อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต แต่ตุ่มบนใบหน้าดูน่ากลัว นางจึงสวมหมวกติดผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าไว้
ป้าหลัวไม่ยอมให้ไป เมื่อวานตัวร้อนจนจะเป็นเตาไฟน้อย วันนี้จะออกจากบ้านได้อย่างไร โรคอีสุกอีใสนี่ ต้องอยู่บ้านรักษาตัวสิบวันครึ่งเดือนถึงจะพอ
หมอพเนจรยิ้มบอกว่า “ไข้ลดแล้ว ไม่เป็นอันใด แต่จำไว้ว่าต้องทายา”
ป้าหลัวหน้าบึ้ง “ท่านเป็นบิดานางมิใช่หรือ มีผู้ใดเป็นบิดาอย่างท่านบ้าง ลูกสาวป่วยจนเป็นเช่นนี้…เอ๋ คนเล่า คนไปไหนแล้ว”
คนเผ่นลงเขาไปเงียบๆ แล้ว!
เฉียวเวยถือยาสองขวดรวมถึงสูตรยาหนึ่งแผ่นไปขึ้นรถม้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่หน้าหมู่บ้าน นางสวมหมวกคลุมหน้าทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้า ขาวบ้านจึงจำไม่ได้ว่าสตรีที่ขึ้นรถม้าหรูหราคนนี้แท้จริงคือผู้ใด แต่เดาได้ว่าคงมาจากบนเขา ถึงอย่างไรทั้งหมู่บ้าน คนที่จะนั่งรถม้าเช่นนี้ได้นอกจากเสี่ยวเฉียวกับบ่าวรับใช้ในบ้านของนางก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี่ยรั้งบังเหียนของอาชาร่างกำยำ บังคับให้รถม้าเลี้ยว “แม่หนู ยาหยิบมาแล้วนะ น้ำค้างหยกเขาเหมันต์หายากนัก ปีนี้เก็บมาได้ยังไม่ถึงสองขวดเลย”
“ของนี่ล้ำค่าปานนั้นเชียวหรือ” เฉียวเวยเกือบกัดลิ้น นางรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันอร่อยนักจึงดื่มไปหลายช้อน หมอพเนจรเห็นนางดื่มของล้ำค่าเช่นนี้ก็ไม่เตือนนางสักคำ เอาแต่ยิ้มโง่ๆ…
เฮ้อ!
บิดาใจดี มักมีลูกล้างลูกผลาญ!
เฉียวเวยกำขวดในมืออย่างปวดใจ หากรู้ตั้งแต่แรกว่าแพงเช่นนี้ นางคงเอาสองสามช้อนนั่นไปขายเสียดีกว่า ไม่แน่อาจจะขายได้ราคาดีก็ได้!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่รู้ว่าโรคคลั่งเงินของใครบางคนในรถกำเริบ เขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็คิดว่าไม่ได้ยิน จึงตะเบ็งเสียงบอกอีกประโยค “ถือดีๆ เล่า! เกิดหกขึ้นมานายน้อยของข้าคงหมดทางรักษาแล้ว!”
เสียงดังมากนักจนทำให้คนแซ่เฉียวผู้คลั่งเงินสะดุ้งกลับมาจากอาการเหม่อลอย เผลอโยนขวดใบนั้นลอยขึ้นกลางอากาศอย่างไม่มีลางบอกเหตุสักนิด เฉียวเวยหัวใจหล่นวูบ ถลาร่างเข้าไปรับ…
ปึ้ก!
ร่างกายล้มกระแทกพื้นรถอย่างแรง
รถม้าทั้งคันประหนึ่งถูกอุกกาบาตพุ่งชนอย่างกะทันหัน ล้อรถจู่ๆ ก็จมลงไปในดิน อาชาร่างกำยำที่กำลังวิ่งทะยานเต็มแรงถูกกำลังมหาศาลดึงรั้งอย่างกะทันหันจนเกือบล้ม!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เกือบร่วงตกรถด้วย เขาคิดว่าถูกอาวุธลับอะไรบางอย่างเข้า พอตั้งหลักได้ก็หยุดม้ากระโดดลงมาบนพื้น เพ่งสายตามอง คุณพระ บนพื้นมีร่องสองร่องตั้งแต่เมื่อใด ตอนขับมาเหตุไฉนจึงมองไม่เห็น!
“ไม่เป็นอะไรนะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลิกม่านเปิด
เฉียวเวยเพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้น “ข้าไม่เป็นอะไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเสริมว่า “ข้าหมายถึงขวด”
เฉียวเวยกลอกตาค้อนควักใส่เขา “แตกแล้ว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกวาดสายตามองขวดที่อยู่ดีไร้ริ้วรอยในมือนางแล้วยิ้มกริ่ม จากนั้นไปดันรถม้าออกมาจากร่องแล้วเดินทางต่อ
อาชาร่างกำยำสองตัวเหมือนจะตกใจ ระหว่างทางจึงวิ่งตุปัดตุเป๋เกือบทำให้เฉียวเวยมึนหัวตาย
ลำบากนักกว่าจะมาถึงเรือนสี่ประสาน เฉียวเวยราวกับได้รับอภัยโทษ นางพรูลมหายใจยาวเฮือกใหญ่แล้วกำขวดยาแน่น ก่อนจะก้าวลงจากรถม้า
เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตู เสี่ยวไป๋ก็พุ่งเข้ามาหาปานสายฟ้า!
มันกำลังจะกระโจนมาชนเฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็คว้าคอของมันไว้ได้อย่างตาไวมือไว!
“หงิง” เสี่ยวไป๋ถูกจับคอไว้
เฉียวเวยเหงื่อแตก ไม่ได้พบหน้ากันสองวัน เจ้าตัวน้อยตัวนี้ก็ถลาพุ่งเข้ามาชนเช่นนี้ เกือบชนยาของหมิงซิวแล้ว
ยังดีที่รอดมาได้หวุดหวิด
เฉียวเวยตั้งสติแล้วเดินไปยังเรือนตะวันออก
ผู้ใดจะคิดว่าเพิ่งมาถึงประตูก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งเหวี่ยงกระบองหนามกระโดดออกมาประหนึ่งโจรร้าย! ถลาเข้ามาหานาง!
เฉียวเวยตอบสนองไม่ทันแม้แต่น้อย นางถูกเจ้าตัวเล็กชนเข้าเต็มรัก หูได้ยินเสียงแตก เพล้ง! ขวดร่วงลงบนพื้น…
“โอ๊ะ! ท่านแม่ นี่คือสิ่งใดหรือเจ้าคะ” วั่งซูแกว่งของเล่นชิ้นใหม่ของนางพลางกะพริบตาปริบๆ ถาม
เฉียวเวยอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นี่คือสิ่งใดหรือ ก็ยาที่จะช่วยชีวิตบิดาของเจ้าน่ะสิ!
ลูกเอ๋ย เจ้าทำร้ายบิดาเจ้าเช่นนี้ บิดาเจ้ารู้หรือไม่
…
กระสายยาที่มีเพียงหนึ่งเดียวหายไปแล้ว ทั้งสามคนที่อยู่ในเรือนจึงอับจนหนทาง นั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะหิน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า มองหน้ากันไปมา
เจ้าซาลาเปาน้อยยังไม่รู้ว่าตนทำ ‘ฟางช่วยชีวิต’ เพียงหนึ่งเดียวของบิดาแท้ๆ มลายหายไปแล้ว นางกำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นดีดลูกแก้วกับพี่ชายอย่างเบิกบานใจ บางครั้งก็หันกลับมายิ้มหวานให้เฉียวเวย “ท่านแม่ๆ ข้าดีดลงอีกแล้ว! ข้าเก่งกาจมากใช่หรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ “ใช่แล้ว วั่งซูเก่งกาจที่สุด”
คนมากมายปานนั้นอยากสังหารบิดาเจ้าล้วนทำไม่สำเร็จ เจ้าเหวี่ยงกระบองครั้งเดียว ชีวิตบิดาเจ้าก็ลอยจากไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เป็นบุตรผู้ทำร้ายบิดามากที่สุดในประวัติศาสตร์ หนึ่งเดียวไม่มีสอง
“ผู้นี้คือจีอู๋ซวง หนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือใต้บัญชาของนายน้อย แล้วก็เป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแนะนำจีอู๋ซวงกับเฉียวเวย “เจ้าเรียกเขาว่าลุงไก่ก็ได้”
จีอู๋ซวงตวัดสายตาเย็นเฉียบไปจ้องหน้าเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหมุนนิ้ว “นายน้อยใกล้ตายแล้ว ข้ายังมีแก่ใจล้อเล่นอีก ข้าช่างเป็นเดรัจฉานจริงๆ!”
ระหว่างทางที่เดินทางมาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแนะนำจีอู๋ซวงให้เฉียวเวยฟังแล้ว เฉียวเวยจึงทราบว่าอีกฝ่ายเป็นยอดแห่งวิชาแพทย์และการใช้พิษ เคยผงาดในยุทธภพ ถูกผู้คนยกย่องเป็นราชันพิษ ตอนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแตกหักกับสำนัก ถูกคู่แค้นฝ่ายต่างๆ ในยุทธภพไล่ล่าจนบาดเจ็บหนักก็ได้จีอู๋ซวงรักษาเขาจนหายดี จีอู๋ซวงเป็นคนแรกที่ติดตามข้างกายนายน้อย ส่วนเขาถูกนายน้อยปราบได้อย่างไร เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ไม่รู้คำตอบ แต่เพราะติดค้างบุญคุณที่ช่วยชีวิต แม้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะอายุมากกว่าจีอู๋ซวงหลายปี เขาก็ยังนับถืออีกฝ่ายเป็นพี่ใหญ่
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา “ท่านลุงจี โรคของหมิงซิวยังมีหนทางอื่นหรือไม่”
“ยากแล้ว” จีอู๋ซวงถอนหายใจ “หญ้าหิ่งห้อยม่วงใช้แทนได้ แต่หญ้าหิ่งห้อยม่วงเติบโตในสถานที่หนาวเย็นจัด หากไม่ใช่หน้าหนาวก็ไม่งอก หลังเก็บเกี่ยวแล้วมิว่าเก็บรักษาอย่างไร หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนก็สูญเสียฤทธิ์ยา ดังนั้นเทียบกับน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ หญ้าหิ่งห้อยม่วงเป็นของที่หาแทบไม่ได้ยิ่งกว่า”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ใช้สูตรอื่นไม่ได้แล้วหรือ”
จีอู๋ซวงส่ายศีรษะ “นายน้อยมีร่างกายพิเศษ หากไม่มีน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เป็นกระสายยาก็ไม่ได้”
เฉียวเวยนึกถึงสูตรยาของตนเอง “เหตุใดสูตรยาของข้าก็ต้องใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ด้วย ร่างกายของข้าก็พิเศษเหมือนกันหรือ”
จีอู๋ซวงทราบมาก่อนแล้วว่านางเป็นสตรีในคืนนั้น เขาหันมามองนางแล้วบอกว่า “เจ้ากับนายน้อยร่วมราตรีกันแล้ว ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ให้ข้าจับชีพจรของเจ้าหน่อย”
เฉียวเวยยื่นมือออกมาอย่างฉับไว