หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 142-1 ทวงความยุติธรรม
เฉียวจ้งชิงถูกคนหามกลับมาในสภาพที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เขามีบาดแผลทั่วตัวและไม่ได้สติ
สวีซื่อถลาเข้าไปหาบุตรชายประหนึ่งเสียติ ร่ำไห้น้ำตานองหน้า “จ้งชิง…จ้งชิง…จ้งชิงอา…จ้งชิงอา…”
เฉียวจ้งชิงเป็นบุตรชายคนโตของสวีซื่อกับเฉียวเย่ว์ซาน อายุพอๆ กับเฉียวเวย ตอนนางตั้งท้อง เสิ่นซื่อก็ตั้งท้องด้วย หมอล้วนกล่าวว่าครรภ์ของทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน คิดว่าต้องได้ทารกตัวอ้วนใหญ่เป็นแน่ ตำแหน่งสะใภ้ของนางเป็นรองเสิ่นซื่ออยู่ขั้นหนึ่ง หากคลอดบุตรออกมาย่อมไม่ต้องการแพ้ให้แก่เสิ่นซื่ออีก
นางเฝ้าหวังทั้งวัน เฝ้าหวังทั้งคืน หวังให้ตนเองคลอดบุตรเร็วกว่าเสิ่นซื่อก้าวหนึ่ง ทว่าสวรรค์เหมือนจะไม่ได้ยินคำภาวนาของนาง เสิ่นซื่อเจ็บท้องก่อนนางหนึ่งวัน แล้วก็ให้กำเนิดลูกคนหนึ่งออกมา
ทว่าสิ่งที่น่าฉลองก็คือลูกที่เสิ่นซื่อให้กำเนิดออกมาเป็นบุตรี ส่วนนาง ไม่ทรยศความคาดหวังของทุกคน ให้กำเนิดหลานชายคนโตสายตรงให้แก่ทั้งตระกูลเฉียว นับตั้งแต่ตอนนั้นเอง ฐานะในตระกูลของนางจึงสูงขึ้นอย่างพรวดพราด
ห้าปีหลังจากนั้น เสิ่นซื่อไม่เคยให้กำเนิดลูกอีก แม้เรือนสามจะให้กำเนิดคุณชายรอง แต่ถึงอย่างไรก็เทียบคุณชายใหญ่ไม่ได้ นับตั้งแต่เล็กจนโต จ้งชิงเป็นความภาคภูมิใจของนาง แล้วก็เป็นเรื่องเดียวที่นางเอาชนะเสิ่นซื่อได้
นางให้ความสำคัญกับลูกชายคนนี้มากกว่าบุตรชายคนเล็กมากนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดใจส่งบุตรชายเดินทางไปร่ำเรียนไกลถึงสู่ตี้ ปีกลายบุตรชายล้มป่วยจนไร้วาสนาเข้าสอบ แต่นางไม่รีบร้อน เพราะนางรู้ว่าบุตรชายของนางยอดเยี่ยม ขอเพียงให้โอกาสบุตรชายสักหน บุตรชายของนางย่อมคว้าตำแหน่งจอหงวนคนใหม่มาได้!
แต่ตอนนี้บุตรชายที่นางภาคภูมิใจปานนั้นกลับเกิดเรื่อง หัวใจนางเจ็บปวดแทบวางวาย!
“ผู้ใดทำ! ผู้ใดโหดร้ายเช่นนี้!” นางคร่ำครวญจนไม่เหลือสภาพ
ตานจวี๋ตกใจจนไม่กล้าเอ่ยตอบ
หลินมามาพาหมอเข้ามาในห้อง
ระหว่างที่หมอจัดการบาดแผลของเฉียวจ้งชิง หลินมามาก็เรียกคนติดตามของเฉียวจ้งชิงเข้ามา “เล่ามาซิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ เหตุใดเขาจึงถูกแทง…” จนพรุนเป็นกระชอน
“ข้า…ข้า…ข้า…” คนติดตามหวาดกลัวไม่เบา ไม่ทราบว่าสมควรเริ่มเล่าจากที่ใดดี
สวีซื่อน้ำตาคลอ ถามอย่างเกรี้ยวกราด “ผู้ใดทำร้ายบุตรชายข้าจนเป็นเช่นนี้ ข้าจะเอาชีวิตมันมาชดใช้!”
เมื่อถูกสวีซื่อข่มขู่ คนติดตามก็ตัวสั่นระริกเล่าเรื่องราวออกมา
เล่าแล้วก็น่าอับอายเล็กน้อย เรื่องนี้ดันเกิดขึ้นเพราะการไปเที่ยวหอคณิกา
ความจริงแล้วตอนบ่ายเฉียวจ้งชิงบอกสวีซื่อว่านัดสหายไปชุมนุมกวี สวีซื่อจึงอนุญาตอย่างใจกว้าง แต่ผู้ใดจะคิดว่าสถานที่ที่เฉียวจ้งชิงไปเยือนจริงๆ กลับเป็นปี้ฟางหยวน หอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
ประวัติความเป็นมาของปี้ฟางหยวนยาวนานยิ่งนัก ย้อนกลับไปถึงราชวงศ์ก่อน แน่นอนว่ายามนั้นมันไม่ได้มีนามว่าปี้ฟางหยวน แต่มีนามว่าชิงหยวน เป็นสถานที่ของผู้บรรเลงดนตรีขับขานบทเพลง แรกเริ่มมีเพียงคีตกรเร่ร่อนจากยุทธภพไม่กี่คน ต่อมาเมื่อชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขาจึงเช่าเพิงหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวง ก่อตั้งคณะละครแห่งหนึ่งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ
คณะละครเป็นสิ่งที่กินความหมายกว้างอยู่บ้าง เริ่มแรกชิงหยวนเป็นสถานที่ซึ่งทุ่มเทกับการเล่นละครอย่างแท้จริง แต่เมื่อถูกขุนนางตำแหน่งใหญ่ผู้อยากจะกินนางงิ้วจนน้ำลายสอหลายคนกดดันหลายครั้ง จนแม้แต่ข้าวยังแทบไม่มีให้กิน ด้วยความจนหนทาง พวกเขาจึงได้แต่หาทางอื่นเลี้ยงตัวเลียนแบบผู้อื่น
เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ เจ้าของชิงหยวนสิ้นใจ แม่เล้าผู้หนึ่งจึงมารับช่วงต่อ แม่เล้าผู้นั้นมีความสามารถอยู่บ้างจึงทำให้ชิงหยวนที่จวนเจียนจะล้ม ลุกขึ้นมายืนได้ใหม่อีกหน
น่าเสียดายเรื่องดีๆ คงอยู่ไม่นาน แม่เล้าวัยกลางคนได้พบกับบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่ง นางถูกบัณฑิตหนุ่มรุกจีบจนตกลงไปในห้วงธารแห่งความรัก แต่ผลสุดท้ายน่าเวทนาอย่างยิ่ง บัณฑิตหนุ่มหลอกเอาเงินทองทั้งหมดของแม่เล้าแล้วจากไปอย่างไร้ร่องรอย
แม่เล้าคงสะเทือนใจอย่างหนักจึงเปลี่ยนนามชิงหยวนเป็นปี้ฟางหยวน นับจากนั้นก็เริ่มกิจการปรนเปรอบุรุษอย่างเต็มรูปแบบ
บังเอิญว่าแหล่งเริงรมย์ในเมืองหลวงส่วนใหญ่เปิดได้สิบกว่าปีก็ล่ม มีเพียงปี้ฟางหยวนแห่งนี้ ที่เปลี่ยนเถ้าแก่คนแล้วคนเล่า เปลี่ยนคนงามชุดแล้วชุดเล่าแต่กลับมิล้ม กิจการดีจนคนอิจฉาตาร้อน
แรกเริ่มเฉียวจ้งชิงคิดจะไปชุมนุมกวีจริงๆ แต่สหายคนหนึ่งในชุมนุมกวีคุยโม้โอ้อวดเรื่องแม่นางคนใหม่ในปี้ฟางหยวน แม่นางผู้นั้งดงามล่มเมืองเช่นไร เปี่ยมด้วยความสามารถเช่นไร งามสง่าหยิ่งยโสเช่นไร ไม่ว่าบุรุษคนใดล้วนต้องการพบพานหญิงสาวเช่นนี้ เฉียวจ้งชิงก็มิใช่ข้อยกเว้น เมื่อทุกคนช่วยกันยุ เขาจึงตามไปด้วย
เมื่อเขาไปถึงปี้ฟางหยวน แม่นางคนนั้นก็กำลังประมูลค่ำคืนแรกอยู่พอดี แม่นางมิหวั่นไหวกับเงินทองของมีค่า แต่ปรารถนาชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมความสามารถและจริงใจสักคน
เฉียวจ้งชิงยกพู่กันสะบัด เขียนบทกวีโบราณออกมาหนึ่งบทความว่า
ปทุมาผลิดอกริมธารใส ทิวากรโลมไล้งามโสภี
กุสุมาลย์แย้มกลีบกลางนที หมู่พงพีบดบังริ้วเมฆา
โฉมผกางามเด่นธราดล หอมสุคนธ์งามกลิ่นผู้ใดพา
ชมหิมะโปรยปรายดาษดา มวลบุหงาลาลับหุบกลีบโรย
หากให้เลือกหยั่งรากลงที่ใด ขออาศัยเคียงสระสรวงสุราลัย[1]
บทกวีของเขางามโดดเด่น ดังนั้นจึงคว้าใจแม่นางคนงามไปครอบครอง
แม่นางต้องการให้เฉียวจ้งชิงเป็นแขกที่แนบชิดกับตนในคืนนี้ แต่บรรดานายท่านทั้งหลายที่มองคนงามน้ำลายยืดมานานเหล่านั้นไม่ยอม จึงควักตั๋วเงินออกมาฟาดหน้าของเฉียวจ้งชิง ให้เฉียวจ้งชิงยอมยกคนงามมาให้
เฉียวจ้งชิงฉลาดอีกเท่าใด สุดท้ายก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง เขาอยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่าน ชาติตระกูลก็มิใช่ชั่ว แม้ภายนอกจะอ่อนโยนเป็นมิตร แต่ความจริงในกระดูกหยิ่งยโสเป็นที่สุด คนเช่นนี้จะยอมทนการท้าทายของผู้อื่นต่อหน้าผู้คนได้เช่นไร
เฉียวจ้งชิงไม่ยอม สองฝ่ายจึงตะลุมบอนกัน
สถานการณ์ในตอนนั้น ผู้ติดตามเล่าว่าชุลมุนยิ่งนัก มีคนชนโต๊ะล้มคว่ำ เทียนถูกเหยียบจนดับ ได้ยินแต่เสียงต่อสู้กับเสียงกรีดร้องของพวกผู้หญิง
เมื่อห้องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เฉียวจ้งชิงก็ล้มอยู่บนพื้นแล้ว บนร่างไม่รู้ถูกผู้ใดแทงอยู่หลายแผล นายท่านทั้งหลายที่ก่อเรื่องขี้หดตดหายหนีไปแล้ว แม้แต่ขนก็หาไม่เจอ
ราชวงศ์ต้าเหลียงเคร่งครัดกับคุณสมบัติของผู้ที่เป็นบัณฑิตอย่างยิ่ง พวกเขาห้ามไปท่องเที่ยวสถานที่เริงรมย์ หากเรื่องในวันนี้เล่าลือออกไป ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาคงอยู่ในสำนักศึกษาต่อไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ชื่อเสียงในเมืองหลวงก็คงย่อยยับหมดสิ้น
ดังนั้นสวีซื่อจึงไม่อาจฟ้องทางการ แต่หากไม่ฟ้องทางการ จะจับคนร้ายคนนั้นได้อย่างไร พึ่งผู้คุ้มกันฝีมือกระจอกงอกง่อยไม่กี่คนของจวนเอินปั๋วหรือ
สวีซื่อสงสัยว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นการชำระแค้นที่จงใจมุ่งเป้ามาที่บุตรชายของตน แต่จนปัญญาที่นางไม่มีหลักฐาน
ความทุกข์หนนี้ ตระกูลเฉียวถูกลิขิตให้ต้องกล้ำกลืนเอาไว้
…
เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าคนร้ายหลังม่านของเรื่องเมื่อคืนถูกผู้อื่นแทงเสียแล้ว นางเพิ่งตื่นจากห้วงฝัน เมื่อคืนวานเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปจึงหลับลึก นาฬิกาชีวิตก็ยังปลุกนางไม่ตื่น
นางลืมตาขึ้น มองนาฬิกาทรายที่อยู่บนกำแพง ยามเฉินแล้ว นางหลับไปนานเพียงนั้นได้อย่างไร
“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือ” ปี้เอ๋อร์นั่งอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงก็รีบก้าวเข้ามา “นอนหลับเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยลูบศีรษะ “หลับลึกทีเดียว ฝันตลอดทั้งคืน แต่ตื่นขึ้นมากลับจำไม่ได้”
ปี้เอ๋อร์ประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง
นางเห็นชั้นวางของที่หัวเตียงมีแจกันดอกไม้เพิ่มขึ้นมาใบหนึ่ง ในแจกันดอกไม้ปักดอกกุหลาบขาวช่อหนึ่งไว้
ปี้เอ๋อร์ยิ้มบอกว่า “คุณชายส่งมาให้เจ้าค่ะ”
“คุณชายหรือ” เฉียวเวยมองปี้เอ๋อร์อย่างปลกใจ
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “ก็คุณชายสวมหน้ากากคนนั้นอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
อ้อ หมิงซิว
เฉียวเวยแววตาวูบไหวขณะที่สวมรองเท้า “พวกเจ้า…พวกเจ้าเห็นเขากันหมดแล้วหรือ”
“เห็นแล้วเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คุณชายช่างหล่อเหลาจริงๆ ทั้งสูงทั้งองอาจ”
ตอนปี้เอ๋อร์เอ่ยคำนี้ ดวงตาเต็มไปแววตาคลั่งไคล้หลงใหล
เฉียวเวยมองนางอย่างขบขัน “บ้าผู้ชาย”
ปี้เอ๋อร์หัวเราะ “แต่คุณชายรูปงามมากจริงๆ นะเข้าคะ! ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายก็นิสัยดียิ่งนัก เมื่อวานหลังจากฮูหยินหลับ คุณชายก็เข้าไปดูจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูในห้อง เขายังลูบหน้าผากจิ่งอวิ๋นด้วย จิ่งอวิ๋นได้ยินพวกท่านต่อสู้กัน ความจริงในใจคงหวาดกลัวอยู่บ้างจึงไม่กล้านอน แล้วก็ไม่พูดกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่คุณชายลูบปลอบเขาทีเดียว เขาก็หลับอย่างสบายใจยิ่งนัก”
เฉียวเวยจินตนาการภาพพ่อลูกอยู่ด้วยกัน แล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
ปี้เอ๋อร์กล่าวต่อว่า “คุณชายดีต่อจิ่งอวิ๋นจริงๆ เหมือนกับลูกของตัวเอง”
ความจริงก็ลูกของตัวเองนั่นแหละ!
แต่จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ตอนยังไม่รู้ว่าเด็กๆ เป็นลูกของตัวเขาเอง เขาก็เอาใจใส่เด็กๆ มากพอแล้ว
บางทีนี่อาจเป็นข้อพิสูจน์คำพูดประโยคที่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำกระมัง
เฉียวเวยไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ปี้เอ๋อร์มาช่วยปรนนิบัตินาง เฉียวเวยไม่คุ้นชินจึงสวมด้วยตนเอง ปี้เอ๋อร์เดินวนอยู่ด้านข้าง ปากว่าคุณชายอย่างนั้น คุณชายอย่างนี้ ชมหมิงซิวจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าแล้ว
ฟังมาถึงท่อนท้าย เฉียวเวยก็เริ่มสงสัยว่าหมิงซิวที่พวกนางรู้จักเป็นคนเดียวกันหรือไม่
“จริงๆ นะเจ้าคะ ฮูหยิน คุณชายเหตุไฉนจึงดีปานนี้ จอมยุทธ์แซ่เยี่ยนคนนั้นขอความเมมตาอยู่ข้างนอกทั้งคืน ขอความเมตตาให้บุรุษที่จับอากุ้ยเป็นตัวประกันคนนั้น ข้ากลัวนักว่าคุณชายจะใจอ่อนรับปากเขา แต่คุณชายก็ไม่ ฮูหยิน คุณชายดีมากจริงๆ!”
สาวน้อยคนนี้ รู้จักพูดตอนเริ่มกับจบให้สอดรับกันเสียด้วย
เฉียวเวยยิ้ม “เลื่อมใสเขาเช่นนี้ ส่งเจ้าไปเป็นสาวใช้ข้างกายเขาดีหรือไม่”
“ข้าไม่เอาหรอก!” นางเคยทำงานในตระกูลใหญ่มาแล้ว คนสูงศักดิ์เช่นนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่รับใช้ไม่ไหว นางไม่อยากเข้าไปประจบให้ถูกรำคาญ
เฉียวเวยเปลี่ยนมาสวมกระโปรงคาดเอวสีขาวเนื้อบางตัวหนึ่ง จากนั้นเกล้าผม “เจ้าว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขอร้องเขาทั้งคืน ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้กลับตลอดคืนเช่นนั้นสิ”
“จอมยุทธ์คนนั้นนามว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสินะเจ้าคะ” แล้วปี้เอ๋อร์ก็ตอบ “คุณชายเฝ้าอยู่ข้างเตียงฮูหยินทั้งคืน ฮูหยินฝันร้าย นอนหลับไม่สนิท เมื่อคืนวานฮูหยิน…คงกลัวมากกระมัง”
จะไม่กลัวมากได้หรือ ตอนสู้นางยังไม่รู้สึกอะไร แต่ชั่วเวลาที่จีอู๋ซวงสกัดจุดนางแล้วให้คนกรอกยาพิษเข้าปาก จิตใจของนางสิ้นหวังแล้ว
ในห้วงเวลานั้น นางคิดว่าตนเองคงต้องตายแล้วจริงๆ
ในสมองมีใบหน้าของลูกๆ แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หากนางตายไป ลูกๆ จะทำเช่นไร พวกเขาจะเสียใจหรือไม่ เมื่อนึกภาพพวกเขาร่ำไห้ด้วยความเสียใจ หัวใจของนางก็ราวกับถูกมีดคว้าน
พวกเขายังเล็กเช่นนี้ หากมารดาจากไปแล้ว พวกเขาจะเติบโตมาอย่างไร
แล้วก็หมิงซิว บุรุษผู้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ชาติหน้านางก็คงหาไม่ได้อีกเป็นหนที่สอง…
ภายในเวลาสั้นๆ นางกลับขบคิดถึงเรื่องราวมากมาย
นางไม่เหมือนชาติก่อนที่ตัวคนเดียวไม่มีห่วงอีกแล้ว ยามนี้นางมีสิ่งที่มิอาจละทิ้งได้ จึงรักชีวิตเป็นอย่างยิ่งและรู้จักหวาดกลัวเป็นแล้ว
เพียงแต่ว่านางไม่มีวันอยู่อย่างหัวหดเพียงเพราะหวาดกลัว นางมีแต่ต้องเข้มแข็งยิ่งขึ้นแล้วกำจัดสิ่งที่ทำอันตรายนางกับลูกๆ ให้หมด
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เด็กๆ ก็จูงมือกันเดินเข้ามา เฉียวเวยอุ้มทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้มานานแล้ว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกอดคอนางไม่ยอมปล่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิ่งอวิ๋น เขา ‘รับรู้’ เรื่องการต่อสู้อันชุลมุนเมื่อคืน อารมณ์ของเขาจึงอ่อนไหวกว่าวั่งซูมากนัก
เขากอดแน่น ขอบตาแดงระเรื่อเล็กน้อย
เฉียวเวยจูบหน้าผากเกลี้ยงใสของเขา “แม่ไม่เป็นอะไร เจ้าดูสิ”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าเบาๆ เขาไม่เคยร้อนใจอยากจะเติบใหญ่มากเท่านี้มาก่อน เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากปกป้องท่านแม่ ไม่ให้คนเลวมารังแกได้อีกต่อไป
คลอเคลียกับลูกๆ พักหนึ่ง รอเจ้าตัวน้อยทั้งสองคน ‘ติดเต้า’ จนพอแล้ว เฉียวเวยจึงให้ปี้เอ๋อร์พาทั้งสองคนกับจงเกอร์ไปสำนักศึกษา ส่วนตนเองเดินไปห้องของเฉียวเจิง
นางใส่ยาทาแผลให้เฉียวเจิงใหม่ หลังจากนั้นจึงพันด้วยผ้าสะอาด แล้วยกน้ำอุ่นมาเช็ดหน้ากับมือให้เฉียวเจิงอย่างละเอียดลออ
หลังจากไปวนเวียนแถวตำหนักยมบาลมารอบหนึ่ง มุมมองในหลายเรื่องก็เปลี่ยนไป ความคิดที่มีต่อเฉียวเจิงก็เช่นเดียวกัน นางอาจจะยังมองเขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดตนไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่หากเขาบอกว่าจะจากนางไปอีกหน นางจะรั้งเขาไว้
ชีเหนียงหอบเสื้อผ้าที่ซักและตากเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา “ฮูหยิน บ้านเกิดของพวกเราบอกกันมาว่า ผู้ที่ไม่ตื่นขึ้นมาเสียทีเป็นเพราะวิญญาณถูกลักไป แต่หากร่างกายยังอุ่นอยู่ก็แปลว่ายังไม่ได้จากไปไกล หากลองเรียกเขา เขาก็จะตื่นขึ้นมา ไม่สู้ฮูหยินลองเรียกท่านพ่อสักสองสามคำดีหรือไม่”
“ข้าไม่เรียกหรอก” แพขนตาของเฉียวเวยสั่นไหว สายตากวาดไปยังเสื้อผ้าที่นางหอบอยู่ “นี่เหมือนไม่ใช่ของพวกเรานะ”
ชีเหนียงยิ้ม “ของพวกพี่น้องของเสี่ยวเว่ย เมื่อวานมีหลายคนบาดเจ็บ อากุ้ยจึงทายาจินชวงของนายท่านให้พวกเขาเล็กๆ น้อยๆ ตอนทายามีคนถอดเสื้อทิ้งไว้แล้วลืมหยิบกลับไป ประเดี๋ยวรอเสี่ยวเว่ยมาทำงาน ข้าจะให้เสี่ยวเว่ยนำกลับไปด้วย”
“เสี่ยวเว่ยไม่รีบมาทำงานปานนั้นหรอก” ปี้เอ๋อร์ไปส่งเด็กๆ กลับมาแล้ว “พี่สาวของเสี่ยวเว่ยป่วยหนักมาก เมื่อหลายวันก่อนเขาก็มาไม่ได้ เมื่อวานตอนเขาจะกลับ เขาให้ข้ามาขอลากับฮูหยิน ตอนเช้าข้ายุ่งจึงลืมไป”
เฉียวเวยพยักหน้า แล้วถามว่า “พี่สาวของเขาป่วยเป็นอะไร”
ปี้เอ๋อร์นึกครู่หนึ่ง “ได้ยินว่าเป็นอีสุกอีใสเหมือนกัน”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้ายังมียาสำหรับอีสุกอีใสเหลืออยู่เล็กน้อย ให้อากุ้ยนำไปมอบให้พี่สาวเขาเถิด ยาจินชวงก็พกไปด้วย แล้วหยิบของบำรุงร่างกายติดไปอีกหน่อย เมื่อคืนวาน ต้องขอบคุณพวกเขา”
ชีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
…
ในค่ายโจรบนภูเขา เจินเวยเหมิ่งล้มป่วยจนจะไม่ไหวแล้ว ทั่วร่างร้อนผ่าว บนหน้ามีแต่ตุ่ม ไม่รับรู้เรื่องราว สติพร่าเลือน
เสี่ยวเว่ยกับพวกหัวหน้าค่ายเฝ้าอยู่หน้าเตียงของเขา ฟังเขากล่าวคำสั่งเสีย
“เสื้อของเสี่ยวเว่ย...ข้า…ปะเสร็จแล้ว…อยู่ใน…ตู้…ใบที่สอง”
“หัวหน้าค่าย…ท่านก็อย่า…แอบขโมยกิน…เนื้อติดมันอีก…ไม่ดี…กับ…ร่างกาย…”
หัวหน้าค่ายกุมมือเจินเวยเหมิ่งอย่างเศร้าสลด “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าให้ตู้ซานเชียนไปปล้นหมอแล้ว ประเดี๋ยวลักพาตัวหมอกลับมาสักคน ต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่!”
“ข้า…ร่างกายของข้า…ข้า…รู้ดี…ข้าไม่รอดแล้ว…”
“ท่านอย่าพูดเช่นนี้สิ” เสี่ยวเวยน้ำตาไหลพราก บุรุษสูงเจ็ดฉื่อคนหนึ่งกลับร้องไห้ประหนึ่งแม่นางน้อย
ตอนที่คนทั้งห้องจมอยู่ในห้วงอารมณ์อันเศร้าโศก ด้านนอกก็มีเสียงของอากุ้ยดังขึ้น “เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยเจ้าอยู่หรือไม่”
“พี่อากุ้ย!” เสี่ยวเว่ยปาดน้ำตาแล้วสาวเท้าเดินออกไป “พี่อากุ้ย ท่านมาได้อย่างไร”
อากุ้ยตามเขาเข้ามาในห้อง หนก่อนตอนถูกปล้น เขาถูกมัดอยู่ในป่าเพียงครู่เดียวจึงยังไม่ทันได้มาสำรวจรังโจร วันนี้ได้มาเห็น กลับทำเอาตาเขาเกือบบอด!
กระท่อมโกโรโกโสนี่เป็นรังโจรเพียงแห่งเดียวในสิบลี้แปดหมู่บ้านจริงหรือ
ยากจนข้นแค้นเกินไปแล้วหรือไม่!
“พี่อากุ้ย ท่านนั่งตามสลาย” เสี่ยวเว่ยชี้ภายในห้อง
ดวงตาสิบกว่าเกือบยี่สิบคู่ในห้องหันขวับมามองอากุ้ย ไม่รู้เพราะเหตุใด อากุ้ยจึงรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนกำลังมองเนื้อหมูเดินได้อยู่…
อากุ้ยตั้งสติ แล้วหยิบม้านั่งตัวนั่งมานั่งลง
โครม!
ม้านั่งพัง!
เสี่ยวเว่ยรีบประคองเขาลุกขึ้น “ขออภัยพี่อากุ้ย ข้าลืมเตือนท่าน ม้านั่งตัวนี้ต่อขามา ต้องนั่งตรงๆ ห้ามนั่งเอียง”
ก้นของอากุ้ยล้มกระแทกจนเจ็บไปหมด เสี่ยวเว่ยหาม้านั่งอีกตัวมาให้เขานั่ง แต่เขาไม่นั่งแล้ว “ฝั่งโรงงานยังมีงานอยู่ ข้าเอาของมาให้พวกเจ้าเสร็จก็จะไปแล้ว”
“ของหรือ” เสี่ยวเว่ยประหลาดใจ
อากุ้ยมองโจรสิบกว่าเกือบยี่สิบคนในห้องรอบหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าความรู้สึกเหมือน ‘เนื้อหมูเดินได้’ นั่นมาจากอะไร ที่แท้ตั้งแต่เขาเดินเข้าประตูมา สายตาของคนกลุ่มนี้ก็จ้องอยู่บนสัมภาระที่เขาหิ้วมาด้วยอย่างไม่วางตา ไม่ละสายตาออกไปสักหน
“ฮูหยินได้ยินว่าพี่สาวเจ้าล้มป่วย จึงตั้งใจให้ข้านำยาจินชวงมาให้พี่สาวเจ้า…” อากุ้ยพูดพลางวางห่อสัมภาระลงบนโต๊ะด้านข้าง ไม่ผิดจากที่คาด เขาเพียงกดเบาๆ เท่านั้น โต๊ะก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะแล้วแยกเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ปล่อยให้ห่อสัมภาระร่วงลงไป
อากุ้ย “…”
อากุ้ย “บ้านเจ้ามีของใช้ได้บ้างหรือไม่”
เสี่ยวเว่ยตอบ “มีสิ เตียงของเจินเวยเหมิ่งดีทีเดียว เดือนนี้เพิ่งพังไปสามรอบ”
อากุ้ย “!”
เสี่ยวเว่ยยิ้ม “ขอบคุณพี่อากุ้ยที่อุตส่าห์เอายามาให้เวยเหมิ่ง”
อากุ้ยชะงัก “พี่สาวเจ้าชื่อเวยเหมิ่ง เว่ยเวยเหมิ่ง?”
ช่างเป็นชื่อที่แปลกอะไรเช่นนี้!
เสี่ยวเว่ยแก้ “ไม่ใช่ เขาชื่อเจินเวยเหมิ่ง”
อากุ้ย “…”
หลังจาก ‘ตกตะลึง’ ติดกันมาหลายหน ตอนที่ทราบว่าพี่สาวของเสี่ยวเว่ยเป็นบุรุษคนหนึ่ง อากุ้ยก็รู้สึกว่าตนเองรับได้ในทันที!
“นี่เป็นยารักษาอีสุกอีใสของพี่สาว…เจินเวยเหมิ่ง ยาต้องเอาไปต้มแล้วดื่ม เช้าเย็นครั้งละหน ยาทาใช้ทาภายนอก ทาบนตุ่มก็ใช้ได้แล้ว ขวดนี้คือยาจินชวง คนในบ้านเจ้าบาดเจ็บ จำไว้ว่าทาให้บ่อยหน่อย แล้วก็มีของพวกนี้ ฮูหยินต้มซี่โครงกับเนื้อแพะมาให้พี่สาวเจ้ากับคนที่บาดเจ็บไว้บำรุงร่างกาย”
อากุ้ยสาธยายอย่างอดทน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาของโจรทั้งหลายมีน้ำตาคลอแวววาว อากุ้ยแค่นเสียงเหอะ ซาบซึ้งแล้วสินะ ซาบซึ้งก็ถูกต้องแล้ว ยาพวกนี้ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นเยี่ยมที่สุด แพงมากนัก…
ในใจเขายังบ่นไม่ทันจบ ก็เห็นดวงตาของหัวหน้าค่ายทอแสงวาววับ “เสี่ยวเว่ย มีเนื้อด้วย!”
ทุกคนเฮละโลเข้ามาชนอากุ้ยจนล้ม
เจินเวยเหมิ่งผู้หายใจรวยริน พอมองเห็นเนื้อสีขาวๆ นั่นก็ดิ้นรนยกมือขึ้นมา ข้ารู้สึกว่า…ข้าอาจยังรอดได้อีกสักหน่อย…
…
ตกบ่ายเฉียวเวยเข้าไปในตัวเมืองเพื่อส่งสินค้าให้เถ้าแก่หรง แล้วถือโอกาสซื้ออาหารกับสมุนไพรมาเติมสักหน่อย
นางเดินทางไปหรงจี้ก่อน
เถ้าแก่หรงไม่ได้พบหน้านางนานแล้ว คิดถึงนางพอสมควรทีเดียว ในที่สุดเมื่อได้พบนางก็อดไม่ได้อยากจะแง่งอนใส่นางสักเล็กน้อย “โอ๊ะ นี่ผู้ใดกัน เหตุใดข้าจึงรู้สึกคุ้นตาเช่นนี้ แม่นาง เจ้ามีนามว่าอันใด เจ้าหน้าตาเหมือนเถ้าแก่รองของพวกเราอยู่นิดหน่อยนะ”
เฉียวเวยเล่นด้วย “นายท่านผู้นี้ ท่านกับสามีของข้าก็หน้าตาเหมือนกันอยู่หลายส่วน ข้าแซ่ฮวา เป็นเถ้าแก่เนี้ยของหรงจี้ สามีข้าแซ่หรง”
เถ้าแก่หรงอกสั่นขวัญผวาทันใด รีบคว้าสมุดบัญชีมาปิดปากของนาง “คำพูดเช่นนี้อย่าได้พูดมั่วซั่ว! หากเมียข้ามาได้ยินเข้า ข้าคงต้องไปคุกเข่าบนกระดานซักผ้า!” กล่าวจบก็กดเสียงให้เบาลง “ในเหลาสุรามีสายของเมียข้าอยู่ นางรู้เรื่องในอดีตระหว่างข้ากับเถ้าแก่เนี้ยของเย่ว์ไหลแล้ว พักนี้จึงจับตามองข้าอยู่ตลอด!”
เฉียวเวยหัวเราะพรืด แล้วปัดสมุดบัญชีออก จากนั้นวางไข่เยี่ยวม้าโถหนึ่งไว้บนโต๊ะกั้น ข้างโถใหญ่มีโถเล็กมาด้วยอีกใบหนึ่ง
“นี่คือสิ่งใด” เถ้าแก่หรงชี้โถใบเล็กแล้วเอ่ยถาม
“ไข่นกกระทาเยี่ยวม้า” เฉียวเวยหยิบออกมาจากด้านในลูกหนึ่งแล้วส่งให้เถ้าแก่หรง “ท่านชิมดูสิ”
เถ้าแก่หรงมองไข่นกสีเขียวนั่นแล้วรู้สึกตัดใจกินไม่ลงอยู่เล็กน้อย “นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดถึงเมื่อหนก่อนหรือ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “อืม ท่านลองชิมดูว่าคุ้มค่าให้ท่านลงทุนหรือไม่”
ไข่ที่น่ารักเช่นนี้ พูดตามตรงแล้วเขาตัดใจกินไม่ลงอยู่เล็กน้อย เถ้าแก่หรงกระเทาะเปลือกไข่ออก สีเขียวครามใส มองเห็นไข่แดง งดงามกว่าไข่เยี่ยวม้าที่ทำจากไข่เป็ดอยู่เล็กน้อย เถ้าแก่หรงกัดไปหนึ่งคำ
“เป็นอย่างไร” เฉียวเวยถาม
ในดวงตาของเถ้าแก่หรงปรากฏแววตาชื่นชมจางๆ “ไม่เลว”
ตอนเขากินไข่เป็ดเยี่ยวม้า จะรู้สึกรังเกียจที่ไข่แดงตรงกลางเหลวเกินไป กินเปล่าๆ รู้สึกว่ากินยากอยู่เล็กน้อย เมื่อเทียบกันแล้วรสชาติของไข่นกกระทาเยี่ยวม้าดีกว่ามาก
เถ้าแก่หรงจิ๊ปาก “เจ้าจะขายสิ่งนี้เท่าไร”
“ตั้งราคาไว้ห้าสิบถึงหนึ่งร้อยอีแปะเป็นอย่างไร” เฉียวเวยอยากฟังความเห็นของเขาด้วย
เถ้าแก่หรงมุ่นคิ้ว “เจ้าให้ข้าคิดสักหน่อย”
เฉียวเวยพยักหน้า “ได้ รอบเวลาผลิตของไข่นกกระทาเยี่ยวม้าสั้นกับไข่เป็ดเยี่ยวม้า ส่งสินค้าได้เร็วขึ้น เพียงแต่ไข่นกกระทาในตลาดมีน้อย ยากจะซื้อหาวัตถุดิบได้เพียงพอ”
เถ้าแก่หรงโบกมือ “พวกนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่างมากพวกเราเลี้ยงเองก็ได้”
เฉียวเวยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ความหมายของท่านคือ…จะลงทุนทำโรงงานแล้วหรือ”
เถ้าแก่หรงสะอึก เขาเผยไต๋ออกมาเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร เขาคิดจะต่อรองเงื่อนไขกับเสี่ยวเฉียวสักหน่อย แย่งส่วนแบ่งมาให้ตนเองเพิ่มอีกนิด!
เฉียวเวยตบหัวไหล่ของเถ้าแก่หรง “ท่านออกเงิน ข้าออกแรง เรื่องเลือกที่ตั้งอะไรยกให้ข้าจัดการก็พอ แต่ระยะนี้ข้าอาจยุ่งสักหน่อย ต้องเลื่อนไปหลังจากนี้อีกนิด”
“เจ้ายุ่งอะไร” เถ้าแก่หรงถาม คงไม่ใช่ไร่นาไม่กี่หมู่นั่นหรอกกระมัง
เฉียวเวยยิ้มละไม “เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย”
ระหว่างที่คุยกัน เสี่ยวลิ่วก็วิ่งโซเซลงมาจากบนชั้นสอง มือกุมดวงตาข้างหนึ่งไว้พลางสูดปากเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
เฉียวเวยหันไปมองเขา “เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวลิ่ว”
เสี่ยวลิ่วตอบอย่างกลัดกลุ้ม “ผู้หญิงบ้าคนนั้น ข้าอุตส่าห์หวังดีเตือนให้นางเลิกดื่มแล้ว แต่นางกลับซ้อมข้า!”
เฉียวเวยเอามือของเสี่ยวลิ่วออกแล้วสำรวจบาดแผลของเขา “ยังดีต่อยถูกระดูกโหนกคิ้ว ดวงตาไม่เป็นอะไร ข้าจะไปดูสักหนอย”
เสี่ยวลิ่วเตือน “พี่เฉียวท่านต้องระวัง ผู้หญิงบ้าคนนั้นฝีมือร้ายกาจนัก!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉียวเวยพยักหน้าแล้วขึ้นไปบนชั้นสอง
เฉียวเวยได้ยินเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของสตรีคนหนึ่งดังมาตั้งแต่ไกล นางมองตามเสียงไปก็พบว่าดังมาจากหอชิงโยวที่เป็นห้องส่วนตัวที่แพงที่สุดของหรงจี้ ดูท่าผู้หญิงบ้าคนนี้จะมีเงินมากทีเดียว
เฉียวเวยเดินไปทางหอชิงโยวอย่างนิ่งสงบแล้วเปิดประตูห้อง
เพล้ง!
จอกสุราใบหนึ่งกระแทกกับกรอบประตู
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้พวกเจ้าเข้ามา ท่านหญิงคนนี้จะดื่มสุรา! จะดื่มสุราพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ หากกล้ามาก่อกวนท่านหญิงอีก ท่านหญิงจะจับพวกเจ้าเข้าคุกเสียให้หมด!”
เฉียวเวยได้ยินเสียงนี้ก็เดาออกว่าเป็นผู้ใด
สาวน้อยคนนี้ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าธารกำนัลยังกล้าทำตัวเป็นพวกขี้เมา ไม่กลัวบิดานางรู้เข้า จับนางกลับไปตีสักยกหรือไร
เฉียวเวยเคาะบนบานประตู แล้วคลี่ยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้มาห้าม แต่มาดื่มด้วย ว่าอย่างไรคุณหนูตัวหลัว สนใจจะเชิญข้าดื่มสักจอกหรือไม่”
ตัวหลัวหมิงจูหันมามองเฉียวเวยอย่างเมามาย นางดื่มมากเกินไปแล้ว สายตาจึงเลือนรางเล็กน้อย มองอยู่นานกว่าจะจำได้ว่าอีกฝ่ายคือเฉียวเวย ตัวหลัวหมิงจูร้องไห้โฮ “พี่เฉียว!”
สาวน้อยคนนี้ตัวไม่ใหญ่ แต่ร้องไห้ขึ้นมาเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เฉียวเวยรีบงับประตูปิด ไม่ให้ลูกค้าที่ชั้นล่างถูกนางทำตกใจหนีไปหมด
เฉียวเวยเดินมานั่งข้างนาง แล้วกวาดสายตามองขวดเหล้าที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ในใจคิดวานี่ไม่เรียกดื่มสุราแล้ว นี่มันกรอกเหล้าฆ่าตัวตายแล้วกระมัง นางเคยได้ฉายาว่าพันจอกไม่เมา หมื่นจอกไม่ล้ม ก็ยังไม่เคยดื่มอย่างไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้มาก่อน “ท่านเป็นอะไรไป กลางวันแสกๆ จึงวิ่งมาร่ำสุรา”
“พี่เฉียว…” ตัวหลัวหมิงจูร้องไห้ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย “ข้ากำลังจะตาย…ข้ากำลังจะตาย…ฮือ…”
“ท่านกำลังจะตายหรือ” ปฏิกิริยาแรกของเฉียวเวยคือเด็กคนนี้เป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย นางรีบคว้าข้อมือของนางมาจับชีพจรให้นาง แต่ชีพจรก็ปกติ “ท่านทำอะไรกันแน่ เหตุไฉนจึงกำลังจะตาย”
ตัวหลัวหมิงจูร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าไม่ได้ทำอะไร…แต่ท่านพ่อของข้า…”
“ท่านพ่อของท่านเป็นอะไร” เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าบนตัวนางออกมาเช็ดน้ำหูน้ำตาให้นาง จากนั้นดึงแขนเสื้อของนางมาคลุมแก้มของนางไว้ ไม่ให้น้ำมูกกับน้ำตามาเปื้อนบนตัวเฉียวเวย
ตัวหลัวหมิงจูร้องไห้บอกว่า “เขาจะให้ข้าหมั้นกับองค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์…เขาจะให้ข้าแต่งงานไปเผ่าซยงหนีว์…ฮือออ”
[1]มาจากบทกวี ‘กู่เฟิง’ ห้าสิบเก้าบท ประพันธ์โดยหลี่ไป๋ยอดกวีในสมัยราชวงศ์ถัง