หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 144-2 ชิงสมบัติคืน (ต้น)
ปี้เอ๋อร์กินเนื้อรมควันหอมฉุยคำหนึ่งแล้วรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ “ไม่ใช่ ชื่อผักกาดหอมนี่แหละ ฮูหยินบอกว่าที่บ้านเกิดของพวกเขามีมากทีเดียว แต่หลังจากมาที่นี่ก็ไม่เคยเจออีกเลย”
“บ้านเกิดของฮูหยินไม่ใช่เมืองหลวงหรอกหรือ” ชีเหนียงถามอย่างฉงน
ปี้เอ๋อร์ครุ่นคิด “อาจจะหมายถึงบ้านเกิดของเสิ่นฮูหยินกระมัง!”
ชีเหนียงคีบไข่ปลาให้ปี้เอ๋อร์ “เสิ่นฮูหยินเป็นคนเตียนตู พูดถึงเตียนตู อากุ้ยเจ้าจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ในจวนของพวกเราก็มีพ่อครัวที่มาจากเตียนตูคนหนึ่ง ข้าวหลามที่เขาทำอร่อยยิ่งนัก ใส่ข้าวเหนียว เนื้อแดดเดียวแล้วก็ถั่วปากอ้า”
ข้าวเหนียว เนื้อแดดเดียว ถั่วปากอ้า
เฉียวอวี้ซีใกล้ร้องไห้แล้ว
อากุ้ยพูดต่อ “พ่อครัวคนนั้นเป็นคนแถวบ้านเรานั่นแหละ แต่เพื่อเรียกราคาจึงโกหกว่ามาจากเตียนตู อาหารเตียนตูพวกนั้นล้วนเป็นเขาลองทำขึ้นมาเองมั่วๆ แต่รสชาติไม่เลวจริงๆ เนื้อน้ำแดงที่เขาทำนั่นเด็ดจริงๆ!”
เนื้อ น้ำ แดง!
“หากเจ้าอยากกิน คืนนี้ข้าจะทำให้เจ้ากิน ปี้เอ๋อร์อยากกินหรือไม่” ชีเหนียงถาม
ปี้เอ๋อร์กินไข่เจียวกุยช่ายคำหนึ่ง “วันนี้พี่ใหญ่หลัวเหมือนจะไม่ได้ซื้อเนื้อหมูสามชั้นมา อีกเดี๋ยวพวกเราขึ้นเขาไปดูว่ามีเหยื่อเข้ามาในกรงดักบ้างหรือไม่ หากมีก็ย่างกระต่ายป่าสักตัวก็แล้วกัน!”
กระต่าย ป่า ย่าง!
จิตใจของเฉียวอวี้ซีใกล้จะพังทลาย
พวกเจ้ากินข้าวก็กินข้าวไปสิ เหตุใดต้องพูดกันไม่หยุด
ไม่รู้หรือว่าเวลากิน เวลานอนคือตอนที่ไม่สมควรพูด
พวกบ่าวไพร่ช่างไร้การอบรม! ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม!
สตรีคนนั้นเหตุใดจึงยังทำอาหารไม่เสร็จอีก
บ่าวรับใช้ล้วนได้กินก่อนหน้านางแล้ว!
เฉียวอวี้ซีกุมท้องเดินวนไปวนมาในห้อง เมื่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวางหน้าขึงขัง ดึงประตูเปิดเดินออกมาจากห้อง
ข้าเพียงจะไปห้องน้ำ
พวกชีเหนียงตั้งโต๊ะทานอาหารกันในลานบ้าน เมื่อนางก้าวออกจากประตูห้อง กลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลเป็นเท่าทวีก็โถมเข้ามาหานาง นางกำนิ้วมือแน่น กวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่งอย่างว่องไว อาหารโต๊ะใหญ่นัก!
พวกเขาก็เห็นนางแล้ว ชีเหนียงยังไม่ทราบตัวตนของนาง เพียงได้ยินมาว่าเป็นคนที่มากราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชา ประตูห้องของนางปิดอยู่ตลอด ชีเหนียงจึงคิดว่านางคงไปกินที่คฤหาสน์แล้ว ผู้ใดจะคิดว่านางขังตัวอยู่ในห้องมาตลอด
ชีเหนียงไม่รู้สาเหตุ แต่ก็ยังทักทายอย่างมีมารยาท “แม่นาง หากไม่รังเกียจ มากินด้วยกันเถิด”
กินกันไปแล้วเพิ่งจะมาเรียกนาง ไม่มีความจริงใจสักนิด แล้วก็นางไม่กินของที่บ่าวรับใช้ขโยงหนึ่งแตะไปแล้วหรอก!
เฉียวอวี้ซีเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส “ไม่จำเป็น ข้าไม่หิว”
โครกคราก!
ท้องของนางตบหน้าของนางดัง ป้าบ!ป้าบ!ป้าบ!
นางอับอายอย่างยิ่ง
ชีเหนียงกล่าวขึ้นมาอย่างรู้สึกผิด “เมื่อครู่ไม่ทราบว่าท่านอยู่ในห้อง คิดว่าท่านไปกินที่บ้านของฮูหยินแล้ว หากรู้ต้องไปเรียกท่านแน่”
แพขนตาของเฉียวอวี้ซีกระพือไหว “พวกนาง…พวกนางเริ่มกินกันไปแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว กินก่อนพวกเราอีก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่าน…” ชีเหนียงตอบคำ แต่ทันใดนั้นนางก็ตระหนักถึงความผิดปกติ ฟังจากคำพูดของนาง นางไม่รู้ว่าฮูหยินกินข้าวกันแล้ว เหมือนกับว่านางกำลังรอฮูหยินมาเรียกนางอยู่ แต่ฮูหยินไม่มาเรียก แล้วก็ไม่ได้บอกนางให้ทำอาหารเพิ่มเผื่ออีกหนึ่งคน นี่หรือว่า…ฮูหยินจะจงใจปล่อยให้นางหิว
เมื่อครุ่นคิดในใจจบ ชีเหนียงก็ไม่พูดอะไรต่อ ยกชามข้าวขึ้นมากินเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เฉียวอวี้ซีกลับเข้าห้องไปอย่างอับอายและโกรธเกรี้ยว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนเดินทางจากมามารดาของนางยัดสิ่งหนึ่งไว้ในห่อสัมภาระของนาง บอกว่าหากระหว่างทางเกิดหิวขึ้นมาก็เอาออกมากิน
นางช่างโง่เสียจริง เหตุใดจึงลืมเรื่องนี้ได้นะ
เฉียวอวี้ซีรีบเปิดห่อสัมภาระแล้วค้นทีละชิ้นๆ
“หาสิ่งนี้อยู่หรือ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงหยอกล้อของเฉียวเวยก็ดังขึ้นที่ประตู
เฉียวอวี้ซีหันหลับมาก็เห็นปลายนิ้วของนางเกี่ยวสัมภาระห่อน้อยห่อหนึ่งอยู่ คิ้วเรียวของเฉียวเวยขยับ จากนั้นก็เปิดห่อสัมภาระออกเบาๆ “โอ้ ขนมซิ่งเหรินนี่นา”
เฉียวอวี้ซีกลืนน้ำลาย “เจ้าขโมยของของข้า!”
เฉียวเวยยิ้มละไม “เจ้าทำหล่นในสวนบ้านข้าเอง ข้าเพียงเอามาส่งให้เจ้าเท่านั้น”
เฉียวอวี้ซีโกรธจัด “เจ้าพูดเหลวไหล! สัมภาระของข้าห่ออย่างดี จะมีของร่วงได้อย่างไร”
เฉียวเวยผายมือ “เรื่องนี้ต้องถามตัวเจ้าเองแล้ว แม้ต่ขนมซิ่งเหรินห่อเดียวยังรักษาไว้ไม่ได้ นิสัยเช่นเจ้า ไปถึงเผ่าซยงหนีว์แล้วจะดูแลตัวเองได้อย่างไร”
คำพูดนี้แทงใจดำเฉียวอวี้ซีอย่างจัง จากคู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดี พริบตาเดียวนางกลับกลายเป็นพระชายาที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนีว์ หล่นจากสวรรค์มายังนรกก็คงไม่พ้นเป็นเช่นนี้
“คืนของมาให้ข้า!”
“ได้”
เฉียวเวยยื่นแขนออกมาอย่างฉับไวยิ่งนัก “เอ้า”
สตรีนางนี้เหตุใดจึงยอมง่ายๆ เช่นนี้ นางจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
เฉียวอวี้ซีมองเฉียวเวยอย่างลังเล ทว่าพริบตานี้ที่มองนี้เองก็ถูกจูเอ๋อร์ฉวยช่องว่าง โผล่พรวดออกมาแย่งห่อสัมภาระใบน้อยในมือเฉียวเวยหนีไป…
…
สุดท้ายเฉียวอวี้ซีก็ไปถอนหญ้าในสวน เฉียวเวยสาธิตให้นางดูอยู่สองสามหน
ในสวนนอกจากกุหลาบขาวก็ไม่ได้ปลูกพืชชนิดอื่น วัชพืชมีไม่มากแล้วยังแยกง่ายยิ่งนัก หนึ่งเค่อก็ถอนเสร็จ น่าเสียดายคุณหนูเฉียวผู้เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ มือนุ่มผิวบาง ตากแดดไม่ได้ แตะของสกปรกก็ไม่ไหว นางสวมถุงมือหนังเพียงพอนราคาแพงคู่หนึ่ง กรีดนิ้วใช้จอบค่อยๆ ขุดต้นหญ้าทีละนิด ขุดไปพลางก็นึกไปด้วยว่ารูปลักษณ์ของตนยังงดงามอยู่หรือไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงต้องตรากตรำทำจนตกบ่ายกว่าจะถอนวัชพืชในสวนจนหมด
เมื่อนางลากสังขารอันเหนื่อยล้าไปกินอาหารในคฤหาสน์ได้ในที่สุด ทั้งโต๊ะก็เหลือแต่อาหารเย็นชืดแล้ว
“เจ้าจะให้ข้ากินสิ่งนี้หรือ” นางเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
เฉียวเวยตอบเสียงเรียบ “มีของกินก็ไม่เลวแล้ว ตอนพวกเราสามแม่ลูกไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีแม้แต่อาหารเหลือด้วยซ้ำ!”
“ข้าไม่กิน!”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ มองนาง “กินไม่กินก็เรื่องของเจ้า ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ตอนบ่ายยังต้องไปทำงานในแปลงนา ต้องใช้แรงมากมายนัก หากเจ้าคิดว่าหิ้วท้องหิวไม่เป็นอะไร ถ้าเช่นนั้นก็หิวต่อไปเถอะ”
เฉียวอวี้ซีกลับห้องอย่างคับแค้น หนนี้กิริยามารยาททั้งหมดของนางถูกบีบคั้นจนไม่เหลือแม้สักนิด นางปิดประตูดังโครม เสียงดังยิ่งนักจนแม้แต่ตัวนางเองยังตกใจสะดุ้งโหยง!
น่าเสียดายพวกชีเหนียงไปทำงานในโรงงานแล้ว ต่อให้นางทำเสียงดังโครมครามอีกเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดวิ่งมาสนใจนาง
นางนั่งบนหัวเตียงอย่างหดหู่ ยกสองแขนกอดหัวเข่า ซุกศีรษะลงในหว่างแขนแล้วสะอื้นไห้
นางไม่เคยอับจนหนทางเช่นตอนนี้มาก่อน นางรู้สึกว่าโลกทั้งใบล้วนกำลังกลั่นแกล้งนาง ทุกคนล้วนกำลังหัวเราะเยาะนาง นางเหนื่อยแทบเป็นแทบตาย ทว่าแม้แต่ข้าวสักมื้อก็ยังไม่ได้กิน…
เฉียวเวยเคาะประตูห้องของนาง “ไปได้แล้ว”
“ไปที่ใด” เฉียวอวี้ซีถามอย่างเย็นชา
เฉียวเวยยิ้ม “ไปไร่สิคุณหนูใหญ่เฉียว ฮ่องเต้ส่งเจ้าเรียนวิชากับข้าที่นี่ ข้าก็ต้องสั่งสอนเจ้าให้ดีสิ ไม่กล้ามีเจตนาส่วนตัวแอบแฝง”
เฉียวอวี้ซีกัดฟัน “เจ้าเอางานส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวชัดๆ!”
เฉียวเวยถอนหายใจ “โถ กลางวันแสกๆ มาพูดความจริงอะไรกันเล่า”
“เจ้า…” เฉียวอวี้ซีเกือบสำลักตาย!
“ข้านับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะใช้ไม้แข็งแล้ว หนึ่ง สอง”
“เจ้าอย่าผันไปเลย ข้าไม่มีทางไป!”
“สาม”
โครม!
เฉียวเวยถีบประตูเปิด
เฉียวอวี้ซีขัดกลอนประตูไว้แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าสตรีนางนี้บอกจะถีบก็ถีบ แล้วยังถีบหนเดียวหักอีก!
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร” เฉียวอวี้ซีถามอย่างหวาดกลัว
“ข้าบอกแล้ว หากนับถึงสามเจ้ายังไม่ออกมา ข้าก็ต้องใช้กำลังบังคับให้เจ้าออกมา ที่แท้คุณหนูใหญ่ผู้บอบบางอย่างพวกเจ้าก็ชอบถูกผู้อื่น ‘เชิญ’ สินะ” เฉียวเวยคว้าหัวไหล่ซ้ายของนาง
เฉียวอวี้ซีคิดจะดิ้นรน แต่กลับพบว่ามือของเฉียวเวยหนีบนางไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก นางกระดิกไม่ได้แม้แต่น้อย “เจ้าปล่อยข้า! เจ้าคนชั่วช้า!”
เฉียวเวยยิ้มหยัน แขนออกแรงครั้งเดียวก็กระชากนางลงมาจากเตียง เพราะศูนย์ถ่วงไม่สมดุล นางจึงถลาลงไปที่พื้น หัวเข่ากระแทกจนบวม มือก็ขูดจนถลอกปอกเปิด หลังจากนั้นก็ถูกเฉียวเวยหิ้วไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำเกินไปแล้ว! ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางคนหนึ่ง เจ้าทำเช่นนี้กับข้า เจ้าต้องถูกกรรมตามสนอง! กรี๊ด…”
นางยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกเฉียวเวยลากออกไป
มัวมัวทั้งสองคนหิ้วเครื่องมือยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ พวกนางมองเฉียวอวี้ซีอย่างเฉยชา แล้วเคลื่อนสายตาออกโดยที่สีหน้าไร้อารมณ์
“มัวมัว! ซุนมัวมัวช่วยข้าด้วย! ฟางมัวมัวช่วยข้าด้วย!” เฉียวอวี้ซีร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
เฉียวเวยโยนนางลงบนพื้น “ตอนนี้เจ้าจะเดินไปเอง หรือจะให้ข้าลากเจ้าไป”
เฉียวอวี้ซีล้มลุกคลุกคลานอย่างน่าเวทนายิ่งนัก นางวิ่งไปข้างตัวมัวมัวทั้งสองแล้วคว้ามือของฟางมัวมัวเอาไว้ “ฟางมัวมัว ท่านก็เห็น! นางทำเช่นนี้กับข้า! ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านางมีความแค้นกับข้า นางเพิ่งจะยอมรับออกมาเองว่านางเอางานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว! ฟางมัวมัว ท่านรีบกราบทูลฝ่าบาทที!”
ฟางมัวมัวตอบอย่างเข้มงวด “ฝ่าบาทมีรับสั่ง หากร่ำเรียนวิชาการเกษตรไม่สำเร็จ ผู้ใดก็อย่าคิดออกไปจากที่นี่ คุณหนูเฉียวอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นก็เรียนวิชาการเกษตรให้เป็นก่อนเถิด”
เฉียวอวี้ซีสิ้นหวังแล้ว
เฉียวเวยพาพวกนางไปยังแปลงนาทางตะวันออกของหมู่บ้าน ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังทำนากันอยู่ หมู่บ้านว่างเปล่า มีเพียงผู้เฒ่าอายุมากสองสามคนนั่งอยู่หน้าบ้าน ผู้เฒ่าบางคนกุมไม้เท้านั่งหลับสัปหงก
“ที่นี่แหละ” เฉียวเวยหยุดยืนหน้าไร่ข้าวฟ่าง “ตอนนี้เป็นช่วงที่ข้าวฟ่างอร่อยที่สุด รอเมล็ดบนรวงของมันสุกจนหมด ต้นก็จะแก่ วันนี้ตัดสักสองสามต้นกลับไปลองชิมก่อน”
เฉียวเวยก้มตัวลงใช้เคียวตัดข้าวฟ่างออกมาต้นหนึ่ง
ฟางมัวมัวกับซุนมัวมัวทำตาม มีแต่เฉียวอวี้ซีนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
แม้แต่มีดปอกผลไม้นางก็ยังไม่เคยจับ เคียวหนาเช่นนี้…น่า น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เฉียวเวยเห็นนางหน้าซีดเผือดแต่กลับไม่สงสารแม้แต่นิด ตอนนั้นที่คุณหนูใหญ่เฉียวถูกขับไล่ออกจากตระกูล นางก็คงเคยเผชิญความหวาดกลัวแบบเดียวกัน สิ่งที่ยากลำบากกว่าก็คือคุณหนูใหญ่เฉียวมีแผลจากคมกระบี่บนร่าง ทั้งยังต้องแบกรับถ้อยคำด่าทอ แล้วยังอุ้มท้อง
เทียบกับการกระทำทั้งหมดทั้งมวลของเรือนรอง การลงโทษเท่านี้ของตนเองไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากกินอาหารเย็นด้วยสินะ”
“ข้าทำไม่เป็น…”
เฉียวเวยตอบอย่างเฉยเมย “ทำไม่เป็นก็เรียนสิ ผู้ใดเกิดมาแล้วทำเรื่องนี้เป็นบ้าง”
เฉียวอวี้ซีโต้อย่างโกรธแค้น “เจ้าไม่เคยโดนกับตัวเองจะไปรู้อะไร! ข้ากับเจ้าเหมือนกันหรือ เจ้าเกิดมาเป็นชาวบ้านต้อยต่ำ ข้าเป็นคุณหนูแห่งจวนเอินปั๋ว ตั้งแต่เล็กข้าวที่ข้ากินก็แพงกว่าเกลือที่เจ้ากิน!”
เพียะ!
เฉียวเวยตบนางหนึ่งฉาด
“ฝ่ามือนี้ คืนให้เจ้าแทนพี่สาวของเจ้า”
เฉียวอวี้ซีถูกตบจนมึนงง ลืมแม้กระทั่งขบคิดว่าประโยคนี้หมายความเช่นไร นางถูกสายตาเปี่ยมจิตสังหารของเฉียวเวยจ้องอยู่สองวินาทีก็หวาดกลัวจนหยิบเคียวขึ้นมาเกี่ยวต้นข้าวฟ่างอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา
…
ขณะที่เฉียวอวี้ซีต้องลำบากตรากตรำอยู่บนภูเขา ชีวิตของสวีซื่อที่อยู่ในจวนก็ไม่ได้ดีสักเท่าใด บุตรชายถูกแทงบาดเจ็บสาหัส หมดสติตัวร้อนอยู่หลายวันนัก ไม่รู้ว่าสมองจะร้อนจนพังเสียหรือเปล่า บุตรสาวก็ถูกบีบให้ไปชนบท ร่ำเรียนวิชาการเกษตรอะไรนั่น ไม่เข้าท่าจริงๆ! นี่เป็นการหาวิธีทรมานบุตรสาวของนางชัดๆ ไม่ใช่หรือ
“ฮูหยิน ดื่มชาเจ้าค่ะ” ตานจวี๋ยกชาร้อนถ้วยหนึ่งมาให้
สวีซื่อโบกมืออย่างหมดเรี่ยวแรง “ข้าไม่ดื่ม หลินมามาเล่า ยังไม่กลับมาหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ” ตานจวี๋เพิ่งเอ่ยจบ หลินมามาก็เปิดม่านเดินเข้ามา!
หลินมามากระหืดกระหอบ “ฮูหยิน ฮูหยิน ข้าหาเจอแล้วว่าคุณหนูใหญ่ไปกราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชาที่ใด!”
“ที่ใด!” สวีซื่อลุกขึ้นมานั่งตัวตรง
หลินมามาตอบ “หมู่บ้านที่พวกเราไปก่อนหน้านี้!”
หมู่บ้านของนางคนต่ำช้าคนนั้นหรือ
แย่แล้ว ลูกสาวจะพบนางคนต่ำช้าผู้นั้นหรือไม่ นางคนต่ำช้าคนนั้นเล่ห์กลร้ายกาจไม่ธรรมดา หากลูกสาวถูกเล่นงานเข้าจะทำอย่างไร ลูกสาวย่อมไม่ใช่คู่ต่อกรของนาง!
“เร็ว! รีบเตรียมรถ!”
สวีซื่อกับหลินมามาขึ้นรถม้าได้ก็แล่นรถมุ่งไปยังประตูเมืองทิศใต้ทั้งที่เป็นเวลากลางคืน น่าเสียดายประตูเมืองทิศใต้ปิดแล้ว
สวีซื่อใจร้อนดังไฟลน
หลินมามากล่อมว่า “ฮูหยิน ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด บ่าวจะรออยู่ที่นี่เอง พอฟ้าสาง ประตูเมืองเปิดแล้ว บ่าวจะไปตามหาคุณหนูใหญ่ทันที!”
“นางอยู่ในหมู่บ้านของผู้หญิงคนนั้น เจ้าจะให้ข้าวางใจได้อย่างไร” นางนึกถึงตอนที่สตรีนางนั้นตีเลี่ยวเกอร์จนตายด้วยมือเปล่า แล้วยังทำร้ายลูกน้องของเลี่ยวเกอร์อีกมากมาย บุรุษสิบกว่าคนยังมิใช่คู่ต่อกรของนาง นางหวาดกลัวจนทั้งร่างสั่นระริก! “เจ้ารีบไปหานายท่าน! ดูซิว่าเขามีหนทางให้คนเปิดประตูเมืองหรือไม่!”
“เจ้าค่ะๆ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าไม่ต้องไป! เจ้าเชื่องช้าจะตาย! ให้เขาไป!”
นางพูดถึงคนขับรถม้า
คนขับรถม้าขี่อาชาตัวหนึ่งกลับไปยังจวนสกุลเฉียว บังเอิญว่าคืนนี้เฉียวเย่ว์ซานทำงานอยู่ในวังหลวง คนขับรถม้าจึงไม่พบเขา
สวีซื่อรออยู่ที่ประตูเมืองตลอดทั้งคืน จนในที่สุดประตูเมืองก็เปิดออก “เร็ว! รีบไปหมู่บ้านนั้น!”
คนขับรถม้าหวดแส้เร่งม้า จนในที่สุดก็เร่งรีบมาถึงหมู่บ้านซีหนิวได้ก่อนเที่ยง หลังจากสอบถามก็ทราบว่าผู้บุกเบิกที่ดินร้างอยู่บนเขา นางไม่พูดพร่ำขึ้นเขาไปทันที
ตอนเช้าเฉียวอวี้ซีก็ดื้อดึงไม่ยอมทำงานอีกแล้ว ในที่สุดเมื่อทำจนเสร็จจึงสายมากแล้ว พอกลับมาถึงโต๊ะอาหารก็มีแต่อาหารเหลือเย็นชืด แต่นางหิวมาหนึ่งวันกับหนึ่งคืน นางไม่มีแรงเหลือจะจู้จี้อีกแล้ว
สวีซื่อพุ่งเข้ามาในคฤหาสน์ ตามหาลูกสาวทีละห้องๆ ในที่สุดก็พบร่างของลูกสาวอยู่ในห้องครัว
นางแทบจะจำไม่ได้
นี่คือบุตรสาวของนางจริงหรือ
ผมเผ้ากระเซิงใบหน้าเปรอะเปื้อนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ถือหมั่นโถวลูกโตลูกหนึ่งยัดตะกรุมตะกรามเข้าปาก อีกมือหนึ่งถือน่องไก่หนึ่งน่อง ฉีกกินอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
สวีซื่อน้ำตาไหลในพริบตา!
…
ดอกกุหลาบขาวบานอวดโฉมในสวนกว้าง
เฉียวเวยฮัมเพลงไปพลางรดน้ำกุหลาบไปด้วย เสี่ยวไป๋เดิมตามนางต้อยๆ แล้วถือโอกาสจับไส้เดือนน้อยในดินออกมาเล่นสองสามตัว
รดน้ำได้พอประมาณแล้วก็หันบัวรดน้ำไปทางเสี่ยวไป๋ “ล้างเล็บของเจ้าให้สะอาด!”
เสี่ยวไป๋ยื่นกรงเล็บเพียงพอนน้อยออกมาล้างอย่างพิถีพิถัน
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็อุ้มเสี่ยวไป๋กลับเข้าบ้าน
ไม่ผิดจากที่คาด สวีซื่อกำหมัดแน่นยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาประหนึ่งคมดาบเหมือนกับอยากจะสังหารนางเสีย
เฉียวเวยยิ้มละไม “อ้าว นี่ไม่ใช่อาสะใภ้รองหรอกหรือ ลมอะไรหอบอาสะใภ้รองมาเล่า”
กล่าวจบนางก็ไม่รอบสวีซื่อตอบ แต่เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันกลับมามอง จากนั้นวางเสี่ยวไป๋ไว้บนโต๊ะ ส่วนตนเองก้มลงไปหยิบตะกร้าปักผ้าขึ้นมา “มาๆ พี่สาวจะทำเสื้อผ้าสวยๆ ให้เจ้าสักชุด”
เสี่ยวไป๋ดวงตาเป็นประกาย!
เฉียวเวยหยิบผ้าชิ้นน้อยสีแดงออกมาสองชิ้น
เสี่ยวไป๋คิดในใจ ‘นี่คือสิ่งใด! เหตุใดจึงประหยัดผ้าเช่นนี้!’
เฉียวเวยฉีกยิ้ม “พี่สาวจะทำบิกินี่ให้เจ้า มาลองสวมดูว่าหล่อหรือไม่”
ไม่เอา!
เสี่ยวไป๋กางกรงเล็บตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ถูกนิ้วของเฉียวเวยกดไว้บนโต๊ะ
“เอ๋ง เอ๋ง เอ๋ง!”
“เหมียว เหมียว เหมียว!”
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด!”
เสี่ยวไป๋ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาอันน่าตกตะลึงเรียนภาษาต่างเผ่าพันธุ์ได้ถึงสามภาษา
สวีซื่อผู้ถูกเมินอย่างสิ้นเชิงเดินเข้ามาอย่างเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง “เฉียวเวย!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “อาสะใภ้รองเรียกข้าหรือ” จากนั้นก็หันไปมองเสี่ยวไป๋ผู้พยายามจะหลบหนีเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนในมือ “หากขยับอีกข้าจะซ้อมเจ้าเสีย”
เสี่ยวไป๋นิ่ง
ต่อให้อยู่ในฝันสวีซื่อก็คิดไม่ถึงว่าผู้บุกเบิกที่ดินรกร้างที่ฮ่องเต้กล่าวถึงจะเป็นบุตรสาวที่ถูกทอดทิ้งและถูกขับออกจากตระกูลผู้นี้ สวีซื่อมองดูเพียงพอนหิมะที่ราคาไม่ธรรมดาตัวนั้น แล้วมองผ้าไหมน้ำแข็งที่นางถืออยู่ในมือ ผ้าราคาแพงเช่นนี้นำมาใช้กับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง นางช่างร่ำรวยจริงนะ!
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้กับซีเอ๋อร์ นางไม่รู้เรื่องของเจ้าสักนิด นางเป็นผู้บริสุทธิ์”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ตอนนั้นข้าไม่บริสุทธิ์หรือไร”
สวีซื่อเลิกคิ้ว “เจ้าทำลายเกียรติยศของตระกูล! ตระกูลเฉียวทั้งตระกูลต้องอับอายขายหน้า!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ว่าข้าถูกใส่ร้าย ตัวข้าเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดจึงปรากฏตัวอยู่บนเตียงของยิ่นอ๋อง ข้าถูกกระบี่แทงหนึ่งแผลโดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่านเป็นอาสะใภ้ของข้า แต่ท่านทำอะไร ท่านไม่รักษาข้า ไม่ทวงความยุติธรรมให้ข้า แต่กลับขับไล่ข้าออกจากตระกูล ท่านช่างเป็นอาสะใภ้ที่ดีของข้าจริงๆ!”
พยัคฆ์ลงเขาจึงถูกสุนัขรังแกก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หากอยู่ที่เมืองหลวง นางย่อมไม่กลัวสาวน้อยคนนี้ แต่ยามนี้บุตรสาวอยู่ในกำมือนาง นางเกรงว่าบุตรสาวจะเป็นอันตรายจึงมิอาจทำอันใดนางได้ “เจ้าจะเอาอย่างไรจึงจะปล่อยลูกสาวของข้า”
เฉียวเวยลูบขนของเสี่ยวไป๋ “นี่เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ อยากจะพานางจากไป ท่านก็ไปขอร้องฮ่องเต้ให้เรียกคืนคำสั่งก็พอแล้ว”
นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าสวีซื่อไม่มีทางโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ ต่อให้เป็นเสนาบดีสักคน ก็ไม่แน่ว่าจะโน้มน้าวได้ผล เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าได้ผลและเป็นไปได้
นิ้วมือของสวีซื่อจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ “เจ้าไม่กลั่นแกล้งนางไม่ได้หรือไร”
เฉียวเวยยิ้ม “ไม่กลั่นแกล้งนางก็ได้ ขอเพียงท่านรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไขอะไร”
“กิจการของเรือนใหญ่รวมถึงสินเดิมของมารดาข้า คืนมาให้หมด!”