หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 147-2 ปิดฉากอย่างงดงาม
จีหมิงซิวมองความคิดของฮ่องเต้ออก ย่อมกล่าวตอบดังเช่นที่ฮ่องเต้ต้องการฟัง
“แต่” จีหมิงซิวเว้นวรรคนิดหนึ่ง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเถียงเรื่องนี้ ยิ่นอ๋องกับคุณหนูเฉียวล้วนเป็นคนต้าเหลียง ไม่ว่าเป็นความผิดของผู้ใด ในสายตาของเผ่าซยงหนีว์ล้วนเป็นการดูถูก”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ฝ่ามือใหญ่กุมหัวมังกรบนพระที่นั่งแน่น แล้วถอนหายใจถามว่า “จากความเห็นของเจ้า ตอนนี้สมควรทำอย่างไร”
จีหมิงซิวตอบว่า “องค์ชายรองต้องการท้าประลองกับท่านอ๋อง ศึกนี้ คิดว่าคงหลีกเลี่ยงมิได้แล้ว แต่ท่านอ๋องจะชนะไม่ได้ ต้องแพ้เท่านั้น”
คืนนั้นฮ่องเต้เชิญขุนนางบุ๋นบู๊กับทูตจากเผ่าซยงหนีว์มาร่วมเป็นประจักษ์พยานในการต่อสู้ระหว่างองค์ชายรองกับยิ่นอ๋อง
การประลองมวยปล้ำ ห้ารอบชนะสามรอบ กฎของมวยปล้ำยึดตามฝั่งซยงหนีว์ ทั้งสองฝ่ายต่างส่งแม่ทัพผู้เป็นวรยุทธ์สองคนมาเป็นกรรมการ ยุติธรรมอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้กำชับยิ่นอ๋องอีกหนว่าต้องล้มมวย ต้องแพ้ ทักษะการประลองมวยปล้ำของยิ่นอ๋องเหนือกว่าองค์ชายรองแท้ๆ แต่เพื่อให้องค์ชายรองได้คลายโทสะหนนี้ เขาจึงจำต้องพ่ายแพ้ยับเยินต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลาย
ยิ่นอ๋องสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
องค์ชายรองขึ้นมาบนลานประลองอย่างฮึกเหิม เขาต้องการล้มยิ่นอ๋อง เขาต้องชนะแย่งพระชายากลับเผ่า เขาต้องชนะเท่านั้น เขาจึงจะเป็นวีรบุรุษแห่งทุ่งหญ้า!
ฮ่องเต้ขยับมือให้สัญญาณ ทั้งสองคนจึงเริ่มประลองมวยปล้ำ
เริ่มแรกยิ่นอ๋องจำคำกำชับของฮ่องเต้ได้ จึงจงใจแพ้หนึ่งรอบ
พอรอบที่สององค์ชายรองเอ่ยชื่อเฉียวอวี้ซีออกมา ขาของยิ่นอ๋องก็พลันควบคุมไม่ได้ เตะตวัดกวาดองค์ชายรองลงมากองกับพื้น จากนั้นก้าวเข้าไปผลักองค์ชายรองล้มกลิ้ง ใช้แขนขาจับองค์ชายรองเอาไว้
ประมือรอบที่สอง ยิ่นอ๋องชนะ
ฮ่องเต้โกรธจนมุมปากกระตุก
ฝูกงกงทูลอย่างกระอักกระอ่วน “ห้ารอบชนะสามนี่พ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะพ่ายแพ้น่าเกลียดเกินไปไม่ได้ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ยิ่นอ๋องรู้ตัวว่าทำพลาดแล้ว หากสู้เช่นนี้ต่อไป ล่วงเกินเผ่าซยงหนีว์ยังไม่พอ แม้แต่เฉียวอวี้ซีผู้หญิงจิตใจชั่วช้าคนนั้นก็สลัดไม่หลุด เขาต้องโยนตัวก่อเภทภัยคนนี้ทิ้งให้ได้!
ทว่ายิ่งเขาคิดเช่นนี้ มือเท้าก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ เหวี่ยงข้ามบ่าอย่างงดงามอีกหนหนึ่ง คว้าชัยรอบที่สามมาครอง
หากชนะอีกรอบหนึ่ง เขาย่อมชนะโดยสมบูรณ์แล้ว
ฮ่องเต้เรียกเขามายังตำหนักข้างแล้วด่าจนไม่เหลือดี “เจ้าทำอันใดกัน ไม่ได้บอกให้เจ้าล้มมวยหรือ เจ้ายังจะตั้งใจสู้เสียเช่นนี้ เจ้าจะต้องล่วงเกินผู้อื่นให้ถึงที่สุดจึงจะพอใจใช่หรือไม่!”
ยิ่นอ๋องอยากบอกว่ามือเท้าของเขามันไม่ฟังคำสั่ง แต่คำพูดบ้าบอเช่นนี้ ฮ่องเต้จะเชื่อหรือ ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ไม่เชื่อ ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าตนเองถูกผีเข้าเลย!
หลังจากยิ่นอ๋องออกมาไปแล้ว ฮ่องเต้ก็เรียกจีหมิงซิวเข้ามา “สือชีอยู่หรือไม่”
“อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“บอกสือชี ห้ามให้ยิ่นอ๋องชนะ”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “กระหม่อมรับบัญชา”
บิดาของเจ้าออกคำสั่งให้ข้าตีเจ้าได้ โอกาสเช่นนี้พันปียากจะมีสักหน จิ๊ๆ!
สองรอบต่อจากนั้นองค์ชายรองราวกับมีเทพยาดาคอยช่วยเหลือ จับทุ่มจับเหวี่ยงได้สบายๆ ทุ่มจนยิ่นอ๋องจนลุกไม่ขึ้น
องค์ชายรองมองสองมือของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ พลังของความรักช่างยิ่งใหญ่จริงๆ เขาเก่งกาจขึ้นถึงเพียงนี้เชียว!
ในที่สุดองค์ชายรองก็ชนะสามรอบ ชนะการประลองมวยปล้ำหนนี้
ทูตแห่งเผ่าซยงหนีว์ทั้งหลายโห่ร้องด้วยความยินดี องค์ชายของพวกเขาแย่งพระชายากลับมาแล้ว! ไม่เสียทีเป็นอินทรีหนุ่มแห่งทุ่งหญ้า เป็นความภาคภูมิใจของเผ่าซยงหนีว์!
ทูตทั้งหลายพากันคุกเข่า คำนับเต็มพิธีการอย่างเผ่าซยงหนีว์ให้แก่องค์ชายรอง
นี่เป็นสิ่งที่ข่านแห่งเผ่าซยงหนีว์เท่านั้นที่จะได้รับ แต่ตอนนี้พวกเขามอบมันให้แก่องค์ชายรอง แสดงให้เห็นว่าในใจพวกเขาภาคภูมิใจในตัวองค์ชายรองมากเพียงใด
เหล่าขุนนางแห่งต้าเหลียงมีสีหน้ามึนงง สตรีชื่อเสียงมีมลทินผู้หนึ่งมีอะไรให้น่าแย่งชิง สมองโดนน้ำเข้ากันไปหมดแล้วหรือ!
การประลองมวยปล้ำจบลง ทูตทั้งหลายแห่งเผ่าซยงหนีว์เดินกลับตำหนักอย่างฮึกเหิมและสง่าผ่าเผย ส่วนยิ่นอ๋องบาดเจ็บหนักเดินไม่ไหวต้องถูกคนหามออกไป
ฮ่องเต้เผาร่างราชโองการที่จะเลื่อนตำแหน่งให้ยิ่นอ๋อง แล้วออกคำสั่งให้ยิ่นอ๋องกักบริเวณหนึ่งเดือน
ทว่าเรื่องราวยังไม่จบ ยิ่นอ๋องมีสัญญาณหมั้นหมายกับตัวหลัวจื่ออวี้อยู่แล้ว แต่ยังวิ่งไปหาความสำราญกับหญิงอื่น หนนี้นับว่าตบหน้าตระกูลตัวหลัวมิใช่หรือ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือสตรีนางนี้ยังเป็นผู้ที่เคยมีความขัดแย้งกับตระกูลตัวหลัวด้วย นี่เป็นการหยามตระกูลตัวหลัวมากเพียงใด
ตระกูลตัวหลัวกล้ำกลืนโทสะหนนี้ไม่ไหวจึงเอ่ยว่าจะยกเลิกงานแต่งงาน
ฮ่องเต้รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดจึงไม่สะดวกจะตำหนิผู้อื่น พระองค์จูงมือแม่ทัพตัวหลัวมาปลอบซ้ายปลอบขวา สุดท้ายจึงรับประกันกับตระกูลตัวหลัวว่ายิ่นอ๋องจะตบแต่งตัวหลัวจื่ออวี้เป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีชายารองเด็ดขาด จึงสงบเพลิงโทสะของตระกูลตัวหลัวได้อย่างหวุดหวิด
ฮ่องเต้เก็บความขัดเคืองนี้ไว้เต็มอก แล้วให้คนเรียกเฉียวเย่ว์ซานเข้าวังมาทั้งตอนกลางคืน
เฉียวเย่ว์ซานคิดว่าฮ่องเต้จะเลื่อนตำแหน่งให้เขาอีก เขายังนึกดีใจอยู่เลย ไหนเลยจะรู้ว่าเข้าประตูมาก็ถูกฮ่องเต้ด่าแสกหน้า “…เจ้าสั่งสอนลูกสาวประสาอะไร! ถึงมาวางยาพระโอรสของข้า! ตอนนี้ทั้งราชวงศ์ถูกพวกเจ้าตระกูลเฉียวทำให้ขายหน้าหมดสิ้นแล้ว!”
เฉียวเย่ว์ซานมึนงงยิ่งนัก ลูกสาวเขาไม่ได้ขึ้นเขาไปกราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชาหรอกหรือ จะวางยายิ่นอ๋องได้อย่างไร
ฮ่องเต้โมโห “เจ้าไม่ต้องมาสำนักหมอหลวงแล้ว! กลับบ้านไปเก็บตัวทบทวนความผิดเสีย!”
นี่จะได้อย่างไร หัวหน้าสำนักหมอหลวงกำลังทำเรื่องเกษียณแล้ว หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เขาคงเป็นผู้สืบต่อตำแหน่ง แต่หากเขากลับบ้านไปเก็บตัวทบทวนความผิด เกิดพลาดการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ตำแหน่งก็หลุดลอยจากมือน่ะสิ!
เฉียวเย่ว์ซานคุกเข่า “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย!”
ระงับโทสะอะไรของเจ้า!
ข้าเพลิงโกรธสุมเต็มทรวงขนาดนี้!
ผลที่ตามมาร้ายแรงนัก!
ฝูกงกงดึงเฉียวเย่ว์ซานออกไป “ข้าไม่ได้เห็นฝ่าบาทพิโรธมานานแล้ว รองหัวหน้าสำนักเฉียวอย่าไปกระตุ้นโทสะของฝ่าบาทเลย”
เฉียวเย่ว์ซานถามว่า “กงกงทราบหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ฝูกงกงเล่าเรื่องที่องค์ชายรองไปพบว่ายิ่นอ๋องกับเฉียวอวี้ซีลักลอบพบกันให้ฟัง “ท่านอ๋องบอกว่าตนเองถูกคนวางยา”
เฉียวเย่ว์ซานร้อนใจแล้ว “ถึงอย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือลูกสาวข้านี่! หากเป็นผู้อื่น…”
แววตาของฝูกงกงเคร่งขรึมขึ้นมา “ผู้อื่นที่อยู่ด้วยในยามนั้นมีเพียงอัครมหาเสนาบดี อัครมหาเสนาบดีเป็นผู้เสนอให้ไปเยี่ยมเยือน ใต้เท้ากำลังสงสัยอัครมหาเสนาบดีหรือ”
เฉียวเย่ว์ซานกลืนน้ำลาย “…ไม่กล้า”
ระหว่างทางกลับจวน เฉียวเย่ว์ซานพิจารณาสถานการณ์ระหว่างยิ่นอ๋องกับบุตรสาวอย่างละเอียด ในใจก็คาดเดาบางสิ่งได้คร่าวๆ หลังจากเข้ามาในจวน เขาไม่ได้กลับไปยังเรือนหลัก แต่ไปที่ห้องเก็บของก่อน เมื่อเห็นว่าขวดที่ฝุ่นจับเต็มคู่นั้นไม่อยู่แล้วก็โกรธจนหน้าเขียว พรวดพราดเข้าไปในห้องของสวีซื่อ
สวีซื่อกำลังเลือกผ้าให้บุตรชายบุตรสาวอยู่ เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นางอยากจะตัดเสื้อผ้าให้ลูกๆ สักหลายชุด เมื่อเห็นเฉียวเย่ว์ซานเดินเข้ามา นางกลับไม่เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย
ตานจวี๋กับหลินมามาคำนับ “นายท่าน”
เฉียวเย่ว์ซานสั่งเสียงเข้ม “พวกเจ้าออกไป”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แต่สุดท้ายก็ขานรับ “เจ้าค่ะ”
ในห้องกว้างเหลือเพียงเฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อ เฉียวเย่ว์ซานคว้าคอเสื้อของนางแล้วตวาดอย่างไม่อาจระงับโทสะ “เจ้าทำเรื่องโง่เขลาอะไรอีกแล้ว”
ยามปกติแม้เฉียวเย่ว์ซานจะเฉยชาต่อสวีซื่อแต่ก็มิเคยลงไม้ลงมือ แทบจะในพริบตาที่ถูกคว้าคอเสื้อ สวีซื่อก็ตะลึงงัน “ท่านจะทำอันใด”
เฉียวเย่ว์ซานย้อนถามเสียงเย็นชา “คำพูดนี้ข้าสมควรเป็นฝ่ายถามเจ้า เจ้าทำอันใดลงไป ยาของข้าไปไหนแล้ว”
“ยา ยาอันใดของท่าน” สวีซื่อย้อนถามกลับ
เฉียวเย่ว์ซานคว้าคอเสื้อของนาง หิ้วจนตัวนางลอยขึ้นมาจากเก้าอี้ “ยาในห้องเก็บของ! ข้าจำได้ว่าข้าเคยกำชับเจ้าแล้ว ทุกสิ่งในห้องเก็บของล้วนแตะต้องได้ ยกเว้นยาอย่างเดียวที่ห้ามแตะ!”
แววตาของสวีซื่อทอประกายวูบหนึ่ง “ข้าไม่ได้แตะสักหน่อย! ผู้ใดจะรู้ว่ายาของท่านไปอยู่ที่ใด ห้องเก็บของมีหนูมากมายปานนั้น บางทีอาจถูกหนูทำแตกไปแล้ว! ห้องเก็บของมีคนเข้าไปทำความสะอาดเป็นระยะ อาจจะกวาดขวดที่แตกทิ้งไปแล้วก็ได้!”
เฉียวเย่ว์ซาน “ข้ายังไม่ได้พูดว่าเป็นขวด”
สวีซื่อหน้าซีด
ผลัวะ!
ประตูถูกผลักเปิด
เฉียวจ้งชิงนั่งอยู่บนรถเข็น มีคนรับใช้เข็นเข้ามา เขาหันไปมองเฉียวเย่ว์ซานแล้วบอกว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าตำหนิท่านแม่เลย เป็นความคิดของข้าเอง ข้าอยากช่วยน้องสาว จึงให้คนเอากู่พรากรักออกมา ถูกคนจับได้หรือ”
เฉียวเย่ว์ซานกัดฟันกรอด “ถูกคนจับได้ก็แล้วไปเถิด อย่างน้อยก็ยังมีทางรอดเหลืออยู่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องสาวเจ้ากับยิ่นอ๋องดันโดนฤทธิ์ของกู่เข้า แล้วถูกองค์ชายรองมาพบเข้าพอดี! การเจรจาสงบศึกของสองแคว้นเกือบพังแล้ว! ฮ่องเต้โยนความผิดมาไว้บนศีรษะน้องสาวเจ้า เข้าใจว่านางคิดแผนทุบหม้อข้าวล่มเรือเพื่อหนีจากชะตาต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ฮ่องเต้พิโรธหนัก ให้ข้าอยู่ที่บ้านเก็บตัวทบทวนความผิด!”
…
“เก็บตัวทบทวนความผิด จริงหรือหลอก” ในคฤหาสน์ เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ อย่างตื่นเต้นพลางถามจีหมิงซิว
จีหมิงซิวหัวเราะ “ย่อมเป็นเรื่องจริงสิ ข้าเดินทางมาไกลถึงบนเขาเช่นนี้เพื่อหลอกเจ้าหรือ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างเบิกบานใจ จุดจบเช่นนี้ทำให้คนสาแก่ใจเหลือเกิน เจ้าสารเลวที่ขายน้องภรรยาคนเล็กเพื่อจะได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น ในที่สุดก็ถูกกรรมตามสนอง แล้วก็สวีซื่อ นางตั้งใจจะ ‘จับคู่’ เฉียวอวี้ซีกับหมิงซิว ตอนนี้เป็นอย่างไร ต่อให้ตายก็จับคู่ไม่ได้แล้ว ส่วนอารองที่อาศัยสูตรยาของบิดามารดานางเพื่อเลื่อนตำแหน่งคนนั้น ในที่สุดก็ร่วงลงมาจากความรุ่งโรจน์ “จริงสิ ฤทธิ์ของแมลงกู่จะคงอยู่นานเท่าใดหรือ เฉียวอวี้ซีไปเผ่าซยงหนีว์แล้ว ยังจะพร่ำรำพันถึงยิ่นอ๋องหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบเสียงเบา “นี่เป็นแมลงกู่ชั้นต่ำชนิดหนึ่ง อายุไม่ยืนยาว หลังจากหาร่างอยู่ได้แล้ว อย่างมากที่สุดสามวันก็ตาย”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “สามวันเองหรือ หากมีชีวิตอยู่ได้นานสักหน่อย ข้ายังอยากจะหากู่ตัวผู้มาอีกสักตัว ใส่ไว้ในตัวขององค์ชายรอง!”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วดีดหน้าผากของนาง “สมองของเจ้านี่นะ!”
“ข้าเพียงอยากช่วยให้คนครองรักกัน!” ให้ตายนางก็ไม่ยอมรับว่าตนต้องการเห็นเฉียวอวี้ซีเคราะห์ร้าย ภาพลักษณ์ดอกบัวขาวแสนดีงามของนางจะพังไม่ได้!
สูญเสียความทรงจำแบบเจาะจง ลบเรื่องที่เคยวิวาท ตะลุมบอน เล่นพนัน วางยาและอีกมากมายทิ้ง
จีหมิงซิวมองนางอย่างขบขัน “อืม หัวหน้าพรรคเฉียวเมตตาเป็นที่สุด”
เฉียวเวยยืดร่างเล็กๆ ของตน ตอบโดยที่หน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นระรัวสักนิด “แน่นอน! ข้าคนนี้อ่อนหวานใจกว้างที่สุด ดีงามที่สุด ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด! ใช้ความดีตอบแทนความแค้นเป็นที่สุด!”
จีหมิงซิวเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว “ถ้าเช่นนั้น หัวหน้าพรรคเฉียวผู้อ่อนหวานใจกว้างที่สุด ดีงามที่สุด ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด ใช้ความดีตอบแทนความแค้นเป็นที่สุด อยากจะทวงสมบัติของตระกูลเฉียวกลับมาหรือไม่”
อยาก
เฉียวเวยเม้มปาก
เริ่มแรกนางไม่ได้คิดอะไรกับสมบัติของตระกูลเฉียวนัก แต่ตระกูลเฉียวทำร้ายนางหนแล้วหนเล่า นางอยากจะตัดความสัมพันธ์ให้ขาดก็ตัดไม่ได้ ต่อให้นางไม่ทำอันใด คนโขยงนั้นก็ไม่ปล่อยนางไป แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ทวงทุกสิ่งคืนมาทั้งต้นทั้งดอก แล้วดูซิว่าคนพวกนั้นยังจะเอาอะไรมาอวดเบ่งต่อหน้านางอีก!
แต่เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ นางก็ถอนหายใจ “แต่ข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูลมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นคนตระกูลเฉียวแล้ว ไม่มีเหตุผลอันสมควร ต่อให้ข้าไปฟ้องทางการ ทางการก็คงไม่สนใจ”
จีหมิงซิวไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “เจ้าไปฟ้อง โอกาสชนะไม่มากจริงๆ แต่หากบิดาของเจ้าไปฟ้อง เรื่องก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง”
“ท่านคิดว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นหรือ แต่บิดาของข้าบาดเจ็บที่ศีรษะ ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด…” เฉียวเวยพูดพลาง สายตาก็กวาดไปเห็นบุรุษตรงหน้าประตู นางตกใจจนสะดุ้งโหยง!
บุรุษใบหน้าซูบตอบผู้นี้มิใช่เฉียวเจิงแล้วจะเป็นผู้ใดอีก
เฉียวเจิงอมยิ้มเดินมาถึงตรงหน้าเฉียวเวย
เฉียวเวยมองเขาอย่างอึ้งๆ ดวงตามีหยาดน้ำแวววาว นางยกมือขึ้นจะลูบใบหน้าของเขา
จีหมิงซิวหิ้วนางกลับมากอดไว้ในอ้อมแขนของตนเอง
เฉียวเวยพองขน ดิ้นขลุกขลักเหมือนลูกเจี๊ยบน้อย “ปล่อยข้าลงนะ!”
สถานการณ์นี้น่าขันเกินไปแล้ว เฉียวเจิงขำจนหัวเราะออกมา แล้วประสานมือคำนับจีหมิงซิว “นายน้อย”
เสียงนี้…ไม่ถูก!
เฉียวเวยหันหน้ากลับไปมองจีหมิงซิวอย่างประหลาดใจ
จีหมิงซิวกลับมองไปทาง ‘เฉียวเจิง’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
‘เฉียวเจิง’ ยิ้มแย้มตอบว่า “อี้เชียนอิน คารวะฮูหยิน”
“อี้ เชียน อินหรือ” ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของเฉียวเวยเบิกจนกลมบ๊อก
อี้เชียนอินหัวเราะ “ใต้บัญชาของนายน้อยมีลูกน้องเจ็ดคน ฮูหยินคงได้พบสือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้ว ข้าก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ข้าชำนาญการแปลงโฉมกับการเลียนเสียง”
พูดจบ เขาก็เลียนเสียงของเฉียวเวย “ท่านคิดว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นหรือ แต่บิดาของข้าบาดเจ็บที่ศีรษะ ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด…ปล่อยข้าลงนะ!”
ลอกเลียนเสียงกับสำเนียงของเฉียวเวยออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนสักนิดเดียว
เฉียวเวยตกตะลึง