หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 15 สัตว์ที่จับได้หายไป
หลังจากออกมาจากสถานที่ตั้งร้าน เฉียวเวยก็วางแผนจะจ้างรถม้าคันหนึ่งเดินทางกลับ ป้าหลัวมักจะมาที่ตัวเมืองบ่อยๆ จึงรู้จักรถจ้างอยู่หลายเจ้า
ทั้งสองมาถึงที่ว่าจ้างรถแล้วถามราคา พบว่าแพงกว่าของตาเฒ่าซวนจื่อเท่าหนึ่ง แน่นอนว่ารถม้าของผู้อื่นมีหลังคา ดูหรูหรากว่านิดหน่อย แต่ปัญหาอยู่ที่เฉียวเวยไม่ต้องการความหรูหราของมัน นางต้องการเพียงความประหยัดเท่านั้น
แต่ดูเหมือนวันนี้เฉียวเวยจะเลือกออกจากบ้านถูกวัน นางจึงโชคดียิ่งนัก ระหว่างที่ตระเวนหารถจ้างอยู่หลายเจ้าแต่ไม่ถูกใจ ก็ได้พบตาเฒ่าซวนจื่อราวกับปาฏิหาริย์
เดิมทีตาเฒ่าซวนจื่อพาญาติสองสามคนมาส่งที่ตัวเมือง ตอนนี้กำลังกลัดกลุ้มว่าจะหาลูกค้าที่ไหนขับรถม้าพากลับไปยังหมู่บ้านก็พอดีพบเฉียวเวย
“เสี่ยวเฉียว เหตุใดจึงจะกลับแล้วเล่า ค้าขายไม่ดีหรือ ขายไม่ออกก็ไม่เป็น…”
ป้าหลัวถลึงตาใส่เขา แล้วยื่นตะกร้าที่ว่างเปล่าหลือเพียงไชเท้าทอดไม่กี่แผ่นให้เขาดู “ขายหมดนานแล้วต่างหากเล่า”
“นี่ เพิ่งตอนนี้ก็ขายหมดแล้วหรือ” ตาเฒ่าซวนจื่อไม่อยากเชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนในหมู่บ้านเข้ามาขายของในเมือง แต่คนไหนมาวันแรกแล้วไม่พบอุปสรรคบ้างเล่า
เขามองไปหาเสี่ยวเฉียว
เฉียวเวยมุมปากยกโค้ง หยิบไชเท้าทอดในตะกร้าส่งให้เขา
เขากินเสร็จก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาหารของเสี่ยวเฉียวจึงขายจนหมดเกลี้ยง
ก่อนออกจากเมือง เฉียวเวยไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ตลาดนัด เพื่อลองทำอาหารแปลกใหม่หลากหลายมากขึ้น นางจึงซื้อปลาไนมาด้วยตัวหนึ่ง คืนนี้จะราดซอสน้ำแดงให้ลูกๆ ทาน
…
เล่าถึงอีกฝั่งหนึ่งฝังมามาบาดเจ็บจึงถูกพาไปรักษาที่โรงหมอ ระหว่างที่หญิงสาวรอคอยอย่างหงุดหงิดอยู่บนรถม้า สายตาก็เหลือบไปเห็นของที่สาวใช้พยายามแอบไว้
นางขมวดคิ้ว “เจ้าซ่อนอะไรอยู่”
สาวใช้ยื่น ‘กระต่ายขาวหนึ่งกระทง’ ออกมาอย่างฝืนใจ กระทงใหญ่ราวหนึ่งฝ่ามือ ใบไผ่พับอย่างประณีตยิ่งนัก กระต่ายน้อยตัวเล็กจ้อยแต่ทำออกมาเหมือนมีชีวิต ทั้งน่ารักทั้งนุ่มนิ่มประหนึ่งตัวจริง
“สิ่งนี้คืออะไร” หญิงสาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้
สาวใช้ตอบว่า “ขนมเจ้าค่ะ”
หญิงสาวประหลาดใจ แม้แต่จวนเอินปั๋วยังไม่มีขนมที่ประณีตเช่นนี้ “ซื้อมาจากที่ใด”
สาวใช้ไม่กล้าพูดว่าซื้อมาจากฮูหยินน้อยที่คุณหนูโกรธจนหน้าเขียวคนนั้น จึงตอบว่า “ในตัวเมืองเจ้าค่ะ”
หญิงสาวย่อมไม่คิดว่าซื้อมาจากร้านของเฉียวเวย หากรู้ล่ะก็ นางอาจจะกระอักเลือดออกมาก็เป็นได้ ปกติแล้วนางไม่ทานของที่มาจากข้างถนน แต่หน้าตาของขนมนี่น่ารักเหลือเกินจริงๆ นางอดใจไม่ไหวจึงชิมไปหนึ่งคำ หลังจากนั้นก็ตกตะลึง
สาวใช้เปิดกล่องอาหารไม้ท้ออันประณีตที่ใส่ภาชนะเงินไว้ด้านใน “คุณหนู นี่คือขนมเมฆม้วนสี่มงคลที่ท่านเตรียมมาให้จีเหล่าฮูหยินสินะเจ้าคะ ท่านแม่เฒ่าจะต้องชอบแน่”
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เทขนมเมฆม้วนสี่มงคลในกล่องออกแล้วใส่ ‘กระต่ายขาวตัวน้อย’ สี่ตัวที่เหลือเข้าไป
…
เฉียวเวยใช้เวลาซื้อวัตถุดิบทำอาหารเล็กน้อย เมื่อกลับมาถึงในหมู่บ้านจึงเป็นเวลาเที่ยงพอดี หน้าประตูบ้านของป้าหลัวมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เขารูปร่างสูงปานกลาง เรือนร่างกำยำ ผิวดำคล้ำ องคาพยพบนใบหน้าแลดูแข็งแกร่ง เขาก็คือหลัวหย่งจื้อบุตรชายคนโตของป้าหลัวนั่นเอง
หลัวหย่งจื้อเห็นมารดาของตนกับครอบครัวของเสี่ยวเฉียวลงมาจากรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อก็งุนงงอยู่พริบตาหนึ่ง ในหมู่บ้านลือกันว่ามารดาของเขารับเสี่ยวเฉียวเป็นบุตรสาวบุญธรรม หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ท่านแม่” เขาเห็นทั้งสองคนกำลังขนข้าวของลงมาจากรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อจึงรีบเดินเข้าไปช่วย
เขาเป็นชาวนาที่เกิดและเติบโตในชนบท จึงพละกำลังมากประหนึ่งวัว เพียงสองสามครั้งก็ขนข้าวของหนักสองร้อยกว่าชั่งได้หมด
เฉียวเวยค้อมกายเป็นเชิงขอบคุณ “ขอบคุณพี่ใหญ่”
คำว่าพี่ใหญ่คำนี้ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่หลัวหย่งจื้อคาดเดาเป็นความจริง
หลัวหย่งจื้อไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเสี่ยวเฉียวมากนัก สิ่งที่จดจำได้ชัดเจนที่สุดก็คือนางเป็นแม่ม่ายสาวเยาว์วัยหน้าตางดงามคนหนึ่ง สตรีจากแปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้รวมกันก็ยังเทียบนิ้วเดียวของนางมิได้
ในหมู่บ้านมีคำเล่าลือเกี่ยวกับนางมากพอตัว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องไม่ดี แต่มุมมองของบุรุษเพศย่อมต่างจากสตรี เขาคิดว่าเสี่ยวเฉียวเป็นคนดีทีเดียว ทั้งงดงามทั้งน่าสงสาร
มารดาของเขาชื่นชอบเสี่ยวเฉียว ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะชอบด้วย หลังจากนี้ไปเสี่ยวเฉียวก็คือน้องสาวของเขา
“น้องสาว” เขาเอ่ยทักทายอย่างใจกว้าง
เฉียวเวยรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ นางจูงเด็กน้อยทั้งสองพลางบอกว่า “จิ่งอวิ๋น วั่งซู เรียกท่านลุงสิ”
เด็กน้อยทั้งสองเอ่ยเรียกเสียงอ้อแอ้ว่า “ท่านลุง”
หลัวหย่งจื้อยิ้มซื่อ “เป็นเด็กดีจริง! วันหลังไปเล่นที่บ้านลุงนะ”
ป้าหลัวเห็นพวกเขาเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างราบรื่นเช่นนี้ก็ดีใจยิ่งนัก นางยิ้มถามบุตรชาย “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาแล้วเล่า มีเรื่องอะไรหรือ”
หลัวหย่งจื้อมัวแต่ทำความรู้จักกับน้องสาวจนเกือบจะลืมธุระสำคัญเสียแล้ว เขารีบบอกว่า “น้องชายของชุ่ยอวิ๋นสอบบัณฑิตขั้นถงเซิง[1]ได้ไม่ใช่หรือ บิดาของนางจึงจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เขา น่ากลัวว่าถึงเวลาคงจะยุ่งจนทำไม่ทันจึงอยากขอให้ท่านไปช่วยสักหน่อย”
ชุ่ยอวิ๋นคือภรรยาของหลัวหย่งจื้อ น้องเล็กของนางปีนี้เพิ่งอายุสิบขวบก็สอบได้เป็นบัณฑิตถงเซิงแล้ว ในหมู่บ้านที่ผู้คนแทบจะไม่รู้หนังสือนับได้ว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
ป้าหลัวถามว่า “วันไหนเล่า”
“วันที่สาม” เขามองไปทางเสี่ยวเฉียว คิดจะถามว่านางจะไปหรือไม่ แต่เมื่อนึกได้ว่านางไม่ชอบสมาคมกับผู้คนจึงไม่พูด
ป้าหลัวเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็อีกสามวันจากนี้สินะ เข้าใจแล้ว ข้าจะไป”
หลัวหย่งจื้อปวดใจที่มารดาต้องอยู่บ้านตามลำพังเป็นประจำ เขาจึงชวนนางไปอยู่ด้วยกันกับตนสักสองสามวัน แต่ป้าหลัวกลับปฏิเสธ
เสี่ยวเฉียวเพิ่งเริ่มกิจการ เป็นช่วงที่ต้องการคนช่วย นางจะไปเช่นนี้ไม่ได้
หลัวหย่งจื้อรู้เรื่องกิจการของเสี่ยวเฉียวก็ดีใจแทนเฉียวเวยอย่างยิ่ง “ต้องการอะไรก็บอกข้า พี่สะใภ้ของเจ้าทำอาหารเก่งนัก หากเจ้าทำไม่เป็นก็ถามนางดู นางสอนเจ้าได้หลายอย่าง”
เฉียวเวยยิ้มแย้มพลางพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่ใหญ่”
หลัวหย่งจื้อช่วยเฉียวเวยแบกวัตถุดิบปรุงอาหารสองร้อยกว่าชั่งขึ้นภูเขา เฉียวเวยจึงชวนเขาอยู่ทานอาหาร แต่เขาเพิ่งกินก่อนมาจึงบอกปัดว่าครั้งหน้าแล้วลงเขาไป
ตอนเที่ยงเฉียวเวยทำปลาน้ำแดง เด็กทั้งสองกินจนสุดท้ายแทบจะเลียจาน
เฉียวเวยเก็บชามกับตะเกียบไปล้างที่ห้องครัว แต่ป้าหลัวแย่งไปจากมือนางแล้วบอกว่า “วางไว้เถอะ ข้าทำเอง เจ้าเรียกลูกมานอนกลางวันสักตื่น ตัวจะได้โต ต้องนอนให้มากเอาไว้ ลืมตาตื่นทั้งวันจรดค่ำไม่ได้หรอกนะ”
เฉียวเวยคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ตัวนางไม่งีบกลางวันจนชินจึงเผลอเลี้ยงเด็กๆ ตามอย่างด้วย นางรีบเรียกลูกขึ้นมาบนเตียงเตาแล้วกล่อมพวกเขาจนหลับ
จากนั้นเฉียวเวยก็เดินมาที่ประตูห้องครัว “แม่บุญธรรม ข้าจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว”
ป้าหลัวมองนางอย่างแปลกใจ “ไปไหนหรือ อย่าบอกข้าว่าเจ้าจะขึ้นเข้าอีกแล้วนะ”
เฉียวเวยโดนเดาถูกจึงจับใบหูด้วยความกระอักกระอ่วน “เมื่อวานข้าวางกรงดักไว้ในป่าบนเขาสองกรง จะไปดูสักหน่อยว่ามีสัตว์มาติดกับหรือไม่ แค่ข้างบนนี้เอง ปลอดภัยมาก”
ป้าหลัวตอบว่า “ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าจริงๆ!”
เฉียวเวยพกมีดสั้นป้องกันตัวไปด้วย หลังจากพบเสือเมื่อครั้งที่แล้ว นางก็ถนอมชีวิตยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นจุดที่นางเลือกจึงไม่ใช่กลางป่าจริงๆ
หลังจากนางเข้าป่าก็ตามสัญลักษณ์ที่ตนเองทำไว้จนพบกรงที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ภายในกรงวางหูหลัวปัวและเศษเนื้อไว้เป็นเหยื่อล่อ
กรงทั้งสองล้วนเปิดอยู่ สิ่งที่แปลกก็คือเหยื่อล่อในกรงหนึ่งหายไปแล้ว
เหยื่อล่อหายไปก็น่าจะมีสัตว์ตัวเล็กติดกับดักแล้วสิ
แล้วสัตว์เล่า
เฉียวเวยมองหาแล้วมองหาอีกแต่ก็หาสัตว์ที่ติดกับดักไม่พบ แต่กลับพบเงินหนึ่งตำลึงวางอยู่
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือว่ามีคนซื้อสัตว์ที่อยู่ในกรงดักไป
[1] ถงเซิง คำเรียกบัณฑิตที่สอบผ่านระดับอำเภอกับระดับเมือง มีคุณสมบัติจะเข้าสอบเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ