หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 151-1 ออกเรือน ท่านย่า
เฉียวอวี้ซีแต่งงานออกเรือนไปไกลในวันที่ฟ้าโปร่งอากาศสดใส นางเรียนรู้วิธีการทำไร่ทำนาแล้วหรือไม่ ฮ่องเต้ไม่ทราบได้ แต่ที่มั่นใจได้คือซุนมัวมัวกับฟางมัวมัวทำเป็นแล้ว มัวมัวทั้งสองจะไปยังซยงหนูกับนางด้วยในฐานะสาวใช้ติดตามยามออกเรือน
เฉียวอวี้ซีสวมใส่มงกุฎหงส์และสายสะพายสยาเพ่ยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ต้าเหลียง อาภรณ์แดงเพลิง โดดเด่นเป็นที่จับตา นั่งอยู่บนเกี้ยวที่มีม่านโปร่งบดบังลงมาครึ่งหนึ่ง มีชายฉกรรจ์ชาวซยงหนูสิบหกคนเป็นคนแบกจากวังหลวงเดินไปยังประตูเมืองทางทิศเหนือ
สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวบ้านที่เข้ามามุงดู บนชั้นสองของร้านค้า หน้าต่างเปิดกว้าง ผู้คนจำนวนไม่น้อยมุงกันอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อรอชมความงดงามของหวังเฟยที่จะไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีผู้นี้
ม่านโปร่งบางเบาผืนนั้นคล้ายจะบดบังก็ไม่ใช่ หญิงสาวที่งามราวบรรจงสร้างประหนึ่งหยก เรือนกายอรชร แผ่นหลังตรงแน่วดั่งลำต้น นิ้วเรียวราวกับต้นหอม ริมฝีปากแดงที่เม้มน้อยๆ มงกุฎบนศีรษะมีโซ่สีทองเป็นเส้นๆ ห้อยลงมาบดบังใบหน้า แต่กลับไม่อาจบดบังใบหน้าที่คล้ายเทพธิดาสวรรค์อันน่าตกใจไปได้
ฝูงชนพากันสงเสียงฮือฮาชื่นชมในความงาม
คณะทูตจากซยงหนูภูมิใจกันเป็นหนักหนา นี่เป็นหวังเฟยที่องค์ชายของพวกเขาแย่งมาได้ ทั้งเลอโฉมและชาญฉลาด มีความสามารถและจิตใจดี
องค์ชายรองขี่ม้าตัวสูงใหญ่อยู่เป็นเพื่อนข้างๆ พระชายา องค์ชายรองไม่เหมือนกับบุรุษต้าเหลียง เขาไม่ได้รู้สึกว่าการที่สตรีของตนถูกคนจับจ้องเป็นเรื่องที่ต้องถือสาแต่อย่างใด กลับกันโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำ
หวังเฟยของเขารูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้ เขาเองก็มากสามารถ เสี่ยวเฉียวกล่าวไว้ได้ถูกต้อง พวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมกันโดยแท้!
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามา องค์ชายรองเหลือบมองหวังเฟยที่นั่งอยู่บนเกี้ยวด้วยสายตาแฝงไว้ด้วยอารมณ์
อีตาหน้าสามเหลี่ยมนี่ไม่มองเฉียวอวี้ซีก็ยังไม่เท่าไร แต่พอหันมามอง เฉียวอวี้ซีก็เริ่มนั่งไม่นิ่ง
ในหัวเฉียวอวี้ซีมีเงาใครคนหนึ่งที่หมดจดและเยือกเย็นแวบเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาล้ำลึกราวทะเลสาบ มือที่เรียวยาวประหนึ่งหยก…
แต่แล้วจู่ๆ ภาพอันงดงามก็ถูกใบหน้าสามเหลี่ยมที่แข็งกระด้างกระแทกจนแตกสลาย
มุมปากเฉียวอวี้ซีพลันแบะลง แล้วร้องไห้!
คณะส่งตัวเจ้าสาวไปรวมกับคณะขององค์ชายรองที่ทางเหนือของเมือง
ถึงแม้จะกล่าวว่าเคล็ดลับในการทำไร่ทำนาต่างหากที่เป็นความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่หากไม่จัดให้ดูอลังการสักหน่อย ก็จะดูว่าต้าเหลียงไม่จริงใจมากพอ ฮ่องเต้มีคำสั่งให้กรมพิธีการจัดเตรียมสินเดิมอย่างพร้อมมูลเพื่อขนไปที่ซยงหนูด้วย มีทั้งเครื่องยา เสบียงอาหาร ผ้าไหมแพรพรรณ เมล็ดพืชต่างๆ เป็นต้น
สินเดิมเหล่านี้หากจะว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้วไม่อาจนับว่าเป็นเงินส่วนตัวของเฉียวอวี้ซีได้ เพราะมีมัวมัวทั้งสองคอยดูแล เฉียวอวี้ซีจึงไม่มีสิทธิ์จัดการใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่เฉียวอวี้ซีสามารถจัดการได้มีเพียงของที่ตระกูลเฉียวส่งมาให้เท่านั้น
ที่น่าเสียดายก็คือ ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังไม่เห็นคนตระกูลเฉียวส่งใครมาแจ้งอะไรเลยสักคำเดียว
เฉียวอวี้ซีร้อนใจจนมือแทบจะบิดผ้าขาดอยู่แล้ว
เวลาอีกครึ่งถ้วยน้ำชาผ่านไป เฉียวเย่ว์ซานถึงได้นั่งรถม้าเอ้อระเหยมาอย่างเชื่องช้าเสียที
“ท่านพ่อ!” เฉียวอวี้ซีตื่นเต้นจนร้องตะโกนออกมา
เฉียวเย่ว์ซานกระโดดลงจากรถ หันไปทำความเคารพองค์ชายรองก่อน แล้วจึงหันมาทำความเคารพเฉียวอวี้ซีพร้อมเอ่ยเรียกว่าท่านอ๋อง หวังเฟย แล้วถึงเดินไปด้านข้างเกี้ยว ยื่นมือไปจับมือบุตรสาวผ่านทางหน้าต่าง “ซีเอ๋อร์!”
“ท่านแม่เล่า” เฉียวอวี้ซีถามพลางหันมองซ้ายขวา
เฉียวเย่ว์ซานไม่กล้าบอกกล่าวบุตรสาวว่าสวีซื่อโกรธเกรี้ยวจนล้มป่วย เพราะหากบุตรสาวเกิดเป็นกังวลมากเกินไปจนล้มป่วยก็คงไม่เป็นการดี เขาจึงบอกว่า “แม่เจ้าดูแลพี่ชายใหญ่ของเจ้าอยู่ นางมาไม่ได้ จึงให้ข้ามาส่งเจ้าแทน”
“อาสะใภ้สามกับอาสะใภ้สี่เล่า” เฉียวอวี้ซีถาม “เหตุใดพวกนางถึงไม่มาส่งข้า”
เฉียวอวี้ซีมีคนมารับตัวจากบนเขาตรงเข้าวังหลวงไปทันที ไม่ได้กลับบ้านก่อน จึงไม่รู้เรื่องที่เรือนรองแยกบ้านกับลุงเอินแล้ว
เฉียวเย่ว์ซานอับอายยากจะเอื้อนเอ่ย จำต้องกล่าวเท็จไปว่า “พวกนางเป็นสตรีกันทั้งนั้น จะออกมาข้างนอกตามใจชอบได้อย่างไร อีกอย่างยามนี้เจ้าเป็นถึงหวังเฟย มีฐานะสูงส่ง แม้แต่ข้าจะพบหน้ายังต้องให้ฝ่าบาทพยักพระพักตร์ อาสะใภ้ของเจ้าจึงมากันไม่ได้”
ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ได้แต่งงานกับอีตาอัปลักษณ์หน้าสามเหลี่ยมนั่นก็คือฐานะหวังเฟยนี่แหละ แต่จะว่าไปใครเขาอยากเป็นหวังเฟยของพวกซยงหนูกัน นางไม่ได้แต่งงามไปชั่วชีวิต ยังดีกว่าไปอยู่ในแผ่นดินที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นเลย!
เฉียวอวี้ซีก้มหน้าด้วยความเสียใจ
เฉียวเย่ว์ซานเห็นท่าทางของบุตรสาวก็พลันใจสลาย
ทุกวันนี้ในบ้านเละเทะวุ่นวายไปหมด บุตรสาวก็จะมาแต่งงานไปอยู่เสียไกลโพ้น เรือนรองที่เจิดจรัสอยู่พักหนึ่งเหตุใดถึงกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ไปได้
ในใจเฉียวเยว์ซานเป็นทุกข์ยิ่งนัก
เฉียวอวี้ซีคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามต่อว่า “ใช่สิท่านพ่อ สินเดิมของข้าเล่า”
แม่เจ้าทำการค้าล้มเหลว ต้องชดใช้เงินตนที่บ้านเป็นหนี้เป็นสิ ยังจะมีสินเดิมมาให้เมื่อไรกัน
เฉียวเย่ว์ซานหยิบกล่องผ้าไหมจากแขนเสื้อส่งไปให้บุตรสาว “เจ้าใช้ให้มัธยัสถ์หน่อยนะ เมื่อไปที่บ้านสามีแล้ว จำไว้ว่าต้องเชื้อฟังสามีและพ่อแม่สามีให้มาก พวกเขาไม่มีทางตระหนี่เรื่องเงินทองกับเจ้าแน่นอน”
เฉียวอวี้ซีเบะปากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าที่บิดาพูดไม่เข้าหูนางสักนิด นางเปิดกล่องผ้าไหมออกดู คิดว่าจะอัดแน่นไปด้วยตั๋วเงินปึกใหญ่ แต่ใครจะคิดว่ามีแค่เศษก้อนเงินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สีหน้านางพลันเปลี่ยน “ท่านพ่อ! เหตุใดถึงน้อยนิดเพียงนี้”
น้อยขนาดนี้เขายังต้องหยิบยืมจากเพื่อนในสำนักหมอหลวงมาเลย
เฉียวเย่ว์ซานอับอายยากจะทานทน ไม่รู้จะเอ่ยปากบอกบุตรสาวอย่างไรดี
เฉียวอวี้ซีเอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “เพราะพวกท่านเห็นว่าข้าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่ จึงไม่คิดจะจัดเตรียมสินเดิมดีๆ ให้ข้า? คิดว่าอีกหน่อยข้าตายอยู่ข้างนอกก็ช่าง มีชีวิตอยู่ก็ช่าง ถึงอย่างไรก็ตอบแทนอะไรพวกท่านไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ซีเอ๋อร์…” เฉียวเย่ว์ซานคล้ายมีก้อนหินขึ้นมาจุกที่ลำคอ เขาอยากอธิบายแต่กลับอธิบายไม่ออก
ขอบตาเฉียวอวี้ซีค่อยๆ แดงขึ้น “ตอนแรกที่ข้าจะแต่งงานกับเสนาบดี ท่านแม่บอกว่าจะให้สินเดิมข้าห้าหมื่นตำลึง… เวลานี้ห้าร้อยตำลึงยังไม่ถึงด้วยซ้ำ!”
ผู้คนโดยรอบเริ่มหันมามอง
เฉียวเย่ว์ซานกลัวจะขายหน้า จึงจับมือบุตรสาวไว้ “เจ้าเสียงค่อยหน่อย เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้า”
“ได้ยินแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางกลับมาที่บ้าๆ นี่แล้ว ข้ายังต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไรด้วยหรือ” เฉียวอวี้ซีพูดจบก็เห็นสีหน้าเฉียวเย่ว์ซานเคร่งเครียดจนน่าตกใจ นางพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ “อ้อ ท่านพ่อคงกลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะท่านสินะ ท่านพ่อก็คิดว่าตนเองทำเกินไปเช่นกันใช่หรือไม่ ได้ขึ้นเป็นท่านโหว ได้เงินทองไปตั้งมากมายเพียงนั้น แต่กลับให้สินเดิมลูกสาวแค่ไม่กี่ร้อยตำลึง! หากคนพูดกันออกไป คงขายหน้าผู้คนเขาแย่เลย!”
เฉียวเย่ว์ซานถูกต่อว่าต่อขานเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “ซีเอ๋อร์ ช่วงที่ผ่านมาเจ้าอยู่บนภูเขา ไม่รู้เรื่องราวภายในบ้านแน่ชัด ที่บ้านออกจะ… ลำบากอยู่บ้างจริงๆ”
เฉียวอวี้ซีส่งเสียงหึเบาๆ “หอหลิงจือพังไม่เป็นท่าแล้วหรือไร ต่อให้ลำบากอย่างไรก็ไม่ควรถึงกับสินเดิมเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่มีให้! ตอนนั้นข้าได้ยินชัดเจน ท่านแม่บอกว่ามีเงินอยู่หนึ่งแสนตำลึง ห้าหมื่นตำลึงให้พี่ใหญ่ อีกห้าหมื่นตำลึงให้ข้า! ส่วนของน้องเล็กค่อยหาเอาวันหน้า!”
หนึ่งแสนตำลึงนั่นเป็นสินเดิมของป้าสะใภ้ใหญ่เจ้า! ไม่ใช่เงินของเรือนรองอีกแล้ว!
เรื่องนี้ไม่อาจพูดต่อไปได้ หากพูดต่อไปเฉียวเย่ว์ซานไม่กล้ามั่นใจว่าตนจะเอาเรื่องในบ้านออกมาขายจนหมด เขาไม่อยากให้บุตรสาวจากไปพร้อมกับความเป็นกังวลและสิ้นหวัง จึงชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยความหนักอกว่า “สรุปแล้วก็คือมีเรื่องนิดหน่อยก็แล้วกัน แต่เจ้าวางใจเถิด ไว้เมื่อทุกอย่างผ่านไปแล้ว ข้าจะส่งเงินที่เป็นสินเดิมตามไปให้เจ้าเอง”
เฉียวอวี้ซีดึงมือที่ถูกเฉียวเย่ว์ซานจับเอาไว้กลับมาอย่างเย็นชา
มือของเฉียวเย่ว์ซานแข็งค้างอยู่กลางอากาศ เขากดข่มความเจ็บปวดในใจที่ยากจะปิดบังเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “เมื่อไปซยงหนูแล้ว จำไว้ว่าต้องสงบเสงี่ยมให้มาก เชื่อฟังที่มัวมัวบอก ไม่ว่าเรื่องอะไรอย่าได้คิดเองตัดสินใจเอง กับองค์ชายรองก็ต้องเป็นสามีภรรยาที่ปรองดอง…”
เฉียวอวี้ซีคอยฟังอยู่เงียบๆ ด้วยความรำคาญเหลือแสน เดิมทีนางควรเป็นคุณหนูที่สินเดิมอู่ฟู่ที่สุดในเมืองหลวง เวลานี้กลับกลายเป็นคนที่แห้งแล้งที่สุด แค่เงินเท่านี้ เมื่อไปถึงซยงหนูแล้วจะพอตกรางวัลใครเขา
“ข้าได้ยินว่าที่นู่นหน้าหนาวมาเร็วและหนาวมาก…”
เฉียวอวี้ซีฟังไม่เข้าหูเลยสักคำเดียว
มีขุนนางทูตเข้ามาเอ่ยเตือนองค์ชายรองว่าได้เวลาควรออกเดินทางแล้ว
องค์ชายรองกวาดมองไปทางฝูงชน
ขุนนางทูตถามว่า “องค์ชายรองกำลังรอผู้ใดอยู่หรือ”
องค์ชายรองตอบกลับเป็นภาษาซยงหนูประโยคหนึ่ง
ขุนนางทูตก็พลอยมองหาตามไปด้วย
ในที่สุดทั้งสองก็เห็นร่างใครคนนั้นบนชั้นสองของโรงน้ำชา พูดให้ถูกก็คือองค์ชายรองเป็นคนมองหาพบ ขุนนางทูตหาได้รู้จักเฉียวเวยไม่
องค์ชายรองพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินเข้าไปในโรงสุรา เข้าไปบอกลาเฉียวเวยในห้องส่วนตัว “ขอบคุณ ที่มา ส่งข้า เจ้าจะไป บอกลา น้องสาว หรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ระหว่างข้ากับน้องสาวมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย เกรงว่านางคงไม่อยากพบข้า”
“อ้อ” องค์ชายรองผายมือออก นี่เป็นท่าทางของเฉียวเวย ไม่รู้เหตุใดเขาถึงเลียนแบบไปได้ ทั้งยังทำเสียดูน่าขัน
เฉียวเวยเม้มปาก พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ “น้อมส่งองค์ชายรอง ขอให้องค์ชายรองเดินทางปลอดภัย”
“ปลอดภัย ข้าใช่ นกเหยี่ยว ในผืนหญ้า ข้าเป็น” องค์ชายรองชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อว่า “หวังเฟยของข้า ข้าก็จะ ดูแล”
เห็นได้ว่าองค์ชายรองเอาใจใส่คุณหนูชาวต้าเหลียงผู้นี้พอดู อย่างน้อยเวลานี้ก็เป็นเช่นนี้ ที่ไม่รู้คือคุณหนูที่อ่อนหวานผู้นี้จะรู้จักทะนุถนอมความโชคดีของตนไว้หรือไม่ ความรู้สึกเป็นเรื่องของคนสองคน วันเวลาเป็นสิ่งที่ต้องใช้ให้ผ่านไป ต่อให้นางเลอโฉมเพียงใดก็ต้องมีสักวันที่แหนงหน่าย หากต้องการได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากสามีไปนานๆ ก็ต้องปรับปรุงนิสัยของนางให้ดี
“ข้าอยู่ จงหยวน เพื่อนที่ ดีที่สุด คือเจ้า” องค์ชายรองตบบ่าเฉียวเวย “เจ้าไป ซยงหนู จะต้อง ไปบ้านข้า เป็นแขก ข้ายินดี ต้อนรับ เจ้า”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ได้สิ”
องค์ชายรองหยิบเขี้ยวหมาป่าที่ใช้ด้ายสีแดงผูกเอาไว้ออกมาจากอกเสื้อ “นี่คือ อันที่สอง ให้เจ้า”
เฉียวเวยยิ้มแล้วรับเอาไว้ “ขอบคุณองค์ชายรองมาก ข้าไม่มีของขวัญมีค่าอะไรจะให้กลับ มีเพียงขนมที่ข้าทำเอง องค์ชายรองเอาไว้กินแก้เบื่อระหว่างทาง”
เฉียวเวยพูดพลางหยิบขวดโหลสามขวดบนโต๊ะมาใส่ในอกเสื้อให้องค์ชายรอง “โหลนี้คือไข่เยี่ยวม้าเป็ด โหลนี้คือไข่เยี่ยวม้านกกระทา ส่วนโหลสุดท้ายคือเนื้อตากแห้ง ข้าเพิ่งเคยทำเนื้อตาแห้งครั้งแรก ไม่รู้ว่ารสชาติดีหรือไม่”
องค์ชายรองตกใจ “เจ้าเอา คนทำ? พวกเจ้า จงหยวน ในที่สุด ก็มี คุณหนู ทำกับข้าว พวกเราชาวทุ่งหญ้า ผู้หญิง ทุกคน ทำอาหารเป็น”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ข้าไม่ใช่คุณหนูอะไรที่ไหนเสียหน่อย เจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าอยู่บ้านนอก เป็นแค่สตรีในหมู่บ้าน”
“แต่ว่า เจ้าเก่ง เก่งมาก” องค์ชายรองยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ขอบคุณ ของขวัญ จากเจ้า ข้าชอบ ชอบมาก ใช่สิ ข้าต้อง บอกเจ้า เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
“ยิ่นอ๋อง ไม่ใช่ บุรุษ ที่ดี เจ้าอย่า อยู่ใกล้ เขามาก ข้าคิดว่า หมิงซิว เป็นบุรุษ ที่ดี”
ข้าก็คิดเช่นนั้น
เฉียวเวยกดมุมปากที่จะเผลอยกขึ้นลง “ข้าไม่คู่ควรกับเขา เขาเป็นถึงบุตรชายขององค์หญิง”
“แต่ว่า เขา ชอบ เจ้า ข้าดู ออก”
แม้แต่เจ้ายังดูออก?
ใจของเฉียวเวยแทบจะลอยละล่องออกมา ที่แท้การได้ยินจากปากคนอื่นว่า “อีกคน” มีใจให้ตน เป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง มีความสุขนิดๆ หวานหน่อยๆ
มุมปากของเฉียวเวยเริ่มไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว ยังดีที่องค์ชายรองบอกลาอย่างเป็นทางการแล้ว
คณะขุนนางจากราชสำนักขี่ม้าสูงสง่า ค่อยๆ เดินเข้ามา เสียงเกือกม้าถูกเสียงอึกทึกของผู้คนกลบจนมิด บุรุษที่นำหน้ามาอยู่ในชุดขุนนางสีดำอมแดง รูปร่างของบุรุษผู้นั้นดูกำยำ สองขาเรียวยาว ขี่คร่อมอยู่บนหลังม้า ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพละกำลังที่อัดแน่นระคนอวดเบ่งอยู่ในที
นิ้วมือเรียวยาวกำอยู่ตรงบังเหียน ดูประณีตบรรจงราวกับหยกสลัก
ขนม้าสีดำขลับ พาให้นิ้วมือที่ขาวผ่องของเขางดงามยากจะอธิบาย
แผ่นหลังเขาตั้งตรง ประหนึ่งไม้ไผ่ที่ทำขึ้นจากหยก ทั่วตัวเขามีไอดุดันแผ่ออกมา
ตรงคอเสื้อ เปิดเผยให้เห็นผิวกายขาวผ่องราวกระเบื้อง เมื่อสะท้อนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ดูมีความเยือกเย็นออกมาให้เห็น
ฝูงชนค่อยๆ เงียบเสียงลง
บนถนนใหญ่ที่อึกทึกเมื่อครู่พลันเหลือเพียงเสียงเกือกม้าดัง กุบกับๆ ฟังดูเป็นทำนองเรียบเรื่อยสบายๆ
มีสตรีนางหนึ่งเอามือปิดปาก กักเก็บเสียงร้องเอาไว้ในใจ
เฉียวเวยเอาแขนข้างหนึ่งวางตรงหน้าต่างแล้วเอามือเท้าคาง ปลายนิ้วที่ติดแดงเล็กน้อยเคาะเบาๆ ที่แก้ม มองบุรุษที่โดดเด่นเหนือผู้ใดคนนั้นอย่างนึกสนใจ ในใจร้องอาขึ้น ขุนนางผู้นี้ต้องตำแหน่งใหญ่เพียงใดหนอ… เครื่องแบบช่างดูยวนตาเหลือเกิน… ขุนนางช่างยิ่งใหญ่… ช่างดูเย็นชาดีแท้… เป็นขุนนางอะไรกันแน่…
บุรุษผู้นั้นพูดบางอย่างกับองค์ชายรอง องค์ชายรองหัวเราะเสียงดังออกตาม จากนั้นทั้งสองก็คล้ายใจตรงกัน พากันหันไปมองทางเฉียวเวย
คิ้วของเฉียวเวยเลิกขึ้น คิดจะหลบไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว
มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้นเป็นองศาที่มีนัยยะลึกซึ้ง
ใจของเฉียวเวยพลันกระตุก คนผู้นี้อย่าโปรยเสน่ห์ใส่นางกลางวันแสกๆ เช่นนี้ได้หรือไม่ รับไม่ไหวเลยจริงๆ…
จีหมิงซิวมากับขุนนางก็ย่อมต้องกลับไปกับขุนนาง เฉียวเวยจับจ้องพลางน้ำลายไหล เมื่อส่งองค์ชายรองไปแล้วจึงตามคณะขุนนางของราชสำนักกลับวังไปอย่างยิ่งใหญ่ด้วย
เฉียวเวยที่ถูกโปรยเสน่ห์ใส่โดยไม่รู้ตัว ดื่มชาขมเม็ดบัวเข้าไปสามชามกว่าจะกดข่มความตื่นเต้นในใจลงไปได้
เฉียวเวยไม่ได้กลับขึ้นเขาในทันที แต่ไปที่บ้านตระกูลเฉียวก่อน
บัญชีของเรือนรองถูกบังคับให้จัดการเรียบร้อยตั้งแต่วันที่แยกออกไปแล้ว ที่นางมาในครั้งนี้เพื่อมาเก็บของเรือนอื่นๆ ที่เหลือ
เมิ่งซื่อย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ด้วยความที่เป็นแม่สามีของสวีซื่อ สวีซื่อจึงกตัญญูและเคารพนางมากที่สุด แค่เครื่องหยก เครื่องกระเบื้อง เครื่องเงินที่เอาออกมาจากโรงเก็บของของนาง ก็พอให้เฉียวเวยซื้อภูเขาได้ครึ่งลูกแล้ว
ของเหล่านี้เป็นของเฉียวเจิงทั้งสิ้น เฉียวเวยไม่มีทางแตะต้องแม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจประมาทคนกลุ่มนี้ได้
เมิ่งซื่อเห็นกับตาว่าข้าวของอันเป็นที่รักของตนถูกนำออกไป ก็โกรธจนไม่อยากพูดอะไรกับเฉียวเวยอีก
เฉียวเวยไปต่อที่เรือนสาม
ฮูหยินสามไม่อยากคายเนื้อติดมันที่เข้าปากไปแล้วออกมาสักนิด นางเข้ามาจับแขนเฉียวเวย โอภาปราศรัยสั้นยาว เป็นกันเองประหนึ่งพูดคุยกับบุตรสาวในไส้
แต่เฉียวเวยไม่หลงกลนาง “หากอาสะใภ้สามไม่ยอมจ่าย ก็เอาอย่างอาสะใภ้รอง ที่แยกบ้านออกไปอยู่เองเถิด”
ออกไปอยู่คนเดียว? ดูเรือนรองสิว่ามีชีวิตย่ำแย่เพียงไร นางกล้าหรือ
ฮูหยินสามกัดฟันเอาทรัพย์สินที่สั่งสมมาหลายปีจ่ายออกไป ยังเหลืออีกบางส่วนที่ไม่พอ นางจึงเอาร้านค้าของตนอีกห้องหนึ่งชดใช้ไปด้วย นับว่าเจ็บตัวมากทีเดียว
เฉียวเวยไปต่อที่เรือนฮูหยินสี่
นางเคยได้ยินเหล่าซิ่วไฉบอกว่า นายท่านสี่ถึงแม้จะเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ แต่กลับไม่เหมือนนายท่านรองกับนายท่านสามผู้เป็นพี่น้องร่วมอุทร เขาไม่วางอำนาจบาตรใหญ่ กระทำการใดล้วนอ่อนน้อม
“หีบนี้เป็นของที่พี่สะใภ้ใหญ่ให้ไว้ยามมีชีวิตอยู่ หีบนี้เป็นหีบที่เอามาจากห้องเก็บของของพี่สะใภ้รอง ก็น่าจะเป็นของพี่สะใภ้ใหญ่เช่นกัน หีบสุดท้ายนั่นคือเงินปันผลที่ได้แบ่งจากหอหลิงจือมาตลอดหลายปีนี้ เจ้ารองนับดู” ฮูหยินสี่พูดพลางส่งสมุดบัญชีในมือทั้งหมดไปให้เฉียวเวย
เฉียวเวยชี้นิ้วไล่ไปตามรายกาย ก่อนจะดันหีบใบแรกกลับไป “ในเมื่อเป็นของที่ท่านแม่ข้าให้อาสะใภ้สี่ไว้ อาสะใภ้สี่ก็รับไว้เถิด”
“ได้” ฮูหยินสี่รับไว้แต่โดยดี
เฉียวเวยมีความประทับใจที่ไม่เลวกับฮูหยินสี่ อ่อนน้อม อะลุ่มอล่วย เข้าใจโลก รู้จักเอาตัวรอด ไม่ประจบ ไม่สอพลอ ไม่เข้าไปรับมีดแทนใครมั่วซั่ว และไม่หลงละเมอไปกับความโปรดปรานที่ได้รับ
นางไม่เพียงไม่ใช้ของที่เรือนรองให้นาง แม้แต่ของที่เสิ่นซื่อให้ไว้ นางก็ยังเก็บเอาไว้เช่นกัน
ความคิดเช่นนี้นับว่าเข้าใจอะไรถ่องแท้ ทั้งยังควบคุมตัวเองได้ดียิ่งอีกด้วย