หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 151-2 ออกเรือน ท่านย่า
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ท่านพ่อข้าคงรักษาตัวอยู่บนเขาไปก่อนชั่วคราว ก่อนที่ท่านพ่อข้าจะหายดี ข้าหวังจะมอบตระกูลเฉียวให้อาสะใภ้สี่ดูแลไปก่อนชั่วคราว”
ฮูหยินสี่ดูอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด พักใหญ่ถึงได้ถามด้วยความตกใจว่า “เจ้าจะไม่ย้ายกลับมาอยู่หรือ”
ตัวนาง…อยู่ได้หรือ แววตาของเฉียวเวยวูบไหวเล็กน้อย นิ้วมือก็กำแน่นขึ้น “เรือนของข้าไม่มีใครอยู่มานานปีแล้ว อย่างไรก็ต้องซ่อมแซมเสียก่อน เรือนของท่านพ่อท่านแม่ข้าก็เช่นกัน”
ฮูหยินสี่เอ่ยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่รู้ว่าความชอบของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ อยากเปลี่ยนให้เรือนเป็นแบบใด เจ้าบอกข้าสิ ข้าจะให้คนไปปรับเปลี่ยนให้ใหม่”
“เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน ร่างกายของบิดาข้ายังไม่หายดี อากาศบนเขาสะอาดบริสุทธิ์ มีประโยชน์ต่อการพักรักษาตัว” ประเด็นสำคัญคือเฉียวเจิงยังคงไม่ได้สติ หากกลับจวนตระกูลเฉียวก็เผยจุดอ่อนหมดน่ะสิ แน่นอนว่านางย่อมหวังที่จะย้ายเฉียวเจิงกลับมาในเร็ววัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นบ้านของเฉียวเจิง เป็นสถานที่ที่เขาถือกำเนิด เติบโต แต่งงานและมีบุตร ความทรงจำที่งดงามที่สุดของเขาล้วนเกิดขึ้นที่นี่
ฮูหยินสี่กล่าวว่า “ร่างกายของนายท่านอย่างไรก็ต้องกลับมาดีแน่ ข้าจะให้คนร่างแบบเอาไว้ก่อน แล้วส่งไปให้เจ้า หากเจ้าคิดว่าเหมาะสมก็จะเริ่มจัดการทันที จะพยายามทำให้เสร็จก่อนปีใหม่ ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า!”
นางยังไม่ได้ฉลองปีใหม่ดีๆ กับเขาเลย เมื่อปีที่แล้วอุตส่าห์คลอดบุตร มีบ้านตระกูหลัว แต่เพราะป่วย เลยต้องเสียเวลาอยู่บนถนนในคืนก่อนวันสิ้นปี
ปีนี้หากเฉียวเจิงสามารถฟื้นขึ้นมาได้ เชื่อว่าคงจะเป็นปีที่ดีกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ มุมปากของเฉียวเวยก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
“ทางด้านหอหลิงจือ…” จู่ๆ ฮูหยินสี่ก็เอ่ยปากขึ้น
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาสี่ออกไปวิ่งทำการค้าก็ไม่ง่าย ให้อาสี่กลับมาเมืองหลวงเถิด”
ตอนเหล่าซิ่วไฉเอ่ยถึงเรือนสี่นั้น ความเห็นเขาที่มีต่อนายท่านสี่นับว่าไม่เลวเลย ยอมลำบาก มีความคิดอ่าน มีความรอบคอบ แค่เพียงถูกเรือนรองกับเรือนสามกดขี่เอาไว้จนพลิกตัวไม่ขึ้นเท่านั้น
เฉียวเวยไม่คิดจะนับญาติกับพวกเขา แต่หากในวันหน้าเฉียวเจิงฟื้นขึ้นมา ก็จำเป็นต้องมีคนที่ไว้ใจได้คอยช่วยเหลือดูแลกิจการของครอบครัวส่วนนี้
เมื่อเทียบกับการให้บุตรชายของย่าทวดเมิ่งได้ประโยชน์ สู้ให้โอกาสเรือนสี่สักเล็กน้อยยังดีกว่า
“โจวอี๋เหนียงยังแข็งแรงดีหรือไม่” เฉียวเวยถาม
โจวอี๋เหนียงเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนายท่านสี่
ฮูหยินสี่ยิ้มแหยๆ “พักอยู่ที่บ้านข้างนอกน่ะ”
ดูเข้า นี่แหละคือความร้ายกาจของเมิ่งซื่อ ยามปู่ทวดยังอยู่มีสตรีตั้งมากมายเพียงนั้น ทุกคนถูกไล่ตะเพิดไปหมดแล้ว เหลือนางเพียงคนเดียวที่กุมอำนาจอยู่ในบ้านตระกูลเฉียว
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ในจวนไม่ขาดห้องหับไม่กี่ห้องพวกนั้นหรอก ไปรับโจวอี๋เหนียงกลับมาเถิด เอาล่ะ นี่ก็สายแล้ว ข้าควรกลับได้แล้ว”
“ข้าได้ยินว่า…” ฮูหยินสี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเรียกเฉียวเวยไว้ “เจ้ามีบุตรแล้ว”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “อื้ม เป็นแฝดชายหญิง ห้าขวบแล้ว”
“เป็น…” ฮูหยินสี่อยากถามว่าใช่บุตรของยิ่นอ๋องหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเมื่อลองคำนวณเวลาดูแล้ว ก็เหมาะเจาะกันพอดี
เฉียวเวยเอ่ยตัดบทอีกฝ่าย “ไม่ใช่”
ฮูหยินสี่ตอบอาคำหนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “มีเรื่องหนึ่งข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ไว้สักหน่อย”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรหรือ”
ฮูหยินสี่ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “เจ้าไม่เคยถามเรื่องของท่านย่าเจ้าเลย ใช่เพราะคิดว่านางจากโลกนี้ไปแล้วหรือไม่”
“นางยังมีชีวิตอยู่หรือ” เหล่าซิ่วไฉบอกว่านางเสียชีวิตไปแล้วนี่ อีกทั้งทุกคนในตระกูลเฉียวรวมถึงผู้ใหญ่พวกนั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงนางมาก่อน เรื่องสำคัญที่ต้องให้ผู้ใหญ่ออกหน้าอย่างการแยกบ้านออกไปก็ไม่เห็นนางปรากฏตัว
ฮูหยินสี่ส่ายหน้า “หลังจากถูกขับออกจากบ้านไป นางหมดอาลัยตายอยาก ตัดสัมพันธ์กับตระกูลเฉียวแล้วไปปลงผมบวชชีอยู่ที่สำนักชีน่ะ”
…
สำนักชีปี้เย่ว์ ลานหน้าประตูหนาวเย็น แม่ชีตัวน้อยคนหนึ่งกำลังกวาดเศษใบไม้อยู่หน้าประตูอย่างตั้งใจ เมื่อมีแขกมาจุดธูปไหว้พระ แม่ชีตัวน้อยก็วางไม้กวาดลงแล้วหันไปทำความเคารพแขกที่มา
แขกที่มาไว้พระทำความเคารพตอบกลับ แล้วเดินเข้าไปสำนักชีพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
แม่ชีน้อยเอ่ยว่าเก้าคำหนึ่งแล้วกลับไปกวาดพื้นต่อ
นี่เป็นแขกคนที่เก้าของวัน นี่ท้องฟ้าก็มืดแล้ว คงไม่มีใครมาจุดธูปอีก
เป็นอีกวันที่ไม่ครบสิบคน
แม่ชีน้อยทำปากยื่น ท่าทางดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนใบไม้ที่นางกำลังจะกวาดไปถึง แม่ชีน้อยขมวดคิ้ว คิดอยากบอกให้แม่นางผู้นี้เอาขาออกไป!
“แม่ชีน้อย ข้าอยากถามหาใครคนหนึ่งจากท่านสักหน่อย”
ไพเราะ ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเหลือเกิน
แม่ชีน้อยกะพริบตาพลางเงยหน้ามอง
อา งาม งาม งาม ช่างเป็นพี่สาวที่งามมากจริงๆ!
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย ดวงตาโค้งลง “แม่ชีน้อย ข้าขอถามว่าแม่ชีจิ้งซินอยู่หรือไม่”
“แม่ชีจิ้งซิน แม่ชีจิ้งซิน…” แม่ชีน้อยหลุดจากภวังค์ “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแม่ชีจิ้งซินมาก่อนเลย!”
เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “ที่นี่ใช่สำนักชีปี้เย่ว์หรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว” แม่ชีน้อยตอบ
“เจ้าเพิ่งมาใหม่” เฉียวเวยถาม
แม่ชีน้อยอึ้งไป “เจ้ารู้ได้อย่างไร ข้ามาที่นี่เป็นคนที่สิบเอ็ด!”
มิน่าเล่า
เฉียวเวยระบายยิ้ม แล้วเดินเข้าไปในอาราม
ตัวโบสถ์หน้าตาซอมซ่อกว่าที่คิดไว้เสียอีก คนมาจุดธูปไหว้พระมีน้อยนิด คุกเข่าคารวะอยู่ในอารามที่ร้างจากการบูรณะมาหลายปี
เฉียวเวยนึกถึงวัดหันซานที่เคยไปมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเทียบกับวันหันซานแล้ว ที่นี่เรียกได้ว่ามาฝึกบำเพ็ญทุกรกิริยาโดยแท้
แม่ชีที่พอมีอายุคนหนึ่งเดินพนมมือออกมา “อามิตาพุทธ เจ้าจะมาจุดธูปหรือจะมาหาใครหรือ”
เฉียวเวยยกมือขึ้นพนม ทำความเคารพแล้วบอกว่า “ข้ามาหาคน แม่ชีท่านรู้ได้อย่างไร”
แม่ชีตอบว่า “ข้าได้ยินที่เจ้าสนทนาเมื่อครู่น่ะ”
เฉียวเวยหันกลับไป แม่ชีน้อยกำลังพิงอยู่ข้างประตู ยื่นศีรษะน้อยๆ ออกมาทำหน้าทะเล้นใส่เฉียวเวย
เฉียวเวยยิ้มแล้วทำหน้าทะเล้นกลับคืนไปบ้าง แม่ชีน้อยจึงตกใจจนหดศีรษะกลับไป
วัยที่ใสซื่อซุกซน เกรงว่าคงไม่รู้กระทั่งการเป็นแม่ชีหมายถึงอะไรกระมัง
แม่ชีถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านช่างมาไม่ได้จังหวะ แม่ชีจิ้งซินมรณภาพไปแล้ว ท่านเป็นครอบครัวของนางหรือ”
เฉียวเวยรู้สึกสะท้านในอก “นางเป็นท่านย่าของข้า”
“อามิตาพุทธ” แม่ชีพันลูกประคำในมือแล้วกล่าวว่า “เชิญตามข้ามา”
เฉียวเวยเดินตามแม่ชีเข้าไปในห้องด้านใน
ในห้องเล็กๆ ที่ขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร ภายในสะอาดสะอ้าน ไม่มีเครื่องเรือนอะไรที่เกินจำเป็น มีเพียงเตียงจากไม้กระดานแข็งๆ โต๊ะเก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า และตะเกียงหนึ่งอัน
“เรื่องของเจ้า ข้าเคยได้ยินจิ้งซินเอ่ยถึงมาก่อน จิ้งซินคิดว่าตนเองไม่อาจปกป้องเจ้าได้ จึงรู้สึกผิดมาตลอด ไม่ว่าเรื่องของใช้การกินอยู่ล้วนหยิบหาแต่ของที่แย่ที่สุด บอกว่าตนเองทำอะไรไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงลำบากเป็นเพื่อนท่านเท่านั้น”
แม่ชีพูดพลางผลักเปิดหน้าต่างออก นางชี้ไปยังแปลงผักเล็กๆ ด้านนอกหน้าต่าง “จิ้งซินปลูกเองกับมือ”
ท่านย่าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ตลอดชีวิตของนางไม่เคยลำบากมาก่อน เมื่อถึงยามแก่ชรากลับต้องมาอัตคัดเรื่องการกินอยู่ คลุกดินทำงานหนัก
ในใจเฉียวเวยยิ่งรู้สึกเสียใจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าไม่ต้องเสียใจไป ชีวิตในสำนักชีของนางสงบสุขอย่างมาก” แม่ชีเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าสิบกว่าชุดที่เนื้อผ้าแสนจะธรรมดาออกมา “จิ้งซินเอาผักที่ตนปลูกได้ไปขายเป็นเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้เจ้า”
ล้วนเป็นเนื้อผ้าที่ถูกที่สุดทั้งสิ้น ฝีเข็มก็บิดๆ เบี้ยวๆ คิดแล้วคงเพราะอายุมาก สายตาไม่สู้ดี จึงมองอะไรไม่ชัดเจน
“เจ้าสูงขึ้นแล้ว” แม่ชีเอ่ยยิ้มๆ
เฉียวเวยมองนางด้วยความไม่เข้าใจ
แม่ชีชี้ไปยังรอยเล็กๆ บนตู้เสื้อผ้า “รอยนี้จิ้งซินเป็นคนทำไว้ นางบอกว่าเจ้าสูงเท่านี้”
เฉียวเวยเดินเข้าไปเทียบกับรอยนั้น นางสูงเลยมาครึ่งช่วงศีรษะแล้ว
แม่ชีหยิบหีบเล็กๆ อีกสองกล่องออกมาจากในตู้ “เหล่านี้เป็นของที่จิ้งซินเคยใช้ตอนมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น หีบหนึ่งเป็นหลังออกบวช อีกกหีบคือก่อนที่นางจะออกบวช”
เฉียวเวยเปิดหีบออกมาดู ในหีบหลังออกบวชมีแต่เสื้อผ้าและรองเท้าของแม่ชี ในหีบก่อนออกบวชก็เป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง แต่มีเพียงชุดเดียวเท่านั้น นางไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย เปลี่ยนมาเข้าสู่ทางธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว
“สิ่งนี้คือ…” เฉียวเวยหยิบกล่องเล็กๆ ที่อยู่ก้นหีบออกมา
แม่ชีตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จิ้งซินมักนั่งมองอยู่ในห้องคนเดียวบ่อยๆ”
กล่องเล็กๆ นั้นลงกลอนเอาไว้ การเสดาะกลอนประเภทนี้สำหรับเฉียวเวยไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เฉียวเวยไม่ได้ทำ เฉียวเวยเก็บกล่องนั้นลงหีบเช่นเดิม
แม่ชีถามว่า “เจ้าจะไม่ดูหน่อยหรือ”
เฉียวเวยลูบคลำกล่องนั้น “กล่องนี้ ควรจะให้บิดาข้าเป็นคนเปิด”
แม่ชีเลยตกใจ “บิดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว บิดาข้ายังมีชีวิตอยู่ เขากลับมาแล้ว”
แม่ชียกมือพนม คล้ายพรที่ขอไว้สัมฤทธิ์ผล นางหลับตาเอ่ยว่า “อามิตาพุทธ ดีแท้ ดีแท้”
เดิมทีคิดว่าท่านย่าของตนเสียชีวิตไปแล้ว ตอนหลังได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
ใจของเฉียวเวยคล้ายนั่งรถไฟเหาะ เป็นนานยากจะสงบ
นี่เป็นท่านย่าของเจ้าของร่างเดิม ไม่ใช่นาง นางไม่เสียใจ
สารถีกวนรับหีบจากมือเฉียวเวยไปวางบนรถม้า “เสี่ยวเฉียวเอ๋ย พวกเราจะกลับเข้าเมืองหรือจะ… เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้”
“ข้าร้องหรือ” เฉียวเวยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ปลายนิ้วเปียกชื้น นางร้องอ้อเบาๆ “ทรายเข้าตาน่ะ”
…
เมื่อกลับไปบนเขา เฉียวเวยเอาของของฮูหยินอาวุโสออกมาจัดการเก็บใส่ตู้ของเฉียวเจิง ส่วนกล่องใบเล็กเอาไปวางไว้บนหัวเตียง
…
เดือนเจ็ด ชะตากำหนดให้เป็นเดือนที่ไม่สงบสุข แค่ที่ตำหนักเยี่ยนหวังก็มีเรื่องมีราวถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือโรคหัด อีกครั้งหนึ่งลอบสังหาร ต่อมาส่งน้องสาวที่น่ารังเกียจไปได้ “ขับไล่” ครอบครัวที่จิตใจโหดร้ายคิดไม่ซื่อ ได้บิดากลับมา ตามหาท่านย่าพบ… ของที่เหลือไว้
จิ่งอวิ๋นเริ่มฟันน้ำนมหลุดแล้ว เขี้ยวเล็กๆ หลุดไปซี่หนึ่ง
ตอนเด็กๆ เคยดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ฟันของเด็กพอหลุดออก จะมีหนูมาเอาไปกิน แล้วหนูตัวนั้นก็จะกลายเป็นเด็กน้อย
เฉียวเวยฝันร้ายเพราะเรื่องนี้อยู่หลายคืน ฝันเห็นว่าตัวเองถูกจับขังอยู่ในห้อง ส่วนหนูตัวนั้นออกไปเรียนหนังสือแทนนาง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เฉียวเวยก็ไม่กล้าทิ้งฟันมั่วซั่วอีกเลย
เฉียวเวยหากล่องเล็กๆ ใบหนึ่งมาเก็บฟันน้ำนมของบุตรชาย
วันที่สามสิบตามจันทรคติเป็นวันที่โรงงานจะจ่ายเบี้ยหวัด ชาวบ้านต่างจังหวัดในโรงงาน เพราะเบิกเงินภาษีไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ทำให้เวลานี้มีสถานะเป็นลูกหนี้ ไม่ได้เงินเบี้ยหวัด ส่วนคณะของชีเหนียงกลับต่างออกไป
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ชีเหนียงกับอากุ้ย เสี่ยวเว่ยและปี้เอ๋อร์ก็เข้าไปที่เรือนแยก รออยู่ในห้องโถงด้วยใจที่ร้อนรน
ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะได้รางวัลพิเศษแล้ว ทุกคนจึงเฝ้ารอกันมากๆ ว่าตนเองจะได้รางวัลสักเท่าไร
เฉียวเวยถือถุงเงินจำนวนหนึ่งออกมา
ทุกคนพลันตัวยืดตรงทันที สีหน้าเคร่งเครียด
เฉียวเวยระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ “ถึงเวลาจ่ายเบี้ยหวัดแล้ว ทุกคนเฝ้ารอกันมากเลยสินะ”
ก็ต้องเฝ้ารออยู่แล้ว!
ทำงานมาทั้งเดือน เหนื่อยสายตัวแทบขาด
ทุกคนหันไปมองนางกันอย่างพร้อมเพรียง
เฉียวเวยหยิบถุงเงินใบแรกขึ้นมา “เสี่ยวเว่ย ของเจ้า”
เสี่ยวเว่ยก้าวเข้าไปรับถุงเงินมา พอเปิดออกนับก็ร้อง “เอ๊ะ”
“มากไปหรือว่าน้อยไปเล่า” เฉียวเวยถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ปี้เอ๋อร์ยื่นหน้าจะไปมอง เสี่ยวเว่ยรีบปิดถุงไม่ยอมให้เห็น “ไม่น้อยไปไม่มากไป”
ทั้งหมดสามตำลึง!
ช่วงที่เจินเวยเหมิ่งป่วย เขาลางานไปตั้งหลายวัน ยังคิดว่าจะถูกหักเงินจนไม่เหลือแล้วเสียอีก ใครจะคิดว่าจะได้มากเช่นนี้!
สามตำลึงในอดีตนับว่ามากแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นสกุลเงินหยวนก็แค่หนึ่งพันแปดร้อยหยวนเท่านั้น คนมีฝีมืออย่างเสี่ยวเว่ยที่เอาไข่เน่ามาทำเป็นไข่เยี่ยวม้าได้ นับว่าคุ้มเกินคุ้มยิ่งนัก
นายทุนเฉียวดื่มชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง
จากนั้นเป็นปี้เอ๋อร์
ปี้เอ๋อร์ไมได้ลาหยุด ทั้งยังดูแลงานสองด้าน เบี้ยหวัดสองตำลึง รางวัลพิเศษสองตำลึง
ปี้เอ๋อร์ดีใจแทบแย่ เงินตั้งมากเพียงนี้นางไม่เคยได้มาก่อนเลย!
เป็นทั้งคนงานเป็นทั้งพี่เลี้ยง ยังให้แค่สองพันสี่ร้อยหยวน ฉันนี่ขี้งกจริงๆ!
เฉียวเวยดื่มชาต่อไป
คนที่สามถึงตาอากุ้ยแล้ว
ในคืนที่ต้องรับมือกับนักฆ่า เฉียวเวยรับปากอากุ้ยไว้ว่าจะให้เงินพิเศษ
อากุ้ยเปิดถุงเงินดูด้วยความเฝ้ารอ พอนับดู หกตำลึง
อากุ้ยพลันหน้าบึ้ง “ฮูหยิน ชีวิตของท่านมีค่าแค่เงินจำนวนนี้หรือ”
เฉียวเวยลูบปลายคาง “คืนนั้นดูเหมือนเป็นข้าที่ช่วยชีวิตเจ้า”
ภาพที่ตนถูกนักฆ่าจับตัวไว้ ตีกลับขึ้นมาราวกับเกลียวคลื่น อากุ้ยพลันหุบปากฉับ
ชีเหนียงปรบมือแปะๆๆๆ หกตำลึงก็ไม่น้อยแล้วจะบอกให้ นายอำเภอเดือนหนึ่งยังได้แค่สิบตำลึงเอง
อันที่จริงอากุ้ยก็พอใจมากอยู่ เขาเป็นบ่าวที่ลงชื่อรับใช้ชั่วชีวิตไปแล้ว เดือนหนึ่งได้สักสองตำลึงก็ต้องร้องอามิตาพุทธแล้ว เงินหกตำลึงนี้นับว่าเป็นสวรรค์แล้ว
คนสุดท้ายคือชีเหนียง
ถุงเงินของชีเหนียงดูจะหนักเล็กน้อย
อากุ้ยขมวดคิ้ว เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นอย่างประหลาด
ชีเหนียงเปิดถุงเงินออกดู สายตาว่องไวของอากุ้ยเหลือบมองเร็วๆ ไม่มองยังไม่เท่าไร แต่พอได้มองก็ถึงกับขนลุก!
สิบตำลึง ชีเหนียงได้ตั้งสิบตำลึง!
นี่แม่งต้องเป็นถึงนายอำเภอเลยนะถึงจะได้สิบตำลึงเนี่ย!
“ข้าไม่ยอม!” อากุ้ยลุกยืนด้วยความไม่พอใจ
เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์ขยับเก้าอี้ถอยหลังไปหนึ่งเมตรกันทันที เพื่อหลบหลีกให้พ้นระยะทำการของอากุ้ย
ชีเหนียงดึงเขาไว้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “ทำอะไรของเจ้าน่ะ”
อากุ้ยเอ่ยเสียงขรึมว่า “เหตุใดชีเหนียงถึงได้มากกว่าข้า”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นเป็นเรื่องถูกต้องว่า “เพราะข้าตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้ชีเหนียงอย่างไรเล่า ชีเหนียง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นหัวหน้าโรงงาน”
ชีเหนียงตกใจที่ตนเองได้รับความชอบ “ข้า ข้าๆ ข้า… ข้าเป็น… หัวหน้า?”
อากุ้ยไม่พอใจ ไม่พอใจมากๆ เขาเป็นบุรุษ จะให้สตรีขึ้นมาขี่หัวได้อย่างไร
เฉียวเวยไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างผลีผลาม อากุ้ยน่ะหรือ อันที่จริงเขามีความสามารถมาก แต่นิสัยของอากุ้ยเถรตรงเกินไป สู้ชีเหนียงที่อะลุ่มอล่วยไม่ได้ ชีเหนียงปลอบโยนเฉียวเวยที่เป็นนายได้ หยอกล้อกับเสี่ยวเว่ยที่เป็นลูกน้องได้ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในโรงงานทุกคน แต่กระนั้นก็ไม่เสียอำนาจและความน่าเชื่อถือไปเพราะความสนิทสนม นางวางตัวได้พอดิบพอดี
นี่เป็นข้อดีของนิสัยนาง ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร นางจัดการได้เป็นขั้นเป็นตอน รู้ว่าตอนไหนควรเข้า ตอนไหนควรถอย ช่วงที่เฉียวเวยยุ่งอยู่กับการจัดการตระกูลเฉียว ทุกเรื่องในโรงงานล้วนมีชีเหนียงเป็นธุระจัดการให้ทั้งสิ้น ไม่มีข้อผิดพลาด ทำให้เห็นถึงความสามารถของชีเหนียง
เฉียวเวยกล่าวว่า “ไม่ได้เป็นหัวหน้า ก็อย่าได้หัวเสียไป กิจการของพวกเรามีแต่จะโตวันโตคืน ต่อไปยังจำเป็นต้องมีหัวหน้าที่จัดการงานใหญ่กว่านี้ มีที่ให้คนมีความสามารถแน่นอน”
“เหอะ!” อากุ้ยหน้าตาบูดบึ้ง
เฉียวเวยยิ้มๆ เอ่ยว่า “คราก่อนตอนออกไปท่องเที่ยวเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เที่ยวกันได้ไม่เต็มที่ พรุ่งนี้เป็นวันหยุด จะพาพวกเจ้าออกไปอีกครั้งหนึ่ง แหล่งธรรมชาติ สถานที่ชมทิวทัศน์มีชื่อเสียง เที่ยวหอคอยริมแม่น้ำเซียงเจียงหนึ่งวัน มีทั้งหาดทราย มีเรือทัศนาจร มีชายหล่อหญิงงาม เสียงนกร้อง ดอกไม้หอม ทิวทัศน์เป็นเลิศ รับประกันว่าทุกคนจะต้องเพลิดเพลินจนหมดกังวลแน่นอน!”
วันต่อมา ทุกคนถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ริมแม่น้ำสายเล็กที่มีต้นกกขึ้นเต็มไปหมด
เสี่ยวเว่ยเหยียบลงไปบนดินโคลนสกปรกเละๆ พยายามดึงขาออกอยู่เป็นครึ่งวันก็ดึงไม่ออก จนรองเท้าจมหายลงไปหมด
เรือยาวผุๆ พังๆ ลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า คนเรือเคราขาวหลังค่อมคนหนึ่งกำลังดึงเชือกเรืออยู่ ส่วนหญิงชราที่มีรอยยับย่นเต็มใบหน้ากำลังใช้ไม้ดันพืชน้ำออกไป
ริมฝั่ง ต้นหญ้าข้าวฟ่างหางหมาแถวหนึ่งกำลังส่ายไปมาตามสายลม อีกาขนร่วงจำนวนหนึ่งนอนแผ่อยู่ในทุ่งหญ้าอย่างเกียจคร้าน มีคนมายังคร้านจะขยับตัว
ชีเหนียง: “…”
อากุ้ย: “…”
เสี่ยวเว่ย: “…”
ปี้เอ๋อร์: “…”