หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 152-1 ลาภลอย กรรมตามสนอง
ช่วงเวลาที่งดงามมักสั้นเสมอ ครั้นพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียง หอคอยริมน้ำก็เป็นอันสิ้นสุดลง
ทุกคนคล้ายตื่นจากความฝัน พากันวางกระบวยตักน้ำลง
เรือยาวมีรูรั่ว เพื่อป้องกันไม่ให้เรือจม ทุกคนจึงต้องใช้กระบวยวักน้ำออกจากเรือกันทั้งวัน เรียกได้ว่าได้ออกกำลังกายกันมากเลยทีเดียว!
พวกเขาเดินคอตก พาเอาร่างที่ปวดเมื่อยเดินสะโหลสะเหลกลับไปยังหมู่บ้าน
ระหว่างทางบังเอิญพบป้าหลัวกับหลัวหย่งจื้อสองสามีภรรยาเข้า
ป้าหลัวถามยิ้มๆ ว่า “ไปเที่ยวกันเป็นอย่างไรบ้าง ดูหมดเรี่ยวหมดแรงเข้า ไปเล่นกันมาทั้งวันเลยสิท่า!”
วักน้ำออกกันทั้งวันต่างหาก!
“หาดทรายใหญ่หรือไม่” หลัวหย่งจื้อถาม
เสี่ยวเว่ยถอดรองเท้าของตนออกมาคว่ำลงกับพื้น โคลนก้อนหนึ่งหล่นลงมา “ใหญ่ ใหญ่มากๆ!”
สองสามีภรรยาตาเป็นประกาย ชุ่ยอวิ๋นถามว่า “เรือทัศนาจรเล่า”
ปี้เอ๋อร์คลำแขนเสื้อที่ฉีกขาดเพราะถูกแผ่นไม้บนเรือที่กะเทาะออกเกี่ยวเข้า พลางระบายยิ้มกว้าง “สวย สวยมากๆ!”
“มีแม่นางสาวๆ ด้วยใช่หรือไม่” หลัวหย่งจื้อหัวเราะแหะๆ ขณะถาม
“ฮ่า!” อากุ้ยเงยหน้าหัวเราะ ตบบ่าหลัวหย่งจื้อ เอ่ยเสียกรุ้มกริ่มว่า “ยอดหญิงงามในโลกหล้าทีเดียว”
“เสี่ยวเว่ยบอกว่ามีหล่อ อะไรหล่อนะ…” ชุ่ยอวิ๋นถามต่อ
ชีเหนียงยิ้มเต็มใบหน้า “หนุ่มหล่อ”
ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆๆ คำนี้แหละ! ใช่คุณชายที่สง่างามมากๆ เลยหรือไม่”
ชีเหนียงระบายยิ้มอ่อนหวาน “ก็ใช่น่ะสิ แค่มองปราดเดียวก็ยากจะลืมเลือน ยามหลับฝันกลางวันยังต้องนึกถึงหน้าเขาเลย” รวมถึงหลังค่อมๆ ของเขาด้วย
คนตระกูลหลัวอิจฉากันยิ่งนัก หากรู้อย่างนี้แต่แรก พวกเขาควรจะไปด้วย! พวกเขาตัดสินใจแล้ว ไว้รอให้หลัวหย่งเหนียนกลับมาฉลองเทศกาลไว้พระจันทร์ก่อน พวกเขาทั้งครอบครัวจะต้องไปเที่ยวที่นั่นให้ได้!
เดือนแปด อากาศค่อยๆ เย็นสบายขึ้น
เฉียวเวยว่างอยู่ไม่มีอะไรทำ จึงเอาสมุดบัญชีของโรงงานมาดูรอบหนึ่ง ชีเหนียงเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง มีแค่รู้หนังสือไม่มากพอ บัญชีจึงได้อากุ้ยเป็นคนจดบันทึก ในวันหนึ่งแต่ละคนทำงานออกไปได้เท่าไร เสียหายไปเท่าไร รู้ได้เพียงมองแค่ปราดเดียว
แรกเริ่มเดิมที โรงงานจ้างคนเพียงสามสิบคน ตอนหลังเพราะต้องเร่งผลิตสินค้า จึงเพิ่มคนมาอีกสองคน ทั้งหมดเป็นสามสิบสองคน แต่ละคนได้ค่าจ้างเก้าร้อยอีแปะ ทุกไข่เยี่ยวม้าสามลูกที่ทำได้จะได้เพิ่มหนึ่งอีแปะ อย่าดูแต่ว่านี่ดูเหมือนจะน้อย แต่เอาเข้าจริงขั้นตอนการทำให้ได้ไข่เยี่ยวม้านั้นซับซ้อนมาก ทั้งห่อเปลือก ล้างเปลือก เคลือบขี้ผึ้ง แยกบรรจุ แต่ละคนแยกหน้าที่ทำเพียงหนึ่งตำแหน่ง เมื่อคำนวณโดยละเอียดแล้ว ไข่เยี่ยวม้าแต่ละลูกมีต้นทุนหนึ่งเหรียญทองแดงเลยทีเดียว
คนที่ทำได้เร็วที่สุดก็คือสตรีร่างท้วม ถึงจะดูอ่อนหวาน คิดว่าเป็นสตรีที่อบอุ่น ใครจะรู้ว่าเวลาทำงานขึ้นมากลับเร็วกว่าบุรุษเสียอีก นางรับผิดชอบการเคลือบขี้ผึ้งแล้วแยกบรรจุ ซึ่งทำได้ดีเลิศมาก วันหนึ่งสามารถทำได้สามสี่ร้อยฟอง ทั้งยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย
หนึ่งวันได้ถึงสามสี่ร้อยอีแปะ สามวันก็เท่ากับหนึ่งตำลึงแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องสตรีร่างท้วมไม่กล้าคิดมาก่อน
บวกกับบิดาของนางก็ทำตะกร้าให้กับโรงงาน ซึ่งมีความต้องการในจำนวนมาก จึงนับว่าได้รายได้ไม่เลวเลย
เวลานี้บิดาของนางทำตะกร้าไม่ทัน เลยรับคนในหมู่บ้านเป็นลูกศิษย์ให้มาช่วยกันทำ ชีวิตของครอบครัวนางจึงดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีความสามารถเช่นเดียวกับนาง บางคนเกิดมาพร้อมมือเท้าที่เชื่องช้าเงอะงะ บางคนไม่ค่อยใส่ใจงานที่ทำ เฉียวเวยจึงวาดวงกลมในชื่อคนที่ทำได้น้อยที่สุดกับคนที่ทำเสียหายมากที่สุดเอาไว้
นางเปิดโรงงาน ไม่ได้เปิดองค์กรการกุศล หากทำงานไม่ดีจริงๆ ก็ให้ออกไปแล้วค่อยรับสมัครเอาใหม่ นางไม่เชื่อว่าในหมู่บ้านที่กว้างใหญ่เช่นนี้ จะขาดคนสองคนที่สามารถทำงานได้
“เสี่ยวเฉียวเอ๋ย เจ้าอยู่ไหม”
ด้านนอกเรือน จู่ก็มีเสียงผู้ใหญ่บ้านดังขึ้น
เฉียวเวยปิดสมุดบัญชี ลุกขึ้นไปเปิดประตูใหญ่แล้วถามว่า “เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาหาข้าที่นี่ได้”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มกว้าง “ไม่มีธุระอะไรมาหาไม่ได้หรือ!” เขาพูดพลางวางไข่เป็ดตะกร้าหนึ่งลงบนโต๊ะ “ข้าให้”
เฉียวเวยมองไข่เป็ดที่เรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดยี่สิบฟอง นางยิ้มพลางถามว่า “ท่านให้ไข่เป็ดข้าทำไมหรือ แต่ละวันไข่เป็ดที่เข้ามาที่นี่มีน้อยหรือไร หากท่านอยากให้ไข่ข้าจริงๆ ให้ไข่ไก่สิ”
ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกว่า “หากเจ้าอยากกินไข่ไก่ วันหน้าข้าจะไปเก็บมาให้เจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน”
เฉียวเวยหัวเราะพรืดออกมาทีหนึ่ง “ล้อท่านเล่นหรอก”
ที่นางอยากได้ไข่ไก่เพราะจะเอาไปทำการค้า การไปเอามาจากเล้าไก่นั่นแค่เอามาเติมซอกฟันยังไม่พอเลย
ผู้ใหญ่บ้านดันตะกร้าไปที่หน้าเฉียวเวย “ไม่ได้ให้เจ้ากิน ให้เจ้าดูว่าไข่พวกนี้เจ้าพอจะพอใจหรือไม่”
เฉียวเวยจับความนัยน์ที่แฝงอยู่ในคำพูดอีกฝ่ายได้ทันที “มีคนอยากส่งของให้ข้าหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตอบอะไรนาง แต่บอกว่า “คนใบ้ที่หมู่บ้านตะวันตกเจ้าจำได้หรือไม่”
เฉียวเวยเคยได้ยินเหล่าซิ่วไฉเอ่ยถึงมาก่อน จึงพอมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาอยู่เล็กน้อย อายุสี่ห้าสิบปี ภรรยาเพิ่งป่วยตายไปเมื่อสองปีก่อน มีบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งแต่งงานออกไปแล้ว ไม่มีบุตรชาย ตามบ้านนอกเรียกครอบครัวเช่นนี้ว่าครอบครัวสูญพันธุ์ เขาไม่ค่อยไปไหนมาไหนในหมู่บ้าน งานเลี้ยงได้เป็นถงเซิงของอาเซิงก็ไม่เห็นเขามา แต่งานรับสมัครคนงานเมื่อสองครั้งก่อนกลับเห็นเขาอยู่ แต่เขาอายุมากเกินไป เฉียวเวยจึงไม่ได้รับเข้าทำงาน
“เขาเลี้ยงเป็ดแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม
ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า “เลี้ยงไว้สักหลายสิบตัวได้ เดิมทีคิดจะเอาไปขายแลกเงินที่ในเมือง แต่ได้ยินว่าเจ้าทำการค้าเกี่ยวกับไข่เป็ด เลยอยากมาถามเจ้าว่าเจ้ายังขาดของหรือไม่ ตัวเขาเองไม่กล้ามาถาม เลยมาหาข้าให้ช่วยถามให้”
คนผู้นี้ก็นับว่าน่าสงสาร อยู่มาถึงวัยกลางคนได้แล้ว ภรรยามาตายเสีย บุตรสาวก็แต่งงานออกเรือนไปอีก เขาทำไร่ทำนาเสร็จกลับบ้านไป แม้แต่ข้าวร้อนๆ ก็ไม่มีให้กิน
เฉียวเวยนึกสงสาร ใบหน้ากลับยิ้มเอ่ยว่า “ข้าขาดสิ ขอเพียงตัวเป็ดไม่มีโรคอะไร ให้เขามาส่งที่ข้าได้เลย”
ผู้ใหญ่บ้านดีใจมาก เอ่ยต่ออีกว่า “ตอนนี้เขาเลี้ยงไว้ไม่มาก แต่ละวันส่งให้เจ้าได้สักยี่สิบสามสิบฟองกระมัง แต่เขาบอกว่าหากเจ้าต้องการ เขาสามารถเลี้ยงเพิ่มได้”
เช่นนี้ก็ดีน่ะสิ นางกำลังคิดหนักว่าของมีไม่พออยู่ทีเดียว ไล่หาไปทั่วทุกที่ หาจนตาจะบอดอยู่แล้ว “เช่นนั้นผู้ใหญ่บ้านช่วยรบกวนบอกเขาที ว่าเป็ดของเขาแต่ละวันออกไข่ได้กี่ฟอง ข้าเหมาทั้งหมด หากมีคนอื่นอยากส่งของให้ข้าอีก ข้าก็ยินดี”
“จริงหรือ” ผู้ใหญ่บ้านตาเป็นประกาย
เฉียวเวยยิ้มพลางทำมือบอก “เรื่องเช่นนี้ข้าจะหลอกท่านได้อย่างไร ข้าบอกกับผู้ใหญ่บ้านตามตรงนะ ตอนนี้ปริมาณที่ข้าผลิตต่อวันคือเท่านี้ เมื่อนับที่เสียหายไปด้วย ก็ต้องการมากกว่านี้อีก ข้าไปตามหาจากที่อื่นก็ต้องวิ่งจนขาขวิด หากสามารถหาซื้อจากในหมู่บ้านได้ ก็หมดเรื่องไปมากทีเดียว”
ผู้ใหญ่บ้านมองมือที่นางทำแล้วนิ่งอึ้งไปนาน เจ้าเด็กคนนี้ อยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่ทำกิจการเสียใหญ่โตเพียงนี้แล้ว มีหัวการค้าเช่นนี้ เหตุใดคราแรกถึงเกือบจะหิวตายได้นะ
ผู้ใหญ่บ้านคิดไม่ตกว่าเฉียวเวยไปคิดอะไรเช่นนี้ออกได้อย่างไร จึงไม่คิดมันเสียเลย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ “หรือไม่ ให้ข้าพาเจ้าไปที่บ้านคนใบ้นั่นดีไหม เจ้าต้องการเท่าไร ก็บอกกับเขาเองเลย เข้ากลัวว่าข้าพูดเขาจะไม่เชื่อ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ได้สิ”
ทั้งสองขยับตัวออกไปยังบ้านคนใบ้ที่อยู่ในหมู่บ้านตะวันตก
คนใบนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามอยู่ เขาชื่อว่าต้าฉุย แต่เพราะเขาพูดไม่ได้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าไอใบ้ ตัวเขาเองไม่สนใจ คนในหมู่บ้านจึงเรียกเขาจนติดปาก แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็พลอยเรียกไปกับเขาด้วย
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าต้าฉุย ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่กล้าเสียมารยาทเรียกเขาเช่นนี้
“ต้าฉุยเอ้ย เจ้าอยู่บ้านหรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านเดินนำเฉียวเวยเข้าไปในบริเวณบ้านที่รกรุงรัง อุปกรณ์ทำไร่ทำนาวางระเกะระกะ เป็ดไก่หลายตัวคุ้ยหาอาหารอยู่ในพงหญ้า บนเชือกตากผ้ามีกางเกงตัวหนึ่งตากแขวนอยู่ ข้างใต้เชือกมีกาละมังไม้ใบใหญ่ กำลังแช่ผ้าที่ยังซักไม่เสร็จ
ต้าฉุยทำอาหารอยู่ในครัว ได้ยินเสียงเลยเดินออกมา พอเห็นเฉียวเวยที่อยู่ข้างๆ ผู้ใหญ่บ้านก็อึ้งไปเล็กน้อย
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไปเรียกเสี่ยวเฉียวมาให้แล้ว เรื่องไข่เป็ดพวกเจ้าคุยกันเองก็แล้วกัน”
ต้าฉุยพูดไม่ได้ จึงทำไม้ทำมือส่งภาษาแทน
ซึ่งนี่ นี่ไม่เหมือนกับภาษามือที่เฉียวเวยรู้จัก
เฉียวเวยหันไปมองผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกว่า “เขาบอกว่าในบ้านรก เลยจะไม่เชิญเจ้าเข้าไปนั่ง เจ้ารอก่อน เขาจะไปยกเก้าอี้ออกมาให้”
ต้าฉุยยกเก้าอี้สองตัวออกมา ให้ผู้ใหญ่บ้านกับเฉียวเวยนั่ง ส่วนตนไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ย
เฉียวเวยเอ่ยเข้าเรื่องทันที “คืออย่างนี้นะ อาต้าฉุย จำนวนของที่ข้าต้องการค่อนข้างมาก เจ้าคิดว่าตนเองสามารถส่งให้ข้าได้เท่าไร ข้าหมายถึงต่อวันนะ”
ต้าฉุยทำไม้ทำมือบอก
ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า “เขาบอกว่าตอนนี้เขามีแม่เป็ดเพียงยี่สิบแปดตัว เป็ดออกไข่สองวันหนึ่งฟอง วันหนึ่งเขาส่งให้เจ้าได้ทั้งหมดสิบสี่ฟอง แต่หากเจ้าต้องการ เขาสามารถเลี้ยงหลายร้อยตัวได้ ยิ่งเจ้าอยากได้มาก เขาก็จะยิ่งเลี้ยงให้มาก”
แค่ทำมือทำไม้สองสามที ได้ความหมายมากขนาดนี้เชียวหรือ! ไม่เสียแรงที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นมือฉมังในการแปลภาษา
เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้าลองส่งให้ข้าวันละห้าสิบถึงหนึ่งร้อยฟองดูก่อน?”
ต้าฉุยส่งภาษามือ
ผู้ใหญ่บ้านบอกอีกว่า “ขอเวลาเขาสี่เดือน เขาจะเลี้ยงลูกเป็ดให้โต”
เฉียวเวยพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
การค้าที่นางอยากทำคือทำกันไปยาวๆ ไม่ได้อยู่แค่วันสองวันนี้
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยชมต้าฉุยว่า “ต้าฉุยเลี้ยงสัตว์ปีกพวกนี้เก่งนัก ไก่ เป็ด ห่านพวกนี้อะไรก็ได้ มาปล่อยไว้ที่นี่เขาเลี้ยงให้รอดได้หมด มีอยู่ปีหนึ่งนะ การค้าขายเนื้อไก่ดีมาก ในหมู่บ้านพวกเราทุกบ้านเลี้ยงจนโตกันหลายสิบตัว แต่สุดท้ายมีโรคระบาดไก่ ไก่ทุกบ้านป่วยตายกันหมด มีแต่บ้านต้าฉุยที่ไม่เป็นอะไร!”
ต้าฉุยที่ดูไม่มีอะไรโดดเด่น คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถเช่นนี้ อาชีพทั้งสามร้อยหกสิบห้าสายอาชีพ ในทุกสายอาชีพล้วนมีมือฉมังอยู่จริงๆ เสียด้วย เฉียวเวยคิดอะไรได้ แววตาจึงสั่นไหวขณะถามว่า “อาต้าฉุย เจ้าเลี้ยงนกได้หรือไม่”
ต้าฉุยใช้หลังมือซ้ายตีที่หลังมือขวา
ผู้ใหญ่บ้านแปลให้ว่า “เขาบอกว่านกเหยี่ยวยังเลี้ยงได้เลย”
อาต้าฉุยมีอารมณ์ขันเช่นนี้ด้วย เฉียวเวยถูกแหย่จนยิ้มออกมา “นกเหยี่ยวคงไม่ต้องหรอก ข้ากลัวว่าเขาจะจับเจ้าเล็กๆ ที่บ้านข้าไปเสีย อาต้าฉุยเคยเลี้ยงนกกระทาหรือไม่”
ต้าฉุยเดินเข้าไปในห้อง หยิบกรงใบหนึ่งออกมา ข้างในมีนกกระทาตัวอวบอ้วนอยู่สองตัว ต้าฉุยหันไปส่งภาษามือให้ผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มบอกว่า “เขาบอกว่านกกระทาคู่นี้ให้เจ้าเอากลับไปกิน”
แค่ดูก็รู้ว่านี่เป็นนกกระทาที่เลี้ยงในบ้าน ท่านอาใบ้ผู้นี้เลี้ยงนกกระทาเก่งจริงๆ ตัวนางกำลังคิดหนักว่าหาพ่อค้านกกระทาไม่ได้อยู่ทีเดียวเชียวเชียว
ถึงแม้ว่าเถ้าแก่หรงจะพูดไว้เสียดิบดี หากไม่ได้จริงๆ ตนก็จะเลี้ยงเอง แต่การเลี้ยงสัตว์ปีกในบ้านจำเป็นต้องมีทักษะอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้ง่ายเหมือนที่เถ้าแก่หรงพูดเอาไว้ หากมีอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นอย่างที่ผู้ใหญ่บ้านบอก พอมีโรคระบาด ไก่ทั้งหมดล้มตาย เช่นนั้นเงินที่ลงไปคงสูญสิ้น
เฉียวเวยชี้ไปที่นกกระทาแล้วบอกว่า “อาต้าฉุย ข้าต้องการไข่นกกระทาด้วยเช่นกัน เจ้าสามารถส่งให้ข้าได้หรือไม่”
ต้าฉุยยกนิ้วโป้งขึ้นมา
อันนี้เฉียวเวยดูเข้าใจแล้ว
ต้าฉุยหันไปทำมือบอกอะไรผู้ใหญ่บ้านอีก รอยยิ้มบนใบหน้าผู้ใหญ่บ้านจึงกว้างขึ้น “ต้าฉุยบอกว่า นกกระทาจากฟักเป็นตัวถึงออกไข่ใช้เวลาไม่เกินห้าสิบวัน ขอเวลาเขาสองเดือน เขาก็สามารถส่งให้เจ้าได้แล้ว”
เฉียวเวยคิดว่าตนเก็บเพชรเม็ดงามได้เสียแล้ว ไข่นกกระทาในตลาดทั้งน้อยทั้งแพง คิดอยากซื้อหาจำนวนมากก็ซื้อไม่ได้ อาต้าฉุยช่างแสนดี เดือนสิบก็เริ่มส่งของให้นางได้แล้ว
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยต่อว่า “เจ้าต้องการเท่าไร ต้าฉุยถาม”
เฉียวเวยตอบทันทีว่า “มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น แต่อาต้าฉุยอย่าเพิ่งเลี้ยงทีเดียวเยอะๆ จะดีกว่า อย่างไรก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป กิจการของข้านี้อย่างไรก็หนีไปไหนไม่ได้ ต่อให้คนอื่นให้ข้าได้มากกว่านี้ ข้าก็ยังคิดถึงคนในหมู่บ้านก่อน”
พูดตามตรง ผู้ใหญ่บ้านก็กลัวว่าพอต้าฉุยตื่นเต้นแล้วจะเลี้ยงนกเลี้ยงไก่ในบ้านเสียมากมายจนไม่คิดถึงผลที่จะตามมา หากเกิดโรคหรืออะไรขึ้นคงตายแน่ เฉียวเวยพูดถูก ต้องค่อยเป็นค่อยไป ลองเลี้ยงสักจำนวนหนึ่งก่อน เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนของที่ส่งไปเรื่อยๆ
ผู้ใหญ่บ้านหันไปหาต้าฉุย เอ่ยอย่าง “คอยดึงหูสั่งสอน” ว่า “ต้าฉุยเจ้าได้ยินหรือไม่ ไม่ต้องรีบร้อนนะ ค่อยๆ ทำไปทีละก้าว ผู้ชายหากก้าวใหญ่เกินไป เดี๋ยวจะดึงไข่ห้อยเอาได้!”
“พรืด…” เฉียวเวยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
การค้าขายกับอาต้าฉุยจึงเป็นอันตกลงกันเช่นนี้ ราคาของที่เฉียวเวยให้ต่ำกว่าที่ตลาดค้าปลีกให้อยู่เล็กน้อย แต่หากส่งของให้ได้ตามเวลาและมีคุณภาพ หนึ่งเดือนหลังจากนี้จะขึ้นราคาให้ พอได้สามเดือน ราคาก็เกินกว่าที่ตลาดค้าส่งปกติจะให้กันแล้ว
หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พาเฉียวเวยไปบ้านอีกครอบครัวหนึ่ง บอกพวกเขาว่าหากมีไข่เป็ด สามารถเอาไปขายให้ที่เฉียวเวยได้
อย่ามองแต่ว่าแยกซื้อจากแต่ละบ้านจะได้ปริมาณน้อย พอเอามารวมกัน แต่ละเดือนก็ได้หลายร้อยอยู่ อีกทั้งพวกเขามาส่งของให้ถึงโรงงาน ไม่ต้องให้เฉียวเวยไปเอาเอง
ราคาที่ให้เท่ากับอาต้าฉุย บางคนรังเกียจที่ได้ราคาถูก ไปขายในเมืองได้ฟองละสองอีแปะ แต่ขายให้นางฟองละหนึ่งอีแปะ ไม่สมเหตุสมผล
เฉียวเวยได้ฟังก็เพียงแค่ยิ้ม เอาราคาขายปลีกมาเทียบกับราคาขายส่งของนาง ช่างกล้าเทียบกันจริงๆ เหตุใดถึงไม่พูดบ้างว่าหากผ่านไปสามเดือนแล้ว ราคาขายส่งของนางจะเท่ากับราคาขายปลีกในตลาด ผ่านไปครึ่งปีก็จะเกินราคาตลาดแล้วบ้างเล่า
ไม่ขายก็ไม่ขาย ไข่จำนวนเท่านี้นางไม่เอาก็ได้
เฉียวเวยกลับไปบนภูเขา ก็เจอบุคคลที่ไม่คาดคิดแต่ก็อยู่ในการคาดเดา นางเห็นชุยกงกงยืนรออยู่ที่หน้าประตู นางจึงยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา “หัวหน้าชุย ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ได้ พรุ่งนี้ถึงเป็นวันส่งของไม่ใช่หรือ”
หัวหน้าชุยโบกมือ “อย่าไปพูดถึงเลย หลายวันก่อนของพวกนั้นที่เกินเรื่อง ในใจพวกจ๋าเจียยังนึกกลัวอยู่เลย สินค้าพวกนั้นของเจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
เฉียวเวยแสร้งถามทั้งที่รู้แก่ใจว่า “ทางข้านี่เรียบร้อยดีทุกอย่างนี่ สินค้าอะไรของหัวหน้าชุยที่เสียหายหรือ”
หัวหน้าชุยทอดถอนใจเอ่ยว่า “ของสวีซื่อแห่งตระกูลเฉียว ที่จ๋าเจียเคยบอกเจ้า”
“อ้อ ของนางน่ะหรือ” เฉียวเวยทำหน้ากระจ่างแจ้งโดยพลัน
หัวหน้าชุยเอ่ยด้วยความดีใจว่า “โชคดีที่จ๋าเจียฟังคำเจ้า ไปให้นางลงชื่อในข้อตกลงผิดสัญญา ไม่อย่างนั้นที่นางส่งของให้ไม่ได้ คนที่รับเคราะห์คงเป็นจ๋าเจียแล้ว!”
เฉียวเวยถามด้วยความ “เป็นห่วง” ว่า “ทางด้านท่านไม่เป็นอะไรกระมัง”
“แค่เงินเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก” เดิมทีที่ร่วมกันทำกับอีกฝ่ายเป็นการทำสัญญาก่อนซื้อขายจริง เขาจ่ายเงินไป อีกฝ่ายรับปากว่าหากส่งของให้ไม่ได้ตามกำหนดเวลา จะชดใช้ให้สองเท่าของราคาขายที่ตกลงกันไว้ ตอนเขาทำข้อตกลงกับสวีซื่อ เขาตั้งใจทำให้มากอีกนิด เขียนว่าชดใช้เป็นสามเท่า สวีซื่อชดใช้ให้ตนสามเท่า ส่วนตนชดใช้ให้อีกฝ่ายต่อสองเท่า อันที่จริงก็ยังได้กำไรอยู่ เพียงแต่ชื่อเสียงความน่าเชื่อถืออะไรก็หายไปมาก
เฉียวเวยเชิญหัวหน้าชุยเข้าไปในห้อง ชงชาหลงจิ่งให้อีกฝ่าย “ท่าน… ยังไม่ได้ชดใช้เงินกระมัง”
หัวหน้าชุยบอกว่า “ยังมีเวลาอีกสามวัน” ถึงแม้จะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้ออกไป แต่เขาก็อยากเก็บเงินไว้ในมือให้มากอีกสักสองสามวัน “ชาหลงจิ่งของเจ้านี่ไม่เลวเลยนะ ชาใหม่ของปีนี้”
เฉียวเวยพยักหน้ายิ้ม “ใช่แล้ว”
หัวหน้าชุยเป็นคนของกรมกิจการภายใน ของดีๆ ไปอยู่ที่ไหนบ้างเขารู้ดีกว่าใครเพื่อน ปีนี้ชาหลงจิ่งผลิตได้น้อย ในตลาดไม่มีวางขาย ของทั้งหมดถูกส่งเข้าในวัง ฝ่าบาทชื่นชอบชาหลงจิ่ง กรมการภายในไม่กล้ารั้งรอ จึงส่งไปให้ฮ่องเต้ทั้งหมด
ฮ่องเต้เก็บไว้เองสิบจิน ให้ไท่จื่อและกุ้ยเฟยคนละสิบจิน ที่เหลือทั้งหมดเข้ากระเป๋าอัครเสนาบดี
ชาหลงจิ่งของฮูหยินผู้นี้หากไม่ใช่ฝ่าบาทพระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นก็เป็นที่เจ้านายสามท่านนี้ประทานให้ จะเป็นใครกันหนอ ไท่จื่อ? กุ้ยเฟย? อัครเสนาบดี?
ไท่จื่อกับกุ้ยเฟยเลยมีวาสนาได้พบเฉียวซื่อในงานฉลองวันเกิดของไท่จื่อ เฉียวซื่อช่วยไท่จื่อที่สำลักอาหารไว้ จะเป็นไท่จื่อที่ประทานให้นางหรือไม่
หรือว่า… คนที่คอยดูการช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ตลอดอย่างกุ้ยเฟย