หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 168-2 สู่ขอ
ตอนที่ 168-2 สู่ขอ
ในใจยิ่นอ๋องเกิดความรู้สึกรังเกียจพวยพุ่ง เขากำผ้าห่มไว้แน่น ห่อรอบร่างกายที่แข็งแกร่งของตนไว้ แต่เอาจับผ้าห่มขึ้นมา ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล พอก้มลงไปมอง ก็ถึงกับอึ้งงันไปทันที!
เสื้อผ้าของเขาเล่า
กางเกงของเขาเล่า
กางเกงตัวในของเขาเล่า
เหตุใดถึง หาย ไป หมด เลย?!
“เจ้าทำอะไรข้า” ยิ่นอ๋องโกรธจัด
ยอดหญิงงามยกมืออวบใหญ่ราวกับอุ้งมือหมีของตนขึ้นมาลูบหน้าด้วยความเขินอาย “ไม่มีอะไรนี่ เสื้อผ้าท่านเลอะหมดแล้ว ข้าเลยช่วยถอดให้”
ข้าถูกสตรีนางหนึ่งเห็นเนื้อตัวหมดเลย?!
สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้ยิ่นอ๋องรู้สึกไม่ดีไปหมด เขาเอาผ้าห่มห่อตัวแน่นขึ้น กลัวว่าจะถูกหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้แทะโลมจนหมดตัวอีก
“ท่านพ่อของลูก ท่านหนาวหรือ” ยอดหญิงงามถามด้วยความใส่ใจ “ข้าช่วยทำให้อุ่นขึ้นดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง!” ยิ่นอ๋องปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นไป ห้ามขยับ!”
“ไม่ขยับก็ได้ กลัวว่าคนเขาจะหนีไปหรือไร” หญิงงามยิ้มอย่างออดอ้อน เวลาหมีตัวใหญ่ทีดูบึกบึนคิดจะออดอ้อนขึ้นมาแล้วเป็นภาพที่ทนดูไม่ได้เพียงไร ตรงหน้าเขาเวลานี้ก็ให้ความรู้สึกประมาณนั้น
ขนของยิ่นอ๋องตั้งชันไปหมด “ข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้าอย่าได้เรียกข้าเช่นนั้นอีก!”
ยอดหญิงงามเสียใจ “ไม่ได้พบกันหกปี เจ้าลืมข้าไปแล้วจริงๆ”
ข้าไม่เคยพบเจ้ามาก่อนด้วยซ้ำ!
ยอดหญิงงามถอนใจ “หรือว่าเจ้าแค่เพียงโกรธข้าอยู่ โทษข้าที่ตอนนั้นจากไปโดยไม่บอกลา?”
ขอให้ไม่ต้องพบเจอเจ้าไปชั่วกัลปาวสาน!
ยอดหญิงงามดึงยิ่นอ๋องเข้ามากอด
ยิ่นอ๋องดิ้นสู้
ยอดหญิงงามไม่สะทกสะท้าน แค่เพียงกอดยิ่นอ๋องแน่นขึ้น
ยิ่นอ๋องหันไปทำมือทำไม้ให้ขันทีหลิวที่ยืนอยู่หน้าประตู รีบเรียกชิงอีเว่ยมาอารักขา! เรียกชื่ออีเว่ยมาอารักขา!
ขันทีหลิวมองชิงอีเว่ยและชื่ออีเว่ยที่นอนจมูกเขียวหน้าบวม สลบกันไม่ตื่นอยู่เต็มลานแล้วได้แต่ลอบเบ้ปาก ยอดหญิงงามจัดการยอดฝีมือที่ไร้คู่ปรับในใต้หล้าไปหมดแล้ว ท่านขอให้พระคุ้มครองเองก็แล้วกัน!
ยิ่นอ๋องหายใจไม่ออกไปแล้ว
ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าเองก็จนใจ ข้ามีความลำบากของข้า เพื่อให้ได้กลับมาอยู่ข้างกายเจ้าอีกครั้ง ข้าลำบากสู้มาตั้งหกปี เวลานี้ในที่สุดก็สมหวังเสียที ท่านพ่อของลูก ต่อไปจะไม่มีอะไรมาพรากเราจากกันได้อีกแล้ว!”
ยิ่นอ๋องไม่ได้พูดอะไร
หลังจากถูกโถมตัวเข้าใส่ เขาก็ถูกทำให้สลบไปอีกครั้งทั้งอย่างนั้น
…
เฉียวเวยทำความสะอาดห้องครัวเสร็จ น้ำยังไม่เดือด เรื่องที่เกี่ยวกับยอดหญิงงามยังคงดำเนินต่อไป
“ว่ายอดหญิงงามของชนเผ่าเกาเย่ว์กับคุณหนูจวนแม่ทัพ ใครเก่งกาจกว่ากัน”
จีหมิงซิวไม่ได้ตอบคำถามนาง แต่กลับมองนางด้วยสายตาประหลาด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉาว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะสนใจในตัวยอดหญิงงามผู้นี้มากกว่านายน้อยอย่างข้าเสียอีก”
“ใช่ที่ไหนกัน”
“พิสูจน์ให้ข้าดูสิ ข้าจะได้เชื่อว่าไม่จริง”
เฉียวเวยหันไปมองตรงประตู เงียบเชียบ ไม่มีใครผ่านไปมาจริงๆ จึงหันไปหอมแก้มเขาเบาๆ ทีหนึ่ง
จีหมิงซิวทำหน้าตาไม่พอใจ
เฉียวเวยสูดหายใจเข้าทีหนึ่ง กำลังคิดจะง้อเขาดีๆ
“เสี่ยวเวย น้ำเดือดรึยัง เด็กๆ จะหลับแล้วนะ”
อยู่ๆ เสียงของเฉียวเจิงก็ดังขึ้นจากด้านนอก เฉียวเวยจึงผลักจีหมิงซิวเข้าไปในกองฟืน!
เฉียวเจิงเดินเข้ามา เฉียวเวยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ขยับตัวบังสายตาเฉียวเจิงไว้ “เดือดแล้ว”
“มา ข้าเอง” เฉียวเจิงพับแขนเสื้อขึ้นจะไปตักน้ำ
สายตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว คว้ามือเขาเอาไว้ “ยังต้องรออีกครู่หนึ่ง!”
เฉียวเจิงบอกว่า “น้ำเอาไปใช้อาบ ไม่ต้องต้มให้ร้อนเพียงนั้น”
เฉียวเวยตาพลันเป็นประกาย “อ่างไม้ใช้มาหลายเดือนแล้ว ต้องทำความสะอาดนักหน่อย! ท่านพ่อไปเอาอ่างมาก่อนดีกว่า”
เฉียวเจิงมองใบหน้าที่แดงแจ๋ของบุตรสาว แล้วเอ่ยด้วยควาสงสารว่า “เจ้าร้อนมากใช่หรือไม่นี่ หรือไม่เจ้าไปพักก่อน ข้าจะต้มน้ำเอง”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความร้อนรน “ไม่ต้องๆ ท่านเพิ่งหายดี จะให้ท่านทำงานหนักได้อย่างไร”
เฉียวเจิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แค่ต้มน้ำเท่านั้น”
บิดาคนอื่นมีแต่จะนั่งสบายๆ อยู่ในบ้าน แต่บิดาข้าจะแย่งข้าทำงานบ้านให้ได้…
เฉียวเวยอยากจะร้องไห้เหลือเกิน นางต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้บิดาของนางออกไปได้
จีหมิงซิวลุกจากกองฟืนขึ้นมานั่ง ศีรษะเขามีเศษไม้แห้งติดอยู่ สีหน้าย่ำแย่ ไม่ต้องบอกว่าสภาพน่าเวทนาเพียงใด
เฉียวเวยยื่นมือออกไปพลางยิ้มแหยๆ ช่วยเขาเอาเศษไม้บนศีรษะออกให้ “ขอโทษด้วยนะ ไม่ได้ทำเจ็บกระมัง”
จีหมิงซิวจับมือนางออกด้วยท่าทางเฉยเมย ลุกขึ้นอย่างเฉยเมย เดินออกจากห้องครัวไปอย่างเฉยเมย
เฉียวเวยเรียกเขาไว้ “จะไปไหน”
“ไปหาพ่อเจ้า!”
“จะทำอะไรน่ะ”
“สารภาพ”
เฉียวเวยจับแขนอีกฝ่ายไว้ “จะบ้าไปแล้วหรือ หากให้พ่อข้ารู้ว่าคือคนที่นอนกับข้าแล้วยังหายไปเฉยๆ หกปี พ่อข้าจะต้องไม่สนใจไปตลอดชีวิตแน่!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วยิ้ม “ไม่เห็นหรือว่าพ่อเจ้าชอบข้ามากแค่ไหน ตอนเขามองข้า มีคำว่า ‘รีบมาแต่งลูกสาวข้า’ อยู่เต็มหน้าไปหมด หากเขาได้รู้ว่าข้าเป็นพ่อของเด็กๆ จะต้องอยากให้เจ้าแต่งงานกับข้าโดยเร็วแน่นอน”
พูดจบ จีหมิงซิวก็สะบัดมือนางออก แล้วก้าวไปทางห้องของเฉียวเจิงทันที “นายท่านเฉียว ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหมิง มาได้พอดีจริงเชียว ข้าก็มีเรื่องของคุยกับเจ้าเช่นกัน”
พ่อตาลูกเขยอะไรนี่ ช่างใจตรงกันเสียเหลือเกิน!
ใต้เท้าอัครเสนาบดียิ้มแย้มเต็มใบหน้า “เชิญนางท่านเฉียวว่าก่อน”
เฉียวเจิงยิ้ม “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ ข้าอยากพูดเรื่องของเจ้ากับเสี่ยวเวย ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับเสี่ยเวย…”
จีหมิงซิวถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ท่าน…ไม่เห็นด้วย?”
เฉียวเจิงโบกมือ “ไม่ใช่ เจ้าอย่าเข้าใจผิด ด้วยสถานะอย่างเสี่ยวเวย การได้พบบุรุษที่ดีเลิศเช่นเจ้า นับว่าเป็นวาสนาของนาง เพียงแต่ว่า… ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเท่าไรนัก จึงอยากถามว่าที่บ้านเจ้า…มีคู่หมายไว้แล้วหรือไม่”
เข้าเรื่องเร็วเพียงนี้เชียวหรือ! ความสุขมากะทันหันเกินไป จีหมิงซิวตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ จนเมื่อเฉียวเจิงถามเป็นรอบที่สอง จึงได้ตอบอย่างจริงจังสุดแสนว่า “ไม่มีขอรับ”
เฉียวเจิงพยักหน้า “บิดามารดายังอยู่ดีหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “มารดาจากโลกนี้ไปแล้ว บิดายังแข็งแรงดีอยู่ขอรับ”
มารดาผู้ให้กำเนิดไม่อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องรับใช้แม่สามี ดีเยี่ยม
เฉียวเจิงถามต่อว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าเกิดในตระกูลใหญ่ ครอบครัวเจ้าหาเลี้ยงชีพอย่างไรหรือ”
“เป็นขุนนางขอรับ”
“อ้อ เป็นขุนนาง” เฉียวเจิงพยักหน้าอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยต่อว่า “เรื่องของเจ้าข้าพอเข้าใจแล้ว เรื่องของเสี่ยวเวยของข้าเล่า ไม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจมากน้อยเพียงไร”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความมั่นใจว่า “รู้เรื่องทั้งหมดขอรับ” ทั้งแต่หัวจรดเท้า เส้นผมทุกเส้น ไฝทุกเม็ด เขารู้หมดว่าอยู่ที่ไหน!
เฉียวเจิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คืออย่างนี้นะ เดิมทีเสี่ยวเวยของข้าเคยมีการหมั้นหมายมาก่อน อีกฝ่ายก็เป็นคนจากตระกูลใหญ่เช่นกัน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยกเลิกการหมั้นหมายไปแล้ว แต่ข้ายังเห็นว่าเจ้าควรจะรู้เรื่องเหล่านี้ไว้ก่อน ตระกูลเจ้าเองก็เป็นขุนนาง อย่างไรวันหน้าก็คงได้พบกัน หากเกิดคนผู้นั้นมาหาเรื่องเจ้า…”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ไม่มีทางขอรับ นายท่านเฉียว คนผู้นั้นจิตใจดีมาก ใจคอกว้างขวาง ไม่มีทางเอาเรื่องงานมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวแน่นอน”
ช่างพูดให้ตัวเองดูดีเก่งเหลือเกิน!
เฉียวเจิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากรบกวนเจ้า”
ท่านพ่อตาว่ามาได้เลย!
“นายท่านเฉียวเชิญกล่าว” จีหมิงซิวบอก
บนใบหน้าของเฉียวเจิงมีแววลังเลปรากฏให้เห็น ครู่หนึ่งถึงได้ตัดสินใจเอ่ยว่า “เกี่ยวกับบิดาผู้ให้กำเนิดของเด็กๆ การที่เขากระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้ากับบุตรสาวข้าเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีวันอภัยให้เขา สิ่งที่ข้าจะรบกวนเจ้าก็คือ หากวันใดบุรุษผู้นั้นกลับมาหาเสี่ยวเวยจริงๆ เจ้าอย่าได้ให้เสี่ยวเวยไปเด็ดขาด”
จีหมิงซิวหุบยิ้มทันที ยิ้มแห้งๆ เอ่ยว่า “หากข้าเป็นบิดาของเด็กๆ ก็คงดีไป”
เฉียวเจิงตบบ่าเขาพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนั้นข้าคงไม่ยกเสี่ยวเวยให้เจ้าแล้ว!”
เพี๊ยะ ถูกตบหน้าเสียแล้ว
จีหมิงซิว “…”
…
วันต่อมา เฉียวเวยตากผ้าห่มอยู่ที่บ้าน นางรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ไม้ที่พาดไว้ตากเสื้อผ้าก็ร่วงผลักๆ ลงมา นกบนต้นไม้ก็กระพือปีกบินหนีไป
เฉียวเวยพยายามทรงตัวให้มั่น เดินไปดูที่หน้าประตู หากไม่ใช่สตรีผมยาวหลังหนาเอวอวบที่เมื่อวานโถมเข้าใส่ยิ่นอ๋องจนล้มอย่างยอดหญิงงามแล้วจะเป็นใครไปได้
ตอนเห็นจากไกลๆ ดูว่านางแข็งแรงกำยำยมากอยู่ พอเดินมาใกล้ ถึงได้เห็นว่านางแข็งแรงกำยำมากจริงๆ!
เพียงแต่ว่า เหตุใดนางถึงมาที่นี่ได้
มีเรื่องอะไรหนอ
ในขณะที่เฉียวเวยกำลังมองประเมินนาง นางก็กำลังมองประเมินเฉียวเวยเช่นกัน
สายตาของนางกวาดมองเฉียวเวยตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ระหว่างที่มองก็ส่งเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้าไปด้วย ประหนึ่งว่าเห็นใจนางยิ่งแล้ว
แน่นอนว่าไม่ได้กำลังเห็นใจในความโชคไม่ดีของเฉียวเวย แต่เป็นเรื่อง…รูปลักษณ์ของเฉียวเวย
เมื่อรู้สึกได้ว่ารูปโฉมที่งามล้มบ้านล้มเมืองของนางถูกมองด้วยความรังเกียจ เฉียวเวยก็มึนงงไปทันที
คนที่ควรถูกรังเกียจคือใครกันแน่ เจ้าที่ร่างบึกบึนใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เหมาะกับความงดงามในสายตาของคนจงหยวนอย่างพวกเราสักนิดเลยต่างหาก
“เจ้าก็คือสตรีในคืนนั้น” ยอดหญิงงามเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “คืนนั้นอะไรกัน”
ยอดหญิงงามเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องของเจ้าข้ารู้หมดแล้ว ยิ่นอ๋องคิดว่าเจ้าเป็นข้ามาตลอด”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง ทำไมหรือ” มาท้าทายถึงบ้านหรือ
ยอดหญิงงามสีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษด้วย ข้ามาเพื่อขอโทษเจ้า เรื่องในตอนนั้น เป็นความผิดของพี่รองข้าเอง ทำเจ้าลำบากแล้ว”
เฉียวเวยกำลังสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป จึงมองยอดหญิงงามด้วยสายตาประหลาด
ยอดหญิงงามจับมือเฉียวเวยไว้อย่างเป็นมิตร เฉียวเวยพลันรู้สึกว่าตนถูกมือเหล็กของหุ่นยนต์ในเรื่องทรานสฟอร์มเมอร์จับเอาไว้ จนขยับไม่ได้ไปพักหนึ่ง “ไป เข้าไปดื่มชากัน!”
“ดีสิ”
ยอดหญิงงามปล่อยมือ
เฉียวเวยสะบัดมือที่ชาดิก แล้วเชิญยอดหญิงงามเข้าเรือนไป นางชงชาให้ผู้เป็นแขก เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีประสงค์ร้าย เฉียวเวยจึงผ่อนคลายความระแวดระวังในใจลง ถามด้วยความเกรงใจว่า “ตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงต้องขอโทษข้าด้วย”
ยอดหญิงงามถอนหายใจ “เรื่องเมื่อตอนนั้น จะว่าไปก็ยาว…”
หลักจากยอดหญิงงามอธิบายบายให้ฟังอย่างไร้ซึ่งตรรกะ ในที่สุดก็ได้เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเรื่องเมื่อปีนั้นเสียที
ที่แท้ ยอดหญิงงามเป็นคุณหนูจากหัวหน้าชนเผ่าเกาเย่ว์ นางอาศัยอยู่บนเกาะมาตลอด ไร้สิ่งใดให้กังวล ในปีที่อายุสิบห้าปี นางได้รู้จักกับผู้กล้าแห่งชนเผ่าเกาเย่ว์ในการประลองยุทธ์ เขาผู้นั้นมีนามว่าอาหลี่ว์ต๋า นางมีใจให้อาหลี่ว์ต๋าตั้งแต่แรกพบ อาหลี่ว์ต้าเองก็หลงรักนางตั้งแต่แรกพบเช่นกัน พื้นเพครอบครัวของอาหลี่ว์ต้าย่ำแย่มาก มีบุตรสายรองอยู่เพียงคนเดียว แต่นางกลับไม่สนใจ นางบอกปักทุกคนที่จะเข้ามาสู่ขอ มุ่งมั่นที่จะแต่งงานเป็นภรรยาของอาหลี่ว์ต๋าให้ได้
ในที่สุดมารดาของนางก็ยอมตกลง
แต่กระนั้นก่อนหน้างานสมรสไม่เท่าไร อาหลี่ว์ต๋าไปออกทะเล แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
บนใบหน้ายอดหญิงงามปรากฏแววโกรธแค้น “อาหลี่ว์ต๋าของข้าเพียงแค่ชนรถม้าเขาล้มเท่านั้น เขาก็ทุบตีอาหลี่ว์ต๋าของข้าจนตายทั้งอย่างนั้น ข้าจะต้องแก้แค้นให้อาหลี่ว์ต๋าของข้าให้ได้!”
“เขา” ในที่นี้ หมายถึงยิ่นอ๋อง
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นความรักที่ทั้งรักทั้งแค้นนี่เอง
“คนที่บ้านข้าไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนั้น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ต้อนรับอาหลี่ว์ต๋าอยู่แล้ว รู้สึกว่าเขาตายไปก็ดี ถึงอย่างไรบุรุษทั้งเกาะก็คิดอยากแต่งข้าเป็นภรรยาอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้แต่งงาน แต่ข้าทำใจลืมอาหลี่ว์ต๋าของข้าไม่ได้ ข้าตัดสินใจว่าจะแก้แค้นให้อาหลี่ว์ต๋าของข้าก่อน ข้าไปลองสืบหาฐานะของเขามา ว่าคือยิ่นอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ต้าเหลียง ข้าเลยไปขโมยเรือมาลำหนึ่ง แล้วลอบขึ้นฝั่งมา จนไปหาที่ตั้งค่ายของพวกเจ้าเจอ”
เฉียวเวยเอ่ยขัดนาง “ที่ตั้งค่ายมีคนตั้งมากเพียงนั้น เจ้าเข้าไปได้อย่างไร”
ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “ข้าเดินเข้าไป พวกเขาไม่มีใครขวางข้าเลย!”
แปดส่วนคงคิดว่าเจ้าเป็นคนงานกุลีที่มากันเรื่องน้ำท่วมแน่…
“พอเข้าไปแล้ว ข้าก็ไปหากระโจมของยิ่นอ๋อง ตอนนั้นเขาหลับไปแล้ว วิชาตัวเบาของข้าก็ถือว่าพอใช้ได้ ข้าเข้าไป เข้าไม่รู้ตัวสักนิด ถ้าข้าจะฆ่าเขาคงง่ายราวกับปลอกกล้วย แต่หลังจากที่ข้าได้เห็นเขา ข้าก็เกิดลังเล”
“เพราะเหตุใด” เฉียวเวยไม่เข้าใจ
ยอดหญิงงามนึกย้อนไป “เขารูปโฉมงดงามเพียงนั้น เขาต่างหากที่ควรเป็นอาหลี่ว์ต๋าของข้า! ข้าตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเขา!”
“พรืด…”
น้ำชาที่เพิ่งเข้าปากเฉียวเวยไป พ่นพรวดออกมาจนหมด
แบบนี้ก็ได้ด้วย?
เขาเป็นคนที่ฆ่าสามีเจ้าเลยนะ!
“เจ้าจะแต่งก็แต่งสิ เหตุใดถึง”
“ทนไม่ไหว”
ช่างยั่วยวนกันเกินไป เป็นมารร้ายคนหนึ่งชัดๆ
“ข้าก็เลยเทยาเขาทิ้ง เขายังเรียกชื่อข้าด้วย เสี่ยวเวย เรียกเสียน่าฟังเหลือเกิน ข้ายังไม่ทันบอกเขาเลยว่าข้าชื่อเสี่ยวเวย”
“เวยตัวไหน”
“เวยที่มาจากคำว่าทรงพลัง”
เฉียวเวย “…”
สมชื่อจริงๆ
ยอดหญิงงามเล่าต่อว่า “ตอนหลังพี่รองของข้ารีบตามมาถึง เห็นว่าข้าทำเรื่องเช่นนี้ลงไป จึงโกรธข้ามาก ข้าควรจะคู่กับยอดบุรุษที่เก่งกาจที่สุดของชนเผ่าเกาเย่ว์ ไม่ใช่คนจงหยวนขี้โรคคนหนึ่ง แต่ข้าไม่สนใจ ถึงแม้เขาจะอ่อนแอมาก แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าต้องเป็นเขา เขาก็คือสามีของข้า”
เฉียวเวยคันยุบยิบในใจ “แล้วข้าไปอยู่บนเตียงเขาได้อย่างไร”
ยอดหญิงงามบอกว่า “พี่รองของข้ากลัวว่าเขาตื่นมาแล้วจะตามสืบมาถึงข้าได้ เลยไปคว้าสตรีมาคนหนึ่ง ตีให้สลบเสร็จก็โยนเข้าไปในกระโจมเขา ขอโทษด้วยนะ คนที่จับมาดูเหมือนจะเป็นเจ้า ตอนหลังข้าเองก็เพิ่งมารู้ แต่กว่าข้าจะรู้ ข้าก็ถูกขังอยู่บนเกาะแล้ว”
ระหว่างทีพูด สีหน้านางมีความโศกเศร้าให้เห็น
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ามีชีวิตลำบากมากหรือ”
ยอดหญิงงามพยักหน้า “ใช่แล้ว ลำบากมาก ก่อนหน้านี้ข้าได้กินเนื้อสิบจินทุกวัน ตอนหลังได้กินเพียงห้าจินเท่านั้น แต่ละวันแทบจะผ่านไปไม่ได้เลย ข้าเลยก่อจลาจลเสียเลย”
เพื่อเนื้อห้าจิน แม่นาง เจ้าก็ก่อจลาจลแล้วหรือ…
เฉียวเวยได้เปิดโลกใหม่ มุมมองทั้งสามได้ล้างใหม่เสียแล้ว “เหตุใดเจ้าถึงโกนหัวให้เด็กๆ เล่า” ใช่เพราะมีบุตรโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน พวกเด็กๆ เลยไม่มีคนสนใจ จำต้องเอาไปปล่อยไว้ให้โตในวัด? พอคิดถึงตรงนี้เฉียวเวยก็รู้สึกเสียใจแทนเด็กๆ
ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “บนหัวพวกนางมีเหา ข้าเลยจับโกนผมเสีย”
มุมปากเฉียวเวยกระตุกเล็กน้อย “เสื้อผ้าเล่า”
ใบหน้ายอดหญิงงามเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “เสื้อผ้า ได้มาหลังจากมาถึงจงหยวนแล้ว มีคนใจดีคนหนึ่งให้มา พอดีตัวมากทีเดียว ข้าเลยให้พวกนางใส่เสีย หลังจากใส่เสื้อผ้าที่คนใจดีให้มาแล้ว พวกเราไปกินอะไรก็ไม่ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น”
ก็แน่ล่ะ คนเขาคิดว่าบุตรของเจ้าเป็นลูกศิษย์ของพุทธศาสนาไปแล้ว คิดว่าพวกเจ้ากำลังขอบิณทบาตรอยู่น่ะสิ!
เฉียวเวยใกล้จะพูดอะไรต่อไม่ถูกแล้ว เหตุใดความจริงที่นางคิดสงสัยมาตลอดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ นางยังคิดว่าจะเป็นแผนชั่วร้ายอันน่าสะเทือนขวัญเสียอีก ใครจะคิดว่ากลับเป็นความผิดพลาดที่น้ำเน่าเช่นนี้! “ข้าได้ยินว่าชนเผ่าเกาเย่ว์ของพวกเจ้าเป็นทางเข้าของชนเผ่าลึกลับ ทุกปีจะมีคนจำนวนมากขึ้นเกาะไปค้นหา”
ยอดหญิงงามตอบตามตรงว่า “ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพราะเกาะของพวกเราแร้นแค้นเกินไป ข้าเลยตั้งใจปล่อยข่าวให้คนมาทีเกาะกันมากๆ พวกเราก็ขายของให้พวกเขา แล้วข้าก็จะได้เงิน ก็จะมีเนื้อกินแล้ว”