หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 171-2 เป็นตายก็ไม่ยอม หุบเหวลึกสุดประมาณ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 171-2 เป็นตายก็ไม่ยอม หุบเหวลึกสุดประมาณ
ตอนที่ 171-2 เป็นตายก็ไม่ยอม หุบเหวลึกสุดประมาณ
เฉียวเจิงตีหน้าขรึมเอ่ยว่า “เจ้ายังผีเข้าไม่หายหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความจนใจว่า “ข้าเพียงแค่มาสำรวจสารทุกข์สุกดิบของชาวบ้านเท่านั้น”
เฉียวเจิงสีหน้าเรียบเย็น “สารทุกข์สุกดิบของชาวบ้านบนภูเขา?”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ที่ใดมีชาวบ้านย่อมต้องมาไถ่ถามทั้งสิ้น เท่าที่ข้ารู้ ลึกเข้าไปในป่าจะมีชาวบ้านอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง จึงคิดจะเข้าไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย”
เฉียวเจิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าเข้าป่าไปตั้งหลายครั้งเพียงนั้น ยังไม่เคยพบเห็นใครอยู่ในป่ามาก่อน”
รังเก่าของข้า แน่นอนว่าจะให้ท่านพบเห็นง่ายๆ ไม่ได้
เฉียวเจิงไปเก็บสมุนไพร
เขาเดินไปทางไหน จีหมิงซิวก็เดินไปทางนั้น
“ทางเดียวกัน” จีหมิงซิวยิ้ม
เฉียวเจิงตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาอีก แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหัวเสียกับการมีคนตามติดไม่ห่าง “ตอนนั้นเจ้าก็ตามตอแยบุตรสาวข้าไม่เลิกราเช่นนี้หรือ”
จีหมิงซิวแย้มยิ้ม “ท่านลุงอย่าพูดให้ฟังดูไม่ดีเพียงนั้นเลย ท่านลุงไปเก็บสมุนไพร ข้าไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ที่ไปทางเดียวกันนั้นเพราะโชคชะตานำพา อันที่จริงว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้ว ข้าก็ต้องไปถามไถ่ที่บ้านท่านลุงเช่นกัน แต่ในเมื่อได้พบท่านลุงที่นี้แล้ว ก็พูดคุยกับท่านลุงที่นี่ไปเลยแล้วกัน ท่านลุงเห็นว่าอย่างไร”
เฉียวเจิงสะบัดสายตาคมกล้าใส่อีกฝ่ายทันที “เจ้าไม่ได้จะถามไถ่ชาวบ้านตามชนบทหรอกหรือ ข้าเป็นท่านปั๋วแห่งจวนเอินปั๋ว ท่านอัครเสนาบดีจะถามไถ่ไปถึงคนในเมืองหลวงเลยหรือ”
จีหมิงซิวจึงตอบว่า “ชาวประชาล้วนเป็นญาติมิตรอย่างไร เหตุใดต้องแบ่งแยกด้วย”
แถไถ!
ตั้งแต่นั้นเฉียวเจิงก็ไม่สนใจอีกฝ่ายอีกจริงๆ พอเขาเริ่มยุ่งกับการหาสมุนไพร เด็ดสมุนไพร คัดแยกสมุนไพร ก็ไม่รู้สึกว่ามีใครตามอยู่ข้างหลังอีก
หมู่บ้านซีหนิวตั้งอยู่ติดกับภูเขา มีทิวเขาแล่นล้อไปสุดลูกหูลูกตาประหนึ่งสายน้ำที่ทอดยาว ด้านบนมีท้องฟ้าใสวาดผ่าน ก้อนเมฆปกคลุมพาให้เกิดภาพที่งดงามไม่อาจละสายตา
ไกลออกไปทางทิศตะวันออกเป็นภูเขาวายุทมิฬของพวกโจรป่า ทางฝั่งตะวันตกเป็นภูเขาหนิงชุ่ยที่รกร้างไร้ผู้คน ภูเขาทั้งสองลูกบรรจบกันเป็นลงล้อม โอบอุ้มยอดเขาที่เฉียวเวยอยู่เอาไว้ตรงกลาง
ภูเขาลูกนี้ดูเหมือนจะไม่มีชื่อเรียก แต่กลับงดงามอย่างน่าประหลาด มันตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาสองลูก ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งไม่มีคนอยู่อาศัย สมุนไพรใดๆ ก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์
เฉียวเจิงพาจูเอ๋อร์เดินหน้าต่อไป
จีหมิงซิวเหลือบมองต้นไม้ที่รกครึ้มดกหนาแล้วเอ่ยว่า “ทางนั้นแม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยไป ท่านลุงโปรดระวังด้วย”
จูเอ๋อร์กระโดดไปตามกิ่งไม้ คอยส่งเสียงตื่นเต้นออกมาเป็นระยะๆ
ซึ่งหมายความว่าเจอสมุนไพรแล้ว
เฉียวเจิงไม่สนใจจีหมิงซิว ยังลงสาวเท้าตามจูเอ๋อร์ไป
จีหมิงซิวรู้สึกเพียงว่าที่นี่รกชัดยิ่งนัก ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน จึงขมวดคิ้วเดินตามเข้าไปอีกคน
นั่นคือดอกไป๋โหว[1]หลัน เป็นสมุนไพรประเภทหนึ่ง เพราะรากของมันมีขนสีน้ำตาลยาวออกมาลักษณะคล้ายขนลิง ถึงได้เรียกขานด้วยชื่อนี้
ต้นไป๋โหวหลันมีลักษณะคล้ายต้นไห่ถัง ขึ้นอยู่ระหว่างซอกหน้าผา กิ่งก้านที่งอกยาวยื่นผ่านหน้าผาออกมา ตรงกิ่งไม้มีดอกไป๋หลันผลิบาน แสงตะวันสาดลงมาประหนึ่งผลทอง งดงามจับตาจับใจยิ่งนัก
จูเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนกิ่งของต้นนั้น ด้วยความที่มันตัวเบา กิ่งไม้จึงพอที่จะรับน้ำหนักมันได้
มันเด็ดออกมาสองดอกทันทีโดยไม่มีลังเล เอาขึ้นทัดหูซ้ายหูขวาของตนอย่างรักสวยรักงาม แล้วถึงได้เริ่มเก็บสมุนไพรอย่างจริงจัง
มือไม้มันคล่องแคล่ง ไม่นานก็เก็บมาได้เต็มมือ
แต่กระนั้นในขณะที่มันกำลังกอบเอาดอกไป๋โหวหลันกระโดดกลับขึ้น “ฝั่ง” นั้น นกแร้งตัวใหญ่ยักษ์ก็กางปีกโผบินลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด คว้าเอาหัวไหล่ของจูเอ๋อร์ไว้
จูเอ๋อร์ถูกคว้าตัวขึ้นไปกลางอากาศ ดอกไป๋โหวหลันที่ทัดอยู่ตรงใบหูถูกลมหอบใหญ่พัดจนร่วงหล่น ดอกไป๋โหวหลันในมือก็โปรยปรายลงมาเช่นกัน จูเอ๋อร์ตกใจจนร้องลั่น!
“จูเอ๋อร์…”
เฉียวเจิงพลันหน้าถอดสี คว้าเอาก้อนหินที่อยู่บนพื้นขึ้นมาโยนใส่นกแร้งตัวนั้น!
นกแร้งโดนหินเข้าไปหลายก้อนก็เริ่มโมโห มันบินวนอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งก่อนจะปล่อยจูเอ๋อร์ลงมาแล้วเปลี่ยนเป้าหมายบินเข้าจู่โจมเฉียวเจิงแทน
จีหมิงซิวรับตัวจูเอ๋อร์ที่เกือบตกกระแทกพื้นจนแหลกละเอียด อีกมือหนึ่งชักกริชออกมาขว้างเข้าใส่นกแร้งที่กำลังบินเข้าหาเฉียวเจิง
นกแร้งถูกเสียบเข้าที่ท้องส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างรุนแรง
ในตอนนั้นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น ใต้หน้าผามีนกแร้งกลุ่มหนึ่งบินกรูกันออกมาราวกับมีคนเล่นมายากล ทุกตัวมีขนาดใหญ่ประมาณเด็กเล็กคนหนึ่ง พากันเข้ามาบินล้อมสองมนุษย์หนึ่งสัตว์เอาไว้ตรงกลาง
ในใจจีหมิงซิวกำลังคำนวณว่า หากใช้กำลังภายในหนึ่งครั้ง ความเป็นไปได้ที่จะสังหารพวกมันมีมากเท่าไร กำลังภายในของเขามีแรงสะท้อนมหาศาล หากทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แปดร้อย จะทำร้ายตัวเองหนึ่งพัน การจะจัดการนกแร้งกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาคือนกแร้งจะมีแค่ฝูงนี้จริงๆ หรือไม่
หลังจากเขาตกอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันแล้ว จะมีอีกกลุ่มหนึ่งโผล่มาอีกหรือไม่
หลังจากใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว จีหมิงซิวก็เอ่ยกับเฉียวเจิงว่า “ข้าจะคุ้มกันท่านเข้าไปในป่า”
ในป่ามีต้นไม้ดกหนา ยอดไม้ทิ้งตัวต่ำ พวกสัตว์ปีกดุร้ายขนาดใหญ่ไม่สะดวกจะโผบิน
เฉียวเจิงก็รู้ว่าการถอยเข้าป่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หลังจากจีหมิงซิวใช้กริชทำร้ายนกแร้งตัวหนึ่งไป เขาก็อุ้มจูเอ๋อร์วิ่งเข้าไปในป่า
แต่กระนั้นพวกนกแร้งบินกันอยู่บนที่สูง พวกเขาจะวิ่งเร็วกว่าพวกมันได้อย่างไร
นกแร้งสองตัวหลบการโจมตีของจีหมิงซิว พวกมันพุ่งทะยานลงมาจากที่สูง มุ่งตรงเข้าไปหาเฉียวเจิง!
เฉียวเจิงทิ้งตัวลงคลานกับพื้น นกแร้งคว้าได้แต่อากาศ จึงหมายจะเข้าไปจิกกัดเขาอีกครั้ง!
กริชที่สะท้อนเป็นประกายเล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ แทงทะลุดวงตาของนกแร้ง
นกแร้งตัวนั้นพลันร้องโหยหวน โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
นกแร้งอีกตัวหนึ่งถูกยั่วให้โมโห จึงเปลี่ยนทิศทางหันไปโจมตีจีหมิงซิวแทน
เฉียวเจิงหันไปมอง คิดในใจว่าแย่แน่แล้ว จึงใช้กำลังทั้งหมดที่มีคว้าจูเอ๋อร์โยนเข้าไปในป่า จากนั้นตนเองก็คว้าเอามีดเก็บสมุนไพรออกมาเขวี้ยงใส่กลุ่มนกแร้งที่รุมล้อมจีหมิงซิวอยู่!
นกแร้งตัวหนึ่งหันมามองทันที มันกระพือปีกบินอยู่บนพื้น อ้าปากแล้วใช้จะงอยปากงับเข้าที่ขาของเฉียวเจิง!
เลือดสดๆ พลันไหลทะลักออกมา
จีหมิงซิวตาเป็นประกายเยียบเย็น ละทิ้งการต่อสู้ตรงหน้าที่ติดพันอยู่ หมุนตัววิ่งเข้าไปหาเฉียวเจิง ด้านหลังมีนกแร้งตัวหนึ่งงับเข้าที่หัวไหล่ของเขา!
แคร๊ก!
จะงอยปากหักเสียแล้ว
จีหมิงซิวสวมใส่เกราะอ่อนทองคำอยู่
จีหมิงซิวคว้าตัวเฉียวเจิงขึ้นมา วิ่งเข้าป่าไปทั้งที่เสี่ยงจะถูกจะงอยปากแทะจนเหลือแต่กระดูก
แต่กระนั้นเขายังวิ่งไปได้ไม่ทันกี่ก้าว จู่ๆ พื้นดินก็แตกออกเป็นทางยาว ภูเขาเล็กๆ ทั้งลูกประหนึ่งขนมหวานที่ถูกบิแตก ตามด้วยเสียงร้องลั่นพร้อมตกลงไปยังหุบเหวด้านล่าง…
“ชุดนี้เท่าไรหรือ” เฉียวเวยหยิบเสื้อผ้าสำเร็จรูปของบุรุษตัวหนึ่งขึ้นมาถามราคา
นี่เป็นร้านผ้าที่เฉียวเวยมักจะมาเป็นประจำ เถ้าแก่เนี้ยจำนางได้จึงยิ้มแย้มตอบว่า “ฮูหยินช่างมีสายตาเป็นเลิศนัก นี่เป็นแบบที่เพิ่งมาใหม่จากเมืองหลวง ข้าอดหลับอดนอนทำทั้งคืนเชียวนะ! ข้างในบุนุ่น ข้างนอกเป็นผ้าไหม เจ้าลองดูฝีเข็มนี่สิ ชั้นเยี่ยมทั้งนั้น ข้าเห็นว่าเจ้ามาที่นี่ประจำ จะขายที่ราคาทุนให้ก็แล้วกัน ให้เจ้าสองตำลึง”
เสื้อตัวนี้มีความซับซ้อนมากจริงๆ คุ้มค่ากับราคานี้
แต่หากไม่ต่อสักหน่อยก็คงไม่ใช่เฉียวเวย
“สองตำลึงแพงเกินไป คราก่อนที่ข้าซื้อเพิ่งจะหนึ่งตำลึงเท่านั้น”
เถ้าแก่เนี้ยบ่นงึมงำว่า “คราก่อนที่เจ้าซื้อมันเสื้อผ้าเด็ก ใช้ผ้าน้อย ทำเสร็จก็เร็ว แต่นี่เป็นเสื้อผู้ใหญ่ ใช้ผ้าเยอะขึ้นอีกครึ่งหนึ่งเชียวนะ! เจ้าดูตาข้าสิ อดหลับอดนอนจนแดงไปหมดแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าแถมรองเท้าให้เจ้าคู่หนึ่ง”
เฉียวเวยคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ได้ ข้าเอาหมดนี้เลย ช่วยห่อให้ที หนึ่งชุดแถมหนึ่งคู่ ทั้งหมดแปดคู่”
เถ้าแก่เนี้ยหน้าถอดสีทันที “เดี๋ยวๆๆ! ข้าบอกเมื่อไรว่าแถมชุดละคู่น่ะ! ข้าหมายถึงชุดนี้! สองชุดนี้แพง ข้าแถมให้สองคู่!”
เฉียวเวยต่อรองราคากับเถ้าแก่เนี้ยอยู่อีกพักหนึ่ง สุดท้ายได้แถมมาหกคู่ และซื้อเสื้อผ้าของคนทั้งบ้านมาได้ในราคาลดลงสองส่วน
พอออกมาจากร้านจะไปขึ้นรถม้า ไม่รู้เหตุใดถึงก้าวพลาดเสียได้
ตาเฒ่าซวนจื่อรีบเข้ามาประคองนาง “เจ้าเป็นอะไร เหตุใดถึงไม่ระวังเช่นนี้”
เฉียวเวยตอบยิ้มๆ “ไม่ทันได้มองน่ะ”
ใจนางหวิวๆ อย่างไรชอบกล รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่าง
“ตาเฒ่าซวนจื่อ เร็วหน่อยได้รึไม่”
“ได้เลย!”
ตาเฒ่าซวนจื่อเพิ่มความเร็วรถม้าจนเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เล่นเอาม้าเกือบเหนื่อยตาย เฉียวเวยลงจากรถม้า นางไปรับบุตรทั้งสองที่สถานศึกษาก่อน จากนั้นจึงเดินขึ้นเนินไป โมงยามนี้เฉียวเจิงยังไปรักษาคนอยู่ข้างนอก น่าจะยังไม่กลับมา
แต่ที่น่าแปลกคือ นางได้พบกับจูเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
จูเอ๋อร์พอเห็นนางก็รีบเข้ามากอดพลางส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ ๆ ๆ ไม่หยุด
ในมือมันยังกำเครื่องประดับหยกที่ฉวยติดมือมาไว้อยู่ด้วย ซึ่งเป็นของจีหมิงซิว
“เกิดเรื่องกับพ่อข้าหรือ” เฉียวเวยถาม
จูเอ๋อร์กระโดดลงพื้น
ฉึบฉับพรั่บพรึ่บพรั่บ!
ท่าทางนี้คือนกแร้ง
ฉึบฉับพรั่บพรึ่บพรั่บพรั่บพรั่บพรั่บพรั่บพรั่บ!
ท่านี้คือนกแร้งหนึ่งฝูง
ปี้วๆๆๆ ฉวับ!
นี่คือจีหมิงซิว
เพี๊ยะปิ้ว… เพี๊ยะปิ้ว….
นี่คือเฉียวเจิง
เฉียวเจิงถูกทำร้ายอย่างน่าเวทนา
จูเอ๋อร์ใช้พละกำลังของลิงน้อย แสดงฉากคนรอดจากความตายอย่างหวุดหวิดออกมาได้อย่างงดงามสมบูรณ์แบบ
ละครฉากนี้จบแล้ว มันเหนื่อยจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น!
รถม้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจอดรออยู่ในหมู่บ้าน ทุกวันนี้เขาคุ้นเคยกับชาวบ้านแล้ว ตอนเขารอผู้เป็นนายก็ไปจิบชาพูดคุยอยู่ในบ้านชาวบ้าน นับว่ารื่นรมย์ไม่น้อย
เฉียวเวยเปิดประตูเข้ามาดังปัง เขาตกใจจนทำชาหกลวกขาตนเองจนกระโดดเหยงๆ “นังหนู เจ้าทำข้าตกใจหมดเลย!”
เฉียวเวยขมวดคิ้วเอ่ยอว่า “หมิงซิวกับพ่อข้าเกิดเรื่องแล้ว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะโกนลั่น “อะไรนะ”
เฉียวเวยฝากบุตรให้ชีเหนียงช่วยดูแล ส่วนตนพาเสี่ยวไป๋กับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามจูเอ๋อร์ไปยังจุดเกิดเหตุ
เมื่อเห็นผืนดินที่แตกออก กับหุบเหวที่ลึกจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด สีหน้าทั้งสองก็ดูหนักอึ้งทันที
“นายน้อยหล่นลงไปเอง เขามีกำลังภายในคอยคุ้มกัน คิดแล้วคงไม่ถึงตาย” อย่างมากก็ถูกกำลังภายในสะท้อนกลับจนจะตายแหล่มิตายแหล่เท่านั้น แต่ขอเพียงหาตัวพบได้ทันเวลา ก็ยังมีโอกาสรอดอยู่ น่ากลัวก็แค่มีตัวถ่วงอย่างพ่อเจ้าอยู่ นายน้อยปกป้องเขา ก็คงปกป้องตัวเองไม่ได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากด่าแม่ขึ้นมาจริงๆ!
สตรีในใต้หล้ามีตั้งมากมายเพียงใด เหตุใดถึงต้องเป็นนางผู้นี้
นางอุตส่าห์ไม่ก่อเรื่อง แต่ก็มีพ่อนางเข้ามาอีก วันๆ เอาแต่มาเป็นองครักษ์พิทักษ์พวกนางพ่อลูก เจ้าคิดว่าตนเองเป็นแมวเก้าชีวิตหรือไร!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดือดดาลยิ่งนัก!
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ข้าจะกลับไปเตรียมของ”
หุบเหวลึกสุดลูกหูลูกตา จะลงไปมือเปล่านั้นคงไม่ได้ แต่ยอดฝีมืออย่างเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ยังไม่กล้าอาศัยวิชาตัวเบาของตนลงไปอย่างผลีผลาม
เฉียวเวยกลับหมู่บ้านไปเตรียมเชือกและอุปกรณ์ต่างๆ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจุดกระบอกส่งสัญญาณ
แสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นลูกไฟอันสุกสกาวที่ระเบิดแตกอยู่เบื้องบน
“อย่าฆ่าข้า! อย่าฆ่าข้า! จอมยุทธหนุ่มไว้ชีวิตด้วย!” ชายวัยกลางคนที่หัวโตใบหูใหญ่คนหนึ่งถูกบีบจนเข้าไปติดมุมตรอก เขากำลังมองชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เลือดเย็นตรงหน้า ชายหนุ่มคนนั้นมีดวงตาที่ดำขลับราวกับอัญมณี แต่กลับไม่เจืออารมณ์ใดๆ อยู่เลย
ชายหนุ่มเงื้อดาบขึ้น เสียบแทงไปทางหน้าอกเขา
ขณะที่ดาบกำลังจะเสียบทะลุตัวเขานั้น เหนือศีรษะก็มีประกายไฟสีทองสว่างวาบขึ้น
ตัวสือชีพลันชะงัก ปล่อยชายคนนั้นไปแล้วตนก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นบนหลังคา
ชายผู้นั้นก้มมองขากางเกงตนเองที่เปียกชุ่มแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด
ตอนที่สือซีรีบตามไปถึงหน้าผานั้น จีอู๋ซวงกับศิษย์พรรคโลหิตพิฉาตมาถึงกันแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่พวกเขาเข้าเมืองหลวงมาที่พวกเขาได้รับสัญญาณคำสั่งจากเยี่ยนเฟยเจวี๋ย พวกเขาไม่กล้ารั้งรอ แทบจะรีบควบม้ามาที่นี่ทันที
คนที่มาถึงพร้อมกันยังมีเสี่ยวเว่ยกับโจรป่าจากค่ายวายุทมิฬ
เสี่ยวเว่ยกับพวกโจรป่าย่อมตามเฉียวเวยมา
จีอู๋ซวงได้รู้แล้วว่านายน้อยตกเหวลงไปพร้อมกับเฉียวเจิง ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็ยังรู้ว่าด้วยความสามารถของนายน้อย ต่อให้ไม่ต้องใช้กำลังภายใน ก็สามารถหลบหลีกการไล่ล่าของฝูงนกเหยี่ยวได้ เขาต้องมีใครเป็นตัวถ่วงแน่นอน!
เขาหันไปชี้หน้าเฉียวเวย “เจ้าอีกแล้ว! ทุกครั้งที่นายน้อยอยู่กับเจ้าไม่เคยมีเรื่องอะไรดีๆ เลย! เจ้าให้เขากลับมาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัยสักกี่ครั้งกัน”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “แล้วเจ้าส่งเขามาถึงมือข้ากี่ครั้งแล้ว เจ้าไม่ได้คอยขวางข้าอยู่ทุกวันทุกคืนเพราะกลัวว่าข้าจะอยู่กับเขาหรือ วันนี้หากข้าอยู่กับเขา ไม่แน่ว่าอาจไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ได้!”
“เจ้า…”
หัวหน้าค่ายเข้ามายืนขวางพวกเขาสองคนไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนอย่าทะเลาะกันเลย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเถียงว่าใครผิดใครถูก ช่วยคนสำคัญกว่า” เขาหันไปหาจีอู๋ซวง “เจ้าแค่ผู้เป็นนายหายไปหนึ่งคน แต่นางหายไปทั้งคนรักท่านบิดาแท้ๆ ใครน่าเสียใจกว่ากัน” ถึงอย่างไรเขาก็โอนเอนไปทางเฉียวเวย
เสี่ยวเว่ยเหลือบมองลงไปในหุบเหว ข้างล่างมีเมฆหมอกปกคลุม แค่มองก็ขาอ่อนไปหมดแล้ว “นี่…ตกลงไปไม่ตายหรือ”
หัวหน้าค่ายตบหน้าผากเขาให้ทีหนึ่ง เอาความจริงมาล้อเล่นอะไรเช่นนี้เจ้าเด็กบ้า
เฉียวเวยถามว่า “หัวหน้าค่ายอยู่บนภูเขามานาน คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศที่นี่หรือไม่”
หัวหน้าค่ายส่งเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “ปกติข้าปฏิบัติงานอยู่แต่ด้านบน ใครจะลงไปข้างล่างโดยไม่มีธุระอะไรเล่า แต่ข้าเคยได้ยินอดีตหัวหน้าค่ายบอกว่า ข้างล่างลงไปไม่ได้”
“เหตุใดถึงลงไปไม่ได้” เฉียวเวยกับจีอู๋ซวงถามขึ้นพร้อมกัน
หัวหน้าค่ายเหลือบมองทั้งสองแล้วตอบไปตามตรงว่า “มีหนามพิษ แล้วยังมีบ่อโคลนดูดอยู่ด้วย”
ดังนั้นตกลงไปไม่ถูกหนามพิษทิ่มตาย ก็จมบ่อโคลนดูดตายอยู่ดี
เฉียวเวยไม่เชื่อว่าทั้งสองจะโชคร้ายปานนั้น สิบกว่าปีที่ผ่านมา พายุคลื่นลมอะไรก็ผ่านมาหมด เหตุใดถึงจะมาเพลี่ยงพล้ำด้วยกรงเล็บของนกแร้งได้
“อดีตหัวหน้าค่ายของพวกเจ้าเคยลงไปมาก่อน?” เฉียเวยถาม
หัวหน้าค่ายส่ายหน้า “ไม่เคย เขาก็ฟังมากจากอดีตอดีตหัวหน้าค่ายอีกที”
เฉียวเวยปลอบใจตัวเอง “เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าเป็นเรื่องจริง”
เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแล้วกัน ในงานศพมีเลี้ยงเนื้อสัตว์หรือไม่ อย่าลืมเรียกข้าไปด้วยนะ
เฉียวเวยพูดต่อว่า “ลงไปอย่างไรถึงจะเร็วที่สุด”
“เร็วที่สุดก็คือ..”
หัวหน้าค่ายยังไม่ทันพูดจบก็เห็นสือชีพุ่งทะยานลงเหวลึกร้อยจั้งลงไปประหนึ่งวิหคโดยไม่มีสนใจสิ่งใดสักนิด
[1] โหว แปลว่าลิง