หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 173-2 รอดพ้นจากอันตราย เตรียมแต่งงาน
ตอนที่ 173-2 รอดพ้นจากอันตราย เตรียมแต่งงาน
ยามราตรีอันมืดมิด
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้องของจิ่งอวิ๋น ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวหลังจากดื่มยาแล้วก็หลับไป ครั้งนี้แม้จะใช้เลือดของเสี่ยวไป๋เพื่อกดกำลังภายในสะท้อนกลับเอาไว้ แต่ครั้งนี้เลือดของเสี่ยวไป๋ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งเวลาที่กดเอาไว้ได้ก็จะสั้นลงตามจำนวนครั้งที่ใช้
หากยังหาวิธีการรักษาที่ต้นเหตุไม่ได้ ไม่นานต่อจากนี้ เลือดของเสี่ยวไป๋คงเอาไม่อยู่อีก
ชีเหนียงผลักประตูเข้ามาเบาๆ “ฮูหยิน ข้าต้มข้าวต้มเอาไว้ ท่านรีบไปกินเถอะ ข้าต้องไปให้นายท่านแล้ว”
เฉียวเวยเก็บสีหน้ากลับมาเอ่ยว่า “ข้าไม่หิว เจ้าวางไว้ก่อนเถอะ”
อาการป่วยของจีหมิงซิว เฉียวเวยไม่ได้บอกให้ชีเหนียงรู้ ชีเหนียงคิดเพียงว่าเป็นการบาดเจ็บภายในธรรมดาๆ “คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง นายท่านว่าอย่างไร”
เฉียวเวยลูบหน้าผากจีหมิงซิวแล้วบอกเสียงเบาว่า “กินยาแล้วก็หลับไป ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรมาก จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหลับแล้วหรือ”
ชีเหนียงตอบเสียงนุ่มว่า “หลับแล้ว วันนี้เป็นเด็กดีมาก พอกลับมาจากสำนักศึกษา ทำการบ้านอยู่พักหนึ่งเสร็จก็ไปเล่นกับจงเกอร์ที่ลานข้างหน้าอยู่ครึ่งชั่วยาม ถามว่าท่านแม่กับท่านตาไปไหน ข้าบอกว่าพวกท่านไปเจรจาการค้าที่ตัวเมือง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร”
เมื่อคิดถึงบุตรทั้งสอง ในใจเฉียวเวยพลันอ่อนยวบ “เป็นเด็กดีมากจริงๆ ก่อนหน้านี้สมัยที่ข้ายังตั้งแผงอยู่ในตัวเมือง พวกเขาจะเอาม้านั่งตัวเล็กๆ มานั่งอยู่ข้างหลังข้าไม่ไปซุกซนที่ไหนเลย พอหนาวก็เขย่าขา ถูไม้ถูมือ หิวก็กินถังหูลู่ กระหายก็ไปหาน้ำกินเอง ตอนข้ายุ่งๆ ยังลืมไปแล้วว่าข้างหลังมีเด็กสองคนนั่งอยู่”
ชีเหนียงหัวเราะพรืดออกมา หัวเราะจนเจ็บหน้าอกไปหมด
เฉียวเวยบอกอีกว่า “วันนี้ต้องขอบคุณอากุ้ยมาก”
ชีเหนียงเลยบอกว่า “เขาช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
เฉียวเวยระบายยิ้มน้อยๆ “อย่างไรก็นับว่ามีน้ำใจ”
“อื้อ” ชีเหนียงพยักหน้า
เฉียวเจิงมาที่หน้าประตู ชีเหนียงเห็นเขาจึงลุกขึ้นทำความเคารพ “นายท่าน” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “ข้ากลับห้องก่อนนะ หากฮูหยินมีอะไรเรียกหาข้าได้เลย”
“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้า
ชีเหนียงออกจากห้อง เฉียวเจิงก็ก้าวเข้ามา เขาอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าสะอาดตัวใหม่ ตรงขมับมีแผลถลอกอยู่เล็กน้อย ตรงปลายคางก็มีรอยอมม่วง สภาพไม่สู้ดีนัก
“เสี่ยวเวย” เขานั่งลงข้างกายเฉียวเวย
เฉียวเวยไม่ได้พูดอะไร
เฉียวเจิงเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโกรธข้า ข้าไม่ควรไม่ฟังที่เขาบอก หากข้าไม่ได้จะไปเก็บดอกไป๋โหวหลัน ก็คงไม่ตกลงไปในหุบเขา และพวกเจ้าก็คงไม่ต้องบาดเจ็บ”
เฉียวเวยยังคงไม่พูดอะไร
สายตาเฉียวเจิงสั่นไหวเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเขาจริงใจต่อเจ้า แต่ข้าก็เกรงว่าคงจะให้เจ้าแต่งงานกับเขาไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงตอบด้วยความหนักใจ “ข้างกายเขามีอันตรายอยู่มากเกินไป วันนี้คนที่ไล่ฆ่าเขาพวกนั้นล้วนไม่ใช่คนดีทั้งสิ้น”
เฉียวเวยมองบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ สายตาของนางมีแววผิดหวังที่ยากจะปกปิด “ท่านพ่อ ข้าไม่คิดว่าท่านจะพูดเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าท่านจะซาบซึ้งที่เขาช่วยชีวิตท่านไว้ ซาบซึ้งที่เขาทุ่มเทเต็มที่เพื่อปกป้องท่าน แต่พอหันกลับมา ท่านกลับตกใจจนถอยหนี”
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “ตัวข้าเองมีอะไรต้องกลัวกัน ชีวิตของข้าต่อให้ต้องคืนให้เขาข้าก็จะไม่พูดอะไรสักคำ เจ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของข้า เป็นสิ่งเดียวที่ชิงหลวนเหลือไว้ให้คิดถึง ข้าไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ “ข้าได้ยินว่าท่านแม่เป็นคนในยุทธภพ ก่อนหน้าที่ท่านแม่จะแต่งงานกับท่านพ่อ คงมีคู่แค้นอยู่ไม่น้อยกระมัง ท่านพ่อกลัวหรือไม่”
ไม่เคยกลัวเลย
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คำพูดเหล่านี้ ตอนนั้นท่านปู่ก็คงเคยพูดกับท่านมาก่อนกระมัง ท่านพ่อฟังที่ท่านปู่บอกหรือไม่ ท่านไม่ได้ฟัง เช่นนั้นข้าขอถามท่านข้อหนึ่ง ท่านพ่อเคยเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้นหรือไม่”
เฉียวเจิงตอบตามตรงว่า “ย่อมไม่เสียใจสิ การได้แต่งงานกับแม่เจ้าเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตพ่อ ต่อให้มีขวากหนามอย่างไรข้าก็ยินดีฝ่าฟันไปพร้อมกับนาง”
เฉียวเวยจึงพูดต่อว่า “เช่นนั้นท่านมีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าข้าไม่ยินดีจะร่วมเดินไปพร้อมกับหมิงซิว”
เฉียวเจิงอึ้งงันไป
เฉียวเวยหันมองจีหมิงซิวที่กำลังหลับสนิท “ข้าไม่กล้าบอกว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาเป็นดังเช่นที่ท่านพ่อมีให้ท่านแม่ ข้าเพียงรู้ว่าข้าไม่กลัวเรื่องเหล่านั้นของเขา แน่นอนว่านั่นอาจเพราะข้ามีใจที่กล้าหาญมาตั้งแต่กำเนิด”
เหตุใดเจ้าถึงใจกล้าเพียงนี้ ตอนเด็กๆ แค่ฟ้าผ่าเจ้ายังตกใจจนร้องไห้เลย
เฉียวเจิงรู้สึกผิดในใจ ไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้
อันที่จริงเขาไม่ได้รังเกียจจีหมิงซิว คนหนุ่มผู้นี้ไม่ว่าจะพื้นเพครอบครัว ความรู้ความสามารถ นิสัยใจคอล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น เรื่องในอดีตเกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุจริงๆ จะโทษเขาทั้งหมดไม่ได้ เขาพยายามอย่างมากที่จะชดเชยความผิดในอดีต ตัวเขาเองก็ไม่ได้ตาบอด เขามองเห็น
เพียงแต่เขาหายไปจากชีวิตบุตรสาวตั้งหลายปีเพียงนั้น ทุกครั้งที่คิดถึงช่วงเวลาสิบห้าปีที่ตนพลาดไป ใจเขาจะเจ็บปวดทุกครั้ง
เขาเองก็อยากชดเชยให้อย่างเต็มที่เช่นกัน
เขาอยากชดเชยช่วงเวลาสิบห้าปีที่หายไปนั้น เขาทำใจให้บุตรสาวออกจากอกไม่ได้ เขายังให้ความรักนางไม่มากพอ
“อันที่จริงข้าไม่ได้อยากแต่งงาน” อยู่ๆ เฉียวเวยก็พูดขึ้น
เฉียวเจิงอึ้งไปอีกครั้ง
เฉียวเวยถอนหายใจ “การแต่งงานกับใครสักคนเป็นเรื่องยุ่งยากนัก หลังจากแต่งงานไปแล้วต้องปรนนิบัติรับใช้แม่สามี ต้องเคารพกตัญญูเหล่าพี่สะใภ้ ต้องเอาใจพี่น้องสามี… ถึงแม้ข้าจะประจบเอาใจคนเก่ง แต่นั่นเป็นหนทางการอยู่รอดของข้า ไม่ได้หมายความว่าข้าชอบที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ”
เฉียวเจิงอึ้งไป “ลูกเอ๋ย พ่อแค่รู้สึกว่าหมิงซิวไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสมของเจ้า ไม่ได้บอกว่าเจ้าแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้เลย หากเจ้าต้องการ ข้าจะหาบุรุษที่ฐานะเท่าเทียม อ่อนโยน ใจกว้างเอาใจใส่ให้เจ้าเอง”
เฉียวเวยส่ายหน้า “เขาดีออกเพียงนี้ข้ายังไม่อยากแต่งงาน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าจะถูกใจหรือ”
เฉียวเจิงสะอึกไป เรื่องนี้ก็จริงอยู่ “เช่นนั้นเจ้า…ไม่อยากแต่งงานกับเขา?”
เฉียวเวยลูบคางใช้ความคิด “เรื่องนี้หรือ…”
เฉียวเจิงถอนหายใจ “เจ้าช่างเหมือนกับแม่เจ้ายิ่งนัก ตอนนั้นแม่เจ้าก็ไม่อยากแต่งงาน นางกลัวความวุ่นวายเช่นเดียวกับเจ้า บอกว่ากฎเกณฑ์ในตระกูลใหญ่นั้นมากมาย สู้อยู่อย่างอิสระในหุบเขาคนเดียวไม่ได้”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “แล้วความเป็นจริงเล่า กฎเกณฑ์เยอะหรือไม่”
เฉียวเจิงตอบว่า “ตระกูลอื่นข้าไม่รู้ แต่บ้านตระกูลเฉียวมีกฎเกณฑ์มากอยู่จริงๆ”
โชคดีที่ไม่ได้ไปอยู่บ้านตระกูลเฉียว!
ดวงตาของเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย “เช่นนั้น…ท่านแม่ทำความคุ้นเคยได้หรือไม่”
พอเอ่ยถึงภรรยา สีหน้าเฉียวเจิงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “ไม่คุ้นน่ะสิ เจ้าไม่ได้ยินที่คนบอกว่าอาสะใภ้ของเจ้าเหล่านั้นถูกท่านแม่เจ้ารังแกจนน่าสงสารหรือ”
เฉียวเวยเดาะลิ้น
ท่านแม่นางเก่งเช่นนี้นี่เอง
เฉียวเจิงลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่ “เดิมทีเจ้านิสัยเหมือนข้า ข้ายังเป็นห่วงว่าหากวันใดเจ้าแต่งงานออกไปอยู่บ้านสามี จะถูกคนรังแก แต่เจ้ายิ่งโตนิสัยยิ่งเหมือนแม่ น่ากลัวว่าต่อไปคงมีแต่เจ้าไปรังแกคนอื่นเขา”
เฉียวเวยส่งเสียงหึ “อย่าว่าท่านแม่เข้าเช่นนี้ ท่านแม่เป็นสะใภ้ใหญ่ การสั่งสองพวกน้องสะใภ้นับเป็นเรื่องสมควร!”
เฉียวเจิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เจ้าไปอยู่บ้านตระกูลจีก็เป็นสะใภ้ใหญ่เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
จริงด้วย หมิงซิวเป็นบุตรชายสายหลักคนโตของตระกูลจี เช่นนั้นนางก็จะเป็นสะใภ้ใหญ่สายหลักของตระกูลจีเช่นกัน
พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็เบ้ปาก “แต่ข้ายังไม่ทันได้แต่งไป ก็ทำให้เหล่าไท่ไท่ไม่พอใจเสียแล้ว”
เฉียวเจิงหัวเราะ “ตอนที่แม่เจ้าเพิ่งมา ก็ทำท่านย่าเจ้าไม่พอใจเอาเรื่องทีเดียว ท่านย่าเจ้าเลี้ยงนกแก้วไว้สองตัว พวกมันเพิ่งหัดพูดเป็นก็ถูกแม่เจ้าดึงขนเอาไปปิ้งกินเสียแล้ว ท่านย่าเจ้าเดือดดาลอย่างหนัก เกือบจะจับแม่เจ้าไปโบยเลยทีเดียว”
ว้าว!
ท่านแม่นางจิตใจห้าวหาญนัก!
เฉียวเวยถามต่อว่า “หลังจากนั่นเล่า”
“หลังจากนั้นก็ย่อมดีแล้วสิ พวกนางสองคนสนิทสนมกันราวกับแม่ลูกแท้ๆ แม้แต่ข้ายังพูดอะไรไม่ได้” ในสายตาเฉียวเจิงเต็มไปด้วยความสุขจากความทรงจำในอดีต คล้ายว่าวันเวลาที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เฉียวเวยคิดถึงจีเหล่าฮูหยินที่อ้าปากเป็นต้องข่มขู่นางแล้วนึกสงสัยในความมองโลกในแง่ดีของบิดา
แต่ไม่ว่านางจะพูดอะไร ท่านพ่อเป็นต้องโยงเข้ากับเรื่องของท่านแม่ทั้งสิ้น ใครคนหนึ่งจะรักหรือไม่รักนั้นดูออกไม่ยากเลยจริงๆ
พวกเขาพ่อลูกพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งเฉียวเจิงก็กลับห้องไปพักผ่อน เขาให้เฉียวเวยกลับห้องตนเองด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่แต่งงาน เฉียวเจิงยอมให้ในบ้านมีคนป่วยพักอยู่ได้ แต่กลับไม่อยากให้คนป่วยผู้นี้ใกล้ชิดกับบุตรสาวมากเกินไปนัก
เฉียวเวยกลับห้องไปเปลี่ยนชุดสำหรับเข้านอน นางดึงผ้าห่มขึ้นแล้วเข้าไปลงนอน บุตรทั้งสองกำลังหลับสบาย ขาข้างหนึ่งของวั่งซูพาดขึ้นไปก่ายอยู่กับขอบเตียง นิ้วเท้านิ้วหนึ่งยื่นเข้าไปในปากของพี่ชาย
เฉียวเวยดึงนิ้วเท้าบุตรสาวออกด้วยความขบขัน แล้วอุ้มนางให้กลับมานอนดีๆ
จิ่งอวิ๋นลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ปีนข้ามตัวน้องสาวมาซุกอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยจูบหน้าผากบุตรชายแล้วกระซิบว่า “จิ่งอวิ๋น”
“หือ?” จิ่งอวิ๋นตอบรับพร้อมความง่วงงุน
เฉียวเวยนิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าอยากมีท่านพ่อหรือไม่”
“หือ?” จิ่งอวิ๋นมองท่านแม่ของตนด้วยความง่วงงุน
เฉียวเวยชะงักไป “ตอนเช้าเจ้าตื่นมาจะได้พบแม่ และได้พบท่านพ่อ ชีวิตเช่นนั้นเจ้าชอบหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นขยี้ตา “ลุงหมิงจะมาเป็นท่านพ่อข้าแล้ว?”
นางยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ! เด็กสมัยนี้อย่าฉลาดนักได้หรือไม่
เฉียวเวยกระแอมเสียงเบา “หากเป็นเช่นนั้น เจ้ายินดีหรือไม่”
ลุงหมิงเป็นคนดี มาเป็นท่านพ่อของเขาก็ได้นะ
อีกอย่างท่านแม่ก็ลำบากมามากแล้ว เขาก็ยังไม่โต หากมีท่านพ่อคอยดูแลท่านแม่ก็เป็นเรื่องดีนัก
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า แล้วอ้าปากหาว “ยินดีสิ”
ยินดีด้วยหรือ!
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้น… หลังจากลุงหมิงมาเป็นท่านพ่อพวกเจ้าแล้ว พวกเราอาจจะไม่ได้อยู่บนภูเขาอีก ต้องย้ายไปอยู่บ้านลุงหมิงนะ”
ในความง่วงงุน ภาพเรือนสี่ประสานที่สะอาดสวยงามพลันวาบขึ้นในหัวจิ่งอวิ๋น “ก็ดีสิ”
เช่นนี้ก็ยังได้?
มุมปากเฉียวเวยกระตุกเล็กน้อย “เจ้าจะไม่ได้พบหน้าเอ้อร์โก่วจื่อกับจงเกอร์ทุกวันอีกแล้วนะ”
จิ่งอวิ่นหาวแล้วถามว่า “ข้ากลับมาหาพวกเขาได้หรือไม่”
เฉียวเวยสะอึกไป “…ได้สิ”
จิ่งอวิ๋นตอบอ้อคำหนึ่ง เช่นนั้นก็หมดเรื่องแล้วสิ คนที่เขาอยากพบหน้าทุกวันมีแค่ท่านแม่กับน้องสาว คนอื่นๆ หลายวันหน่อยค่อยพบหน้ากันทีหนึ่งก็ได้
เฉียวเวยยังไม่ยอมแพ้ “แล้วเจ้าจะมีย่าทวดด้วยนะ” ย่าทวดที่ดุร้ายมากๆ!
จิ่งอวิ๋นคิดถึงป้าหลัว ท่านยายหลัวก็ดีมากออก ท่านย่าทวดก็คงดีมากเช่นกันกระมัง
“ดีสิขอรับ” จิ่งอวิ๋นหาวปากกว้าง
เฉียวเวยโกรธจนพูดไม่ออก เจ้าเด็กโง่ เจ้ารู้จริงๆ หรือไม่ว่าอะไรที่ว่าดี ถ้าไปบ้านตระกูลจีแล้วเจ้ายังคิดจะเล่นดินเล่นโคลนอีก ก็ฝันไปได้เลย!
…
คุกใต้ดิน
ชายชุดดำถูกถอดเสื้อตัวบนออกจนหมด สองมือถูกมัดอยู่กับท่อนไม้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกชาขึ้นจิบแล้วหยิบเอาเข็มทองเล่มหนึ่งจากตู้ด้านข้างออกมา “ตอนข้าเล่นอาวุธลับ เจ้ายังอยู่ในท้องแม่อยู่เลย หากคิดอยากทรมานน้อยหน่อยก็บอกมาเสียดีๆ ว่าใครกันแน่ที่ส่งเจ้ามาลอบฆ่าอัครเสนาบดี”
ชายชุดดำถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา “ศีรษะมีหนึ่ง ชีวิตอยู่ตรงนี้ แต่ข้อมูล ข้าไม่มี!”
“ปากแข็งนักนะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยระบายยิ้ม พอสองนิ้วขยับ เข็มทองแล่นสู่กาย ชายชุดดำก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มเย็น “จึ๊ๆๆ นี่เพิ่งเล่มที่เจ็ดเท่านั้น ทั้งหมดมีตั้งสี่สิบเก้าเล่มนะ ออมแรงไว้หน่อย ระวังจะแหกปากจนคอแตกเสีย หลังจากนี้อยากจะร้องอีกคงร้องไม่ออกแล้ว”
ชายชุดดำตะเบ็งสวนว่า “เจ้าฆ่าข้าเสีย! หากกล้าก็ฆ่าข้าเลย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปฏิเสธ “ปากให้มันสงบเสงี่ยมหน่อย ข้าจะให้เจ้าตายสบายๆ”
ชายชุดดำกัดฟัน “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ต่อให้เจ้าทรมานข้าจนตาย ข้าก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ข้าเป็นแค่ลูกกระจ๊อกที่สุดคนหนึ่ง พี่ใหญ่จะไปลงมือฆ่าคน ข้าก็แค่ตามมาด้วย! คนที่รู้เรื่องถูกพวกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว พวกเจ้ามาถามข้าจะมีประโยชน์อะไร”
“ปากแข็ง ปากแข็งนัก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแทงเข็มเข้าไปอีกเล่มหนึ่ง ภายในคุกมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง
…
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เฉียวเวยก็ตื่นขึ้นจากนิทรารมย์แล้ว นางขยี้ตา เอาเสื้อมาสวมแล้วเดินออกไปทางลานด้านหลัง
พอนางเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูไม่ปกตินัก คล้ายดังมาจากทางสระน้ำ
นางเดินไปดู เห็นว่าจีหมิงซิวกำลังชี้สั่งให้สือชีขุดดินอยู่!
เมื่อได้พักผ่อนร่างกายมาหนึ่งราตรี จีหมิงซิวฟื้นตัวกลับมาได้ประมาณหนึ่ง ใบหน้าไม่ถึงกับมีสีเลือด แต่ก็ไม่ได้ซีดขาว ตัวเขาห่มคลุมอยู่ในอาภรณ์สีขาว ยืนนิ่งอยู่ตรงทางลม ดูงดงามโดดเด่นเหนือคนทุกผู้
เฉียวเวยดึงสายตาที่ถูกเขาดึงดูดไปกลับมา แล้วมองไปยังสือชีที่เหงื่อโทรมกายคล้ายเปียกฝน “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
สือชีก้มลงไปหา “จดหมาย” ฉบับหนึ่งขึ้นมาจากในดิน
เฉียวเวยร้องในใจว่าแย่แล้ว รีบโผเข้าไปจะแย่งมา แต่กลับถูกจีหมิงซิวแย่งเอาไปเสียก่อน
จีหมิงซิวปัด “จดหมาย” ที่เต็มไปด้วยเศษดินพลางยิ้มมุมปาก “หนังสือหมั้นหมาย”
เฉียวเวยยื่นมือไปจะแย่ง “นี่! เอาคืนมานะ!”
จีหมิงซิวชูจดหมายขึ้นสูง ยิ้มอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง “พ่อเจ้าเห็นด้วยแล้ว”
เฉียวเวยหยิบไม่ถึง จึงหัวเสียจนเหมือนราชสีห์ตัวน้อยที่ขนตั้งชัน “พ่อข้าไม่เห็นด้วย! เขาแค่เห็นแก่ที่ท่านเกือบตายเท่านั้น ไม่รังเกียจที่ท่านจะมาเจอลูก! แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะให้ข้าแต่งงานกับท่าน!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ข้าได้ยินหมดแล้ว”
หา!
อีตานี่!
เมื่อวานตอนนางพูดคุยกับท่านพ่อ เขาไม่ได้หลับอยู่หรือ ในยามีปริมาณยาสงบจิตอยู่ตั้งมากเพียงนั้น เขายังตื่นอยู่ได้อย่างไร
เฉียวเวยเขย่งปลายเท้า “เป็นถึงเสนาบดีแห่งแคว้น แอบฟังคนเขาคุยกัน หน้าไม่อาย!”
จีหมิงซิวมองแม่หนูน้อยที่กระโดดเหยงๆ อยู่ตรงหน้าตนเพื่อจะแย่งจดหมายแล้วก้มหน้าลงยิ้ม ก่อนจะจูบตรงหน้าผากอีกฝ่าย “ข้าจะกลับไปเตรียมของหมั้นก่อน ฮูหยินเป็นเด็กดีอยู่ในห้องหับ ไม่ต้องร้อนใจไป สามีทำอะไรรวดเร็วนัก”
เฉียวเวยแทบอยากเป็นบ้า “ใครจะแต่งงานกับท่านกัน ใครจะแต่งงานกับท่าน ท่านไม่ได้ยินที่ข้าบอกว่าไม่อยากแต่งงานหรือ”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “อ้อ ไม่ได้ยิน”
ไม่ได้ยินสิแปลก!
อีตาขี้โกง!
เอาหนังสือหมั้นหมายข้าคืนมา!
เอาคืนมา!
รู้อย่างนี้ฉีกทิ้งไปซะก็ดี!
ในใจเฉียวเวยมีแต่ความโกรธเกรี้ยว นางไม่อยากแต่งงานไปอยู่บ้านเขาสักนิด นางยังใช้ชีวิตอิสระไม่พอเลย!
จีหมิงซิวกอดเอวบางของนางไว้ เอ่ยอย่างน่าโมโหว่า “ยาหยีไม่ต้องใจร้อน ไม่นานข้าจะมาสู่ขอเจ้าแล้ว”
ใครใจร้อนใครใจร้อนใครใจร้อน!
จีหมิงซิวเดินถือจดหมายออกจากเรือนไป เฉียวเจิงออกมาจากห้องจึงเจอกับจีหมิงซิวเข้าอย่างจัง
เฉียวเวยร้องเสียงดัง “ท่านพ่อ! ขวางเขาไว้! แย่งหนังสือหมั้นหมายคืนมา!”
เฉียวเจิงจึงยื่นมือไปขวางจีหมิงซิว
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างจริงจังเป็นที่ยิ่งว่า “ข้าเชื่อว่าท่านแม่ยายยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตระกูลจีมี ตามหาร่องรอยของท่านแม่ยายให้ได้”
มือที่จะยื่นไปคว้าหนังสือหมั้นหมายของเฉียวเจิงเปลี่ยนเป็นตบบ่าอีกฝ่าย “เด็กดี ลูกสาวข้ามอบให้เจ้าแล้ว”