หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 18 ทำให้คนริษยา
วันต่อมา วันที่สองเดือนหนึ่ง เฉียวเวยนำขนมที่ทำเสร็จแล้วใส่เข้าไปในตะกร้า จากนั้นทั้งสี่คนก็เข้าเมืองเช่นเดิม
วันนนี้นางทำเพิ่มจากเมื่อวานมาห้าสิบชิ้น สี่สิบชิ้นในนั้นคือขนมเหนียวถั่วแดงกับขนมเผือกทอดเกล็ดหิมะที่คนสั่งจองล่วงหน้า
เมื่อนางมาถึงถนนต้าซิงก็พบว่าแผงที่ใช้มาสองวันถูกคนยึดไปแล้ว โชคดีที่ด้านข้างว่างอยู่ นางจึงเตรียมจะวางของลงก่อนแล้วค่อยไปจ่ายเงินกับผู้ดูแลตลาด ทว่าป้าที่ยึดที่ของนางไปกลับเอ่ยว่า “ทำอะไร ตรงนี้มีคนแล้วไม่รู้หรือ”
“แต่บนแผงไม่มีของ” เฉียวเวยแย้ง
ป้าคนนั้นแค่นเสียงดังเหอะ “กลับไปเอาของอยู่ ประเดี๋ยวก็มีของแล้ว!”
นี่คือตั้งใจหาเรื่อง ดูท่ากิจการสองวันนี้คงดีเกินไป จนทำให้บางคนอิจฉาตาร้อน
เฉียวเวยหิ้วตะกร้าพาลูกน้อยเดินจากไปเพราะไม่สะดวกจะทะเลาะกับผู้อื่น
วันนี้นางเช่าแผงที่วังเวงที่สุดตรงสุดหัวมุม ค่าเช่าสิบห้าอีแปะ ถูกกว่าตำแหน่งที่ตั้งแผงก่อนหน้านี้ห้าอีแปะ
ตรงนี้คนน้อย คนที่เดินผ่านไปมามีเพียงไม่กี่คน ตอนที่เพิ่งนำของออกมาวางแทบไม่มีผู้ใดถามถึง แต่ผ่านไปพักเดียวก็มีลูกค้าประจำตามมาเจอ
ถนนเส้นนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ หากตั้งใจจะหาแผงร้านค้าสักแผงย่อมง่ายดายยิ่งนัก หลังจากลูกค้าประจำคนแรกมาเยือน คนที่สอง คนที่สามก็ตามมาเรื่อยๆ ไม่นานหน้าแผงก็มีคนอออยู่เต็มไปหมด
เมื่อคนมาก กิจการย่อมดี
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ขนมก็ขาดหมดเกลี้ยง
เหตุเพราะที่ตั้ง แม้จะขายได้ไม่เร็วเท่าสองวันที่ผ่านมา แต่ค่าเช่าก็ไม่แพงเท่าสองวันก่อนเช่นกัน เมื่อคิดเช่นนี้วันนี้ดูจะคุ้มค่ากว่าอยู่บ้าง
“โบราณว่าไว้ว่าอย่างไรนะ สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก พูดถึงเสี่ยวเวยของข้าแท้ๆ!” ป้าหลัวนับเงินอย่างเริงร่า พร้อมกับเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
สตรีสาวนางหนึ่งจูงเด็กน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา “ข้าเอาขนมเหนียวถั่วแดงสองชิ้น”
เฉียวเวยเอ่ยขออภัย “ขออภัย ขนมวันนี้ขายหมดแล้ว”
สตรีสาวเหลือบมองในตะกร้า “ในตะกร้าไม่ได้มีอยู่หรือ”
เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “นั่นเป็นของที่ผู้อื่นสั่งเอาไว้”
“อ้อ” หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง
นางจูงมือเด็กชายอยู่ เขาอายุใกล้กับจิ่งอวิ๋น ตัวผอมแกร็น มองของในตะกร้าพลางน้ำลายไหลย้อย
เฉียวเวยแววตาสั่นไหว “ข้าคงขายขนมให้ไม่ได้ แต่ข้ามีขนมหัวไชเท้าที่เอาไว้กินเองอยู่นิดหน่อย หากไม่รังเกียจ ข้าให้ท่านสองชิ้น”
หญิงสาวได้ยินว่าทำมาจากหัวไชเท้าก็ไม่สนใจนัก แต่จะปฏิเสธน้ำใจของผู้อื่นก็ไม่ดี นางจึงรับขนมหัวไชเท้ามาจากมือเฉียวเวยแล้วส่งให้ลูกชาย “เอาไป”
บนตัวแป้งใช้หูหลัวปัวทำเป็นรูปหน้ายิ้ม มองดูแล้วน่ารักยิ่งนัก เด็กชายตัวน้อยชอบมาก พอกินเข้าปากได้คำเดียวก็ชอบทันที
ขนมหัวไชเท้านี่ไม่ใช่ขนมที่ทำจากหัวไชเท้าอย่างเดียวเหมือนตอนแรก ด้านในมีเนื้อแพะกับหมูสามชั้นซอสน้ำแดง จะเรียกว่าขนมหัวไชเท้ายัดไส้ก็ได้
หญิงสาวรีบเอ่ยว่า “เจ้าขายให้ข้าสักสองสามชิ้นเถอะ”
เฉียวเวยยิ้มละไมตอบว่า “หากฮูหยินชอบก็รับไปทานสักหน่อยเถิด ท่านเป็นลูกค้าประจำ ต้องขอบคุณท่านที่อุดหนุนกิจการของข้า ถือเสียว่าข้าตอบแทนลูกค้าเก่า”
หญิงสาวยกมือจับใบหน้า “นี่จะได้อย่างไรเล่า”
“รับไว้เถิด” เฉียวเวยหยิบขนมหัวไชเท้าสี่ลูกที่ยังมีไอร้อนจางๆ ออกมาจากตะกร้าที่คลุมด้วยผ้านวมผืนน้อยอย่างมิดชิด
หญิงสาวจากไปอย่างซาบซึ้ง
สาวใช้ของจวนเอินปั๋วเพิ่งมาถึงยามเที่ยงตรง นางลงจากรถม้าก็ตะลีตะลานมาหาเฉียวเวย “ขออภัยๆ ระหว่างทางรถม้าเสีย! ซ่อมมาจนถึงตอนนี้! เจ้าคงรอข้านานมากสินะ ว่าแต่เหตุใดเจ้าเปลี่ยนที่เสียเล่า ข้าเกือบหาเจ้าไม่เจอ”
“ค่าเช่าตรงนี้ถูก” เฉียวเวยแย้มยิ้ม แล้วส่งขนมที่ห่อเรียบร้อยแล้วให้นาง “ทั้งหมดสี่สิบหกชิ้น”
สาวใช้งุนงง “เจ้าแถมให้ข้าเกินหรือไม่” ซื้อสิบแถมหนึ่ง ก็น่าจะเป็นสี่สิบสี่ชิ้นถึงจะถูก
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “สองชิ้นนี้แถมให้แม่นางทานเอง”
“ขอบใจเจ้ามาก” สาวใช้ยิ้มหวาน “วันพรุ่งนี้ข้าก็เอาเท่านี้!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเกรงใจ “วันพรุ่งนี้ไม่ได้ ข้าไม่มาขาย ต้องเป็นวันมะรืน”
“วันมะรืนหรือ” สาวใช้เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ก็ได้ วันมะรืนก็วันมะรืน”
สาวใช้ทิ้งเงินไว้หนึ่งร้อยอีแปะ แล้วนำขนมขึ้นรถม้า
“ความจริงข้าคิดว่าขนมหัวไชเท้าก็คงจะขายดี” ป้าหลัวเก็บร้านพลางเอ่ยขึ้นมา
เฉียวเวยก็เคยคิดจะขายขนมหัวไชเท้า แต่ขนมหัวไชเท้าเย็นแล้วไม่อร่อย วางไว้นานก็ไม่อร่อย โดยทั่วไปคนหนึ่งจะซื้อสักชิ้นสองชิ้นถือไว้ในมือ เดินไปกินไป หากจะให้ซื้อกลับบ้านเพิ่มสักสองสามชิ้นคงมิใคร่จะยินดีนัก เพียงคำนึงถึงจุดนี้ก็มีช่องทางขายสู้ขนมเหนียวไม่ได้แล้ว
ทั้งสองคนเก็บข้าวของเรียบร้อยก็กลับบ้าน วันนี้ก็จ้างรถม้าจากตัวเมือง ราคาสี่สิบอีแปะเช่นเดิม
ระหว่างทางกลับ มีรถม้าคันหนึ่งตามพวกนางมาตลอดทาง เริ่มแรกเฉียวเวยคิดว่าอีกฝ่ายคงทางเดียวกัน แต่เมื่อแล่นรถมาถึงบริเวณที่ไม่มีคน อีกฝ่ายกลับเร่งความเร็วแล้วอ้อมมาดักหน้าพวกเขา
บุรุษหน้าตาดุร้ายสามคนเดินลงมาจากรถม้า
คนขับรถม้ามองพวกเขาอย่างหวาดกลัว “เจ้า พวกเจ้าจะทำอันใด”
บุรุษร่างใหญ่ที่เป็นหัวหน้าตวาด “ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก หลีกไป!”
คนขับรถม้าหลีกทางอย่างขี้ขลาด
ใบหน้าของป้าหลัวฉายแววหวาดผวา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เฉียวเวยเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ข้าจะลงไปดู ท่านกับเด็กๆ นั่งอยู่บนรถ ไม่ต้องลงมา”
“เสี่ยวเวย…”
เฉียวเวยตบเบาๆ ที่มือนาง สื่อว่าให้นางวางใจ นางพยักหน้าอย่างเคร่งเครียดแล้วกอดเด็กน้อยทั้งสองเอาไว้
เฉียวเวยเดินลงจากรถม้าอย่างนิ่งสงบ นางมองบุรุษกำยำสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หนังตาไม่กะพริบสักครั้งแล้วเอ่ยถามประหนึ่งถามเรื่องฝนฟ้า “ทุกท่านมาหาข้าหรือ”
พวกเขาเห็นนางนิ่งเช่นนี้จึงรู้สึกประหลาดใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาคืออันธพาลชื่อดังของถิ่นนี้ ผู้ใดเห็นพวกเขาแล้วไม่เป็นดั่งมุสิกกลัวแมวบ้าง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าเอ่ยถาม
เฉียวเวยตอบอย่างนิ่งเฉย “มิทราบ”
บุรุษร่างกำยำสะอึก
บุรุษร่างเล็กด้านหลังเขาเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ จะเปลืองน้ำลายคุยกับนางทำอะไร รีบจัดการนางเสีย พวกเราจะได้กลับไปส่งมอบงาน!”
ดูท่าคงจะมีใครจ้างวานมา
บุรุษร่างใหญ่กระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจงฟังข้าให้ดี นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ห้ามไปค้าขายที่ถนนต้าซิงอีก! มิเช่นนั้นข้าเจอเจ้าครั้งหนึ่งก็จะจัดการเจ้าครั้งหนึ่ง”
พูดเช่นนี้แล้วเฉียวเวยจะยังไม่เข้าใจอันใดอีก นางค้าขายได้ดีเกินไปจนทำให้คนอิจฉาตาร้อนเข้าแล้ว
นางไม่เคยกลัวผู้ใด หากวันนี้ยอมประนีประนอม แม้วันพรุ่งนี้ย้ายที่ก็คงมีคนมารังแกถึงที่อีก
มิสู้จัดการครั้งเดียวให้หมดจด
“ข้าไม่ย้าย พวกเจ้าคิดจะจัดการข้าอย่างไร” เฉียวเวยถาม
บุรุษร่างใหญ่คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยที่แลดูบอบบางทนลมมิได้ผู้นี้จะไม่กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย เขาแสดงออกไม่ชัดพอหรือแม่นางผู้นี้สมองมีปัญหา
“นังผู้หญิงโสโครก! เจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่หรือไม่” เขาตวาดเกรี้ยวกราด
เฉียวเวยมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใครจะเห็นโลงศพ ใครจะหลั่งน้ำตายังไม่แน่หรอก คิดจะจัดการเช่นไรก็เข้ามาให้เต็มที่ หากจะแค่คุยโวโอ้อวด ข้าคงต้องยอมแพ้”
“บัดซบ!” บุรุษร่างใหญ่โกรธจนเต้นผาง เขาถ่มน้ำลายคำหนึ่งแล้วแยกเขี้ยวง้างแขนโถมเข้าใส่เฉียวเวย!